สองสามวันที่ผ่านมา ‘กาหลิบ’ คอลัมนิสต์แห่งหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ออกมาแสดงบทบาทยุยง และบ่อนทำลายประเทศชาติอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
จริงๆ แล้ว นามปากกา ‘กาหลิบ’ เคยปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะไปปรากฏในคอลัมน์ “เลือกคบไม่เลือกข้าง” ของหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ โดยมีน้อยคนนักที่ทราบว่าจริงๆ แล้ว ตัวตนที่แท้จริงของ ‘กาหลิบ’ นั้นเป็นใคร
หลายคนบอกว่า ‘กาหลิบ’ ชื่ออันมีที่มาจากนิยายปรัมปราเรื่องอาหรับราตรี อาจจะเป็นนามปากกาของบุคคลที่มีชื่อว่า นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่กำลังต้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมถึงคดีอาญาอีกหลายคดี ทว่าผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อนัก เพราะเชื่อว่าคนที่มีการศึกษาสูงและเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี อย่างคุณจักรภพ น่าจะเขียนบทความได้อย่างมีสติปัญญากว่านี้
ที่ผ่านมาในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ‘กาหลิบ’ หากไม่เขียนบทความวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ ก็มักจะแสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องราวทางการเมืองภายในประเทศ หรือสื่อสารมวลชน
ในรอบสามวันที่ผ่านมา ‘กาหลิบ’ เขียนบทความสามเรื่องประกอบไปด้วย เรื่อง “กลับมาทำไม” “ลี้ภัย” และ “พ่นพิษ”
โดยสองบทความแรกนั้นเป็นบทความที่เขียนวิเคราะห์ และแนะนำการเคลื่อนไหวการหลบหนีคดีอาญาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวไปยังประเทศอังกฤษโดยตรง โดยคอลัมนิสต์ผู้นี้แสดงความเห็นด้วยกับการตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมกับเสนอแนะต่อว่า ขณะนี้ยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดคือ ยุทธศาสตร์ตามตำราพิชัยสงครามของซุนวูที่ระบุไว้ในบรรพที่ 3 ว่า
หากสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ก็สามารถทำการรบได้
หากมีจำนวนน้อยกว่า ก็สามารถหลีกเลี่ยงได้
หากไม่สามารถเปรียบเทียบได้ในทุกทาง ก็สามารถหลบหนีได้
‘กาหลิบ’ ยังเสนอแนะต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านบทความ “ลี้ภัย” ด้วยว่า การหนีไปอังกฤษนั้นนอกจากจะหลบไปเลียแผลแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ จำเป็นต้องส่ง “สัญญาณสู้” ด้วย โดย ‘กาหลิบ’ มิเพียงเสนอตัวเป็นกุนซือขงเบ้งให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น แต่ยังพร้อมจะเป็นแม่ทัพจูล่งออกรบให้อีกด้วย ขอเพียง พ.ต.ท.ทักษิณ “ส่งสัญญาณ” เตรียมพร้อมต่อสงครามใหญ่มาเท่านั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า “สัญญาณ” ที่ ‘กาหลิบ’ ระบุนั้น จะมีจำนวนหรือปริมาณกี่มากน้อย มีหน่วยเป็นบาท เป็นปอนด์ เป็นยูโร หรือเป็นดอลลาร์กันแน่ ทว่า เชื่อแน่ได้ว่า น่าจะทำให้ ขงเบ้งกาหลิบ และพลพรรคทั้งหลายของเขา สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวกันได้อีกรอบหนึ่ง หลังจากที่รอบก่อน หลายคนได้รถคันแรก ได้บ้านหลังแรกในชีวิตไปแล้ว
ในบทความชิ้นล่าสุดของ ‘กาหลิบ’ ที่มีชื่อว่า “พ่นพิษ” ที่ตีพิมพ์วานนี้ ‘กาหลิบ’ พยายามที่จะโจมตีสถาบันตุลาการ หนึ่งในเสาหลักของระบอบประชาธิปไตย ที่ประกอบขึ้นด้วย ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ด้วยการดิสเครดิตสถาบันยุติธรรมของประเทศ เช่นเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุไว้ในแถลงการณ์หลบหนีคดีเมื่อวันจันทร์โดยกล่าวว่า
“หลายสำนักข่าวและหลายมหาวิทยาลัยกำลังทำงานวิจัยที่เกี่ยวกับระบบยุติธรรมในเมืองไทยกันอย่างจริงจัง ได้ทราบว่าสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่หลายแห่งเป็นผู้ส่งข้อมูลข่าวสารดีๆไปให้กับคนของเขาในทำนองเปิดประเด็นขึ้นมา”
“บวกกับความผิดเพี้ยนในกรณีปราสาทพระวิหารที่ทำให้มิตรประเทศของเรามองหน้าเราไม่สนิทใจเหมือนเก่า เพราะไม่รู้จะถูกหาเรื่องชกปากกันแบบกัมพูชาขึ้นมาเมื่อไหร่”
“เขากำลังศึกษากันอย่างเข้มข้นว่ากระบวนการยึดอำนาจ และเข้าทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นกลไกหลักนั้นเขาทำอย่างไร ...”
เป็นที่ทราบกันดีว่า สองในสามเสาหลักของระบอบการปกครองของชาติในปัจจุบัน อันประกอบไปด้วย รัฐสภาและรัฐบาลนั้นกลับตกอยู่ในเงื้อมมือของ “ระบอบทักษิณ” อีกครั้ง นับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปลายปี 2550 ทว่า สถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรมบางส่วนนั้นยังสามารถคงความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรม เพื่อค้ำจุนประเทศและสังคมไทยเอาไว้ได้อยู่
น่าแปลกใจว่า เหตุใดเมื่อวันจันทร์แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงออกมาโจมตีกระบวนการยุติธรรมของชาติอย่างรุนแรงขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาและครอบครัวก็ใช้กระบวนการยุติธรรม เป็นเครื่องมือระดมฟ้อง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อในเครือผู้จัดการ-เอเอสทีวี สื่อมวลชนที่อยู่คนละข้าง และแกนนำพันธมิตรฯ อย่างต่อเนื่องหลายสิบคดี
โดยคดีล่าสุดนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ได้มอบอำนาจให้ทนายเข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทกับผู้ต้องหา 6 คน บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด และ บริษัท เอเอสทีวี จำกัด กรณี อ.ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีว่า ไม่เคยมีประวัติศาสตร์ที่มีการฆ่ามากมายเท่ากับสมัยรัฐบาลทักษิณจากกรณีปัญหาความรุนแรงในภาคใต้และปัญหาการฆ่าตัดตอนยาเสพติด
...... โดยหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกฟ้องนั้นก็รวมเอาตัวผมเข้าไปด้วย
ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของประเทศ ทำไมเขาจึงยังอาศัยระบบยุติธรรมมาดำเนินคดีผู้ที่ไม่สวามิภักดิ์ต่อเขาอย่างไม่หยุดยั้ง หรือเขาคิดเพียงว่า กระบวนการยุติธรรมของประเทศประกอบด้วย ตำรวจ และ อัยการ เท่านั้น?!?
ในทางกลับกัน เมื่อศาลอาญาชั้นต้น ตัดสินว่า ภรรยา น้องเขย และ เลขาฯ ภรรยาของเขาถูกตัดสินจำคุกคนละ 2-3 ปีจากคดีหลีกเลี่ยงภาษี เขาถึงกับวิ่งหนีหางจุกตูด หอบเอาครอบครัว ลูกหลานและบริวารหนีไปอังกฤษเสียอย่างนั้น พร้อมกับถ่มน้ำลายสร้างรอยด่างให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศอีกด้วย
วันนี้ แม้ฝ่ายระบอบทักษิณและเพื่อนฝูงของ ‘กาหลิบ’ จะพยายามเข้าไปยึดครองสื่อหลายแขนงไม่ว่าจะผ่าน รายการความเท็จวันนี้ทางเอ็นบีที คลื่นวิทยุวิสดอม เรดิโอ 105 MHz หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ นิตยสารประชาทรรศน์ โดยไม่นับรวมสื่อกระแสหลักและรองอีกมากมาย ทว่าด้วยเนื้อหาอันเป็นความเท็จ หรือไม่ก็บิดเบือนความจริง ทั้งยังมีที่มาจาก โลภะ-โทสะ-โมหะ จึงทำให้จำนวนผู้เสพสื่อเหล่านี้ หดตัวเหลือกลุ่มเล็กลงๆ ทุกที ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ตรงกันข้ามกับมวลชนที่นับวันจะวิ่งเข้าหาความจริงจากกลุ่มพันธมิตรฯ มากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ ผมฟันธงได้เลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่มีวันได้กลับเมืองไทย และ สงครามประชาชนตามความมุ่งหมายของนายกาหลิบจะไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะหนทางเดียวที่จะทำให้เกิดอย่างนั้น คือ เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร
‘การปฏิวัติรัฐประหาร’ ที่วันนี้มิเพียงปราศจากเชื้อเพลิงเท่านั้น แต่ในสถานการณ์ที่ทั่วประเทศเต็มไปด้วยสายธารแห่งข้อมูลข่าวสาร และปัญญาที่กำลังไหลเรื่อย-ซึมลึกไปทั่วทุกหนทุกแห่งของประเทศไทย
จริงๆ แล้ว นามปากกา ‘กาหลิบ’ เคยปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะไปปรากฏในคอลัมน์ “เลือกคบไม่เลือกข้าง” ของหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ โดยมีน้อยคนนักที่ทราบว่าจริงๆ แล้ว ตัวตนที่แท้จริงของ ‘กาหลิบ’ นั้นเป็นใคร
หลายคนบอกว่า ‘กาหลิบ’ ชื่ออันมีที่มาจากนิยายปรัมปราเรื่องอาหรับราตรี อาจจะเป็นนามปากกาของบุคคลที่มีชื่อว่า นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่กำลังต้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมถึงคดีอาญาอีกหลายคดี ทว่าผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อนัก เพราะเชื่อว่าคนที่มีการศึกษาสูงและเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี อย่างคุณจักรภพ น่าจะเขียนบทความได้อย่างมีสติปัญญากว่านี้
ที่ผ่านมาในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ‘กาหลิบ’ หากไม่เขียนบทความวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ ก็มักจะแสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องราวทางการเมืองภายในประเทศ หรือสื่อสารมวลชน
ในรอบสามวันที่ผ่านมา ‘กาหลิบ’ เขียนบทความสามเรื่องประกอบไปด้วย เรื่อง “กลับมาทำไม” “ลี้ภัย” และ “พ่นพิษ”
โดยสองบทความแรกนั้นเป็นบทความที่เขียนวิเคราะห์ และแนะนำการเคลื่อนไหวการหลบหนีคดีอาญาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวไปยังประเทศอังกฤษโดยตรง โดยคอลัมนิสต์ผู้นี้แสดงความเห็นด้วยกับการตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมกับเสนอแนะต่อว่า ขณะนี้ยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดคือ ยุทธศาสตร์ตามตำราพิชัยสงครามของซุนวูที่ระบุไว้ในบรรพที่ 3 ว่า
หากสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ก็สามารถทำการรบได้
หากมีจำนวนน้อยกว่า ก็สามารถหลีกเลี่ยงได้
หากไม่สามารถเปรียบเทียบได้ในทุกทาง ก็สามารถหลบหนีได้
‘กาหลิบ’ ยังเสนอแนะต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านบทความ “ลี้ภัย” ด้วยว่า การหนีไปอังกฤษนั้นนอกจากจะหลบไปเลียแผลแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ จำเป็นต้องส่ง “สัญญาณสู้” ด้วย โดย ‘กาหลิบ’ มิเพียงเสนอตัวเป็นกุนซือขงเบ้งให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น แต่ยังพร้อมจะเป็นแม่ทัพจูล่งออกรบให้อีกด้วย ขอเพียง พ.ต.ท.ทักษิณ “ส่งสัญญาณ” เตรียมพร้อมต่อสงครามใหญ่มาเท่านั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า “สัญญาณ” ที่ ‘กาหลิบ’ ระบุนั้น จะมีจำนวนหรือปริมาณกี่มากน้อย มีหน่วยเป็นบาท เป็นปอนด์ เป็นยูโร หรือเป็นดอลลาร์กันแน่ ทว่า เชื่อแน่ได้ว่า น่าจะทำให้ ขงเบ้งกาหลิบ และพลพรรคทั้งหลายของเขา สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวกันได้อีกรอบหนึ่ง หลังจากที่รอบก่อน หลายคนได้รถคันแรก ได้บ้านหลังแรกในชีวิตไปแล้ว
ในบทความชิ้นล่าสุดของ ‘กาหลิบ’ ที่มีชื่อว่า “พ่นพิษ” ที่ตีพิมพ์วานนี้ ‘กาหลิบ’ พยายามที่จะโจมตีสถาบันตุลาการ หนึ่งในเสาหลักของระบอบประชาธิปไตย ที่ประกอบขึ้นด้วย ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ด้วยการดิสเครดิตสถาบันยุติธรรมของประเทศ เช่นเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุไว้ในแถลงการณ์หลบหนีคดีเมื่อวันจันทร์โดยกล่าวว่า
“หลายสำนักข่าวและหลายมหาวิทยาลัยกำลังทำงานวิจัยที่เกี่ยวกับระบบยุติธรรมในเมืองไทยกันอย่างจริงจัง ได้ทราบว่าสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่หลายแห่งเป็นผู้ส่งข้อมูลข่าวสารดีๆไปให้กับคนของเขาในทำนองเปิดประเด็นขึ้นมา”
“บวกกับความผิดเพี้ยนในกรณีปราสาทพระวิหารที่ทำให้มิตรประเทศของเรามองหน้าเราไม่สนิทใจเหมือนเก่า เพราะไม่รู้จะถูกหาเรื่องชกปากกันแบบกัมพูชาขึ้นมาเมื่อไหร่”
“เขากำลังศึกษากันอย่างเข้มข้นว่ากระบวนการยึดอำนาจ และเข้าทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นกลไกหลักนั้นเขาทำอย่างไร ...”
เป็นที่ทราบกันดีว่า สองในสามเสาหลักของระบอบการปกครองของชาติในปัจจุบัน อันประกอบไปด้วย รัฐสภาและรัฐบาลนั้นกลับตกอยู่ในเงื้อมมือของ “ระบอบทักษิณ” อีกครั้ง นับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปลายปี 2550 ทว่า สถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรมบางส่วนนั้นยังสามารถคงความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรม เพื่อค้ำจุนประเทศและสังคมไทยเอาไว้ได้อยู่
น่าแปลกใจว่า เหตุใดเมื่อวันจันทร์แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงออกมาโจมตีกระบวนการยุติธรรมของชาติอย่างรุนแรงขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาและครอบครัวก็ใช้กระบวนการยุติธรรม เป็นเครื่องมือระดมฟ้อง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อในเครือผู้จัดการ-เอเอสทีวี สื่อมวลชนที่อยู่คนละข้าง และแกนนำพันธมิตรฯ อย่างต่อเนื่องหลายสิบคดี
โดยคดีล่าสุดนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ได้มอบอำนาจให้ทนายเข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทกับผู้ต้องหา 6 คน บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด และ บริษัท เอเอสทีวี จำกัด กรณี อ.ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีว่า ไม่เคยมีประวัติศาสตร์ที่มีการฆ่ามากมายเท่ากับสมัยรัฐบาลทักษิณจากกรณีปัญหาความรุนแรงในภาคใต้และปัญหาการฆ่าตัดตอนยาเสพติด
...... โดยหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกฟ้องนั้นก็รวมเอาตัวผมเข้าไปด้วย
ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของประเทศ ทำไมเขาจึงยังอาศัยระบบยุติธรรมมาดำเนินคดีผู้ที่ไม่สวามิภักดิ์ต่อเขาอย่างไม่หยุดยั้ง หรือเขาคิดเพียงว่า กระบวนการยุติธรรมของประเทศประกอบด้วย ตำรวจ และ อัยการ เท่านั้น?!?
ในทางกลับกัน เมื่อศาลอาญาชั้นต้น ตัดสินว่า ภรรยา น้องเขย และ เลขาฯ ภรรยาของเขาถูกตัดสินจำคุกคนละ 2-3 ปีจากคดีหลีกเลี่ยงภาษี เขาถึงกับวิ่งหนีหางจุกตูด หอบเอาครอบครัว ลูกหลานและบริวารหนีไปอังกฤษเสียอย่างนั้น พร้อมกับถ่มน้ำลายสร้างรอยด่างให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศอีกด้วย
วันนี้ แม้ฝ่ายระบอบทักษิณและเพื่อนฝูงของ ‘กาหลิบ’ จะพยายามเข้าไปยึดครองสื่อหลายแขนงไม่ว่าจะผ่าน รายการความเท็จวันนี้ทางเอ็นบีที คลื่นวิทยุวิสดอม เรดิโอ 105 MHz หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ นิตยสารประชาทรรศน์ โดยไม่นับรวมสื่อกระแสหลักและรองอีกมากมาย ทว่าด้วยเนื้อหาอันเป็นความเท็จ หรือไม่ก็บิดเบือนความจริง ทั้งยังมีที่มาจาก โลภะ-โทสะ-โมหะ จึงทำให้จำนวนผู้เสพสื่อเหล่านี้ หดตัวเหลือกลุ่มเล็กลงๆ ทุกที ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ตรงกันข้ามกับมวลชนที่นับวันจะวิ่งเข้าหาความจริงจากกลุ่มพันธมิตรฯ มากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ ผมฟันธงได้เลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่มีวันได้กลับเมืองไทย และ สงครามประชาชนตามความมุ่งหมายของนายกาหลิบจะไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะหนทางเดียวที่จะทำให้เกิดอย่างนั้น คือ เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร
‘การปฏิวัติรัฐประหาร’ ที่วันนี้มิเพียงปราศจากเชื้อเพลิงเท่านั้น แต่ในสถานการณ์ที่ทั่วประเทศเต็มไปด้วยสายธารแห่งข้อมูลข่าวสาร และปัญญาที่กำลังไหลเรื่อย-ซึมลึกไปทั่วทุกหนทุกแห่งของประเทศไทย