xs
xsm
sm
md
lg

จิตสำนึกเลวๆ กรณีพระวิหาร

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งเป็นชาวกัมพูชาเชื้อสายจีน เป็นรูมเมตสมัยเรียนหนังสือที่กรุงปักกิ่ง ผมเรียกชื่อเล่นเขาว่า อาลิ้ม ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากแซ่ของเขา

อาลิ้มเคยบินมาหาผมที่เมืองไทย 2 ครั้ง แต่ผมไม่เคยไปเยี่ยมอาลิ้มที่พนมเปญสักครั้งเดียว ปัจจุบันอาลิ้มเป็นนักธุรกิจอยู่ในกรุงพนมเปญ ทำธุรกิจขายคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ แต่งงานแล้วและมีลูกสาวน่ารักคนหนึ่ง

หนึ่งปีที่พักอาศัยอยู่ด้วยกัน ทำให้ผมเห็นว่า อาลิ้มเป็นคนมีจิตใจดี และรักคนไทย อาลิ้มเล่าว่าบิดาของเขามาเมืองไทยบ่อยจนพูดภาษาไทยได้เล็กน้อย

อาลิ้มในฐานะชาวกัมพูชาที่ผมรู้จักอาจไม่สามารถอธิบายแทนชาวกัมพูชาได้ทั้งหมด แต่มันทำให้เห็นว่า แท้จริงแล้วเขากับเราไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองอะไรกัน แม้จะมีบาดแผลเล็กๆ ในประวัติศาสตร์แต่นั่นเป็นเรื่องของอดีตที่ไม่หยิบยกมาให้หมางใจกัน

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น 2 -3 ปีมานี้คือ ปัญหาเรื่องที่ดิน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบประสาทพระวิหาร ซึ่งกัมพูชาส่งคนและทหารของเขาเข้ามายึดครอง และกำลังตัดถนนและสร้างถาวรวัตถุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะที่ภาคประชาชนคือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาทวงสิทธิ์ผืนดิน 4.6 ตารางกิโลเมตรดังกล่าว และขับไล่กัมพูชาออกไปจากแผ่นดินไทย ตั้งแต่ยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช แต่รัฐบาลยุคนั้นก็ยืนยันว่า ไทยยังไม่เสียดินแดน และเมื่อพันธมิตรฯ เดินทางไปเพื่อพิสูจน์ความจริง กลับมีการจัดตั้งชาวบ้านออกมาขัดขวาง

คุณอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ในตอนที่ยังเป็นพรรคฝ่ายค้านก็มีจุดยืนเช่นเดียวกับพันธมิตรฯ

ถ้าจำกันได้ตอนนั้น รัฐมนตรีพาณิชย์ของประเทศกัมพูชา ออกมายอมรับเองว่า ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายที่พยายามโยงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารเข้ากับผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา

คำพูดของรัฐมนตรีพาณิชย์กัมพูชาในขณะนั้น เขาหมายถึงยุคสมัยของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่า คำพูดของพันธมิตรฯ บนเวทีในระหว่างการชุมนุมนั้นไม่ใช่เรื่องที่เลื่อนลอยหรือกล่าวหารัฐบาลทักษิณว่า มีความพยายามแลกเปลี่ยนพื้นที่รอบเขาพระวิหารกับผลประโยชน์ในทะเลโดยไม่มีหลักฐาน

และเมื่อพ้นจากยุครัฐบาลนอมินีของทักษิณแล้ว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังไม่นิ่งนอนใจที่จะติดตามเรื่องนี้ เครือข่ายของคุณวีระ สมความคิดก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้

แต่กลายเป็นว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกษิต ภิรมย์ กลับมีท่าทีและจุดยืนที่เปลี่ยนไป และมีท่าทีต่อพันธมิตรฯ ในเรื่องนี้เช่นเดียวกับรัฐบาลพลังประชาชนที่ตัวเองเคยวิพากษ์วิจารณ์มาก่อน

กลายเป็นว่า พันธมิตรฯ กลับถูกรัฐบาลประชาธิปัตย์ตอบโต้ยิ่งกว่ารัฐบาลนอมินีทักษิณ และรัฐบาลอภิสิทธิ์และคุณกษิตก็ยังยืนยันว่า ไทยเรายังไม่ได้เสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชา

แต่ตลกไหมครับ ตอนที่คุณกษิตพร้อมทีมงานเข้าไปดูพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร กลับต้องขออนุญาตทหารกัมพูชาเข้าไป

การเดินทางไปเพื่อประกาศสัจวาจาว่า ดินแดนดังกล่าวเป็นพื้นที่ของไทยไม่ใช่พื้นที่ของกัมพูชาของคุณวีระและเครือข่ายมวลชนพันธมิตรฯ กลับต้องเผชิญกับกองกำลังที่จัดตั้งขึ้นมา เพื่อให้เห็นว่า คนไทยยกกำลังตีกันเอง โดยที่อำนาจรัฐให้ความร่วมมือและจัดตั้งกองกำลังเถื่อนดังกล่าวขึ้นมา

พวกเขาไม่คิดว่า การจัดตั้งคนไทยไล่ตีกันเองนั้นจะทำให้ประเทศชาติเสียหายอย่างไร เพียงเพื่อจะกล่าวหาว่า พันธมิตรฯ เข้าไปก่อเหตุความรุนแรงไล่ทุบตีชาวบ้าน

แต่สังคมไทยไม่ได้กินแกลบ เขาตั้งคำถามง่ายๆ ว่า ถ้าพันธมิตรฯ ซึ่งมีจุดประสงค์จะเดินทางไปเรียกร้องอธิปไตยของชาติไม่ถูกคนบางกลุ่มเกณฑ์ชาวบ้านมาทำร้ายจะเกิดความรุนแรงได้อย่างไร แล้วด้วยสำนึกของความเป็นไทย คนไทยด้วยกันควรจะสนับสนุนพันธมิตรฯ หรือยกพวกมาไล่ตีพันธมิตรฯ

ผมกล้าพูดอย่างนี้ เพราะว่า กองกำลังเถื่อนดังกล่าวที่มีอาวุธปืนมีดไม้ หนังสติ๊ก ระเบิดปิงปองครบมือจะไม่มีวันกล้ากระทำการดังกล่าวเลย ถ้าไม่มีอำนาจรัฐหนุนหลัง และแสดงความป่าเถื่อนต่อหน้านายอำเภอ นายตำรวจ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัด และสื่อมวลชนจากส่วนกลางจำนวนมาก

นอกจากปรากฏหลักฐานด้วยภาพแล้ว สื่อมวลชนในพื้นที่ก็รู้ว่า กองกำลังเถื่อนนั้นมาจากไหน แต่ปัญหาก็คือว่า มีสื่อส่วนหนึ่งที่พยายามบิดเบือนให้เห็นว่า ถ้าพันธมิตรฯ ไม่เดินทางไปก็ไม่เกิดความรุนแรงขึ้นที่นั่น

ผู้รายงานข่าวหญิงคนหนึ่งของช่อง 11ได้รายงานจากพื้นที่ว่า พันธมิตรฯ พยายามบุกเข้าไปทำร้ายชาวบ้านในวัด ส่วนฝ่ายชาวบ้านขว้างปา “ขวดน้ำ” เข้าใส่ ทั้งๆ ที่ภาพข่าวมันขัดแย้งกับที่ตัวเองกำลังรายงาน

แต่ผมคิดว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์และคุณอภิสิทธิ์คงจะหาคำตอบได้ไม่ยากว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากไหนและใครเป็นฝ่ายเริ่ม นอกจากแกล้งลิ่วตาให้กับอันธพาลการเมืองที่มีบุญคุณเหนือรัฐบาล หรือปล่อยให้คนอย่างนายสุเทพเข้ามาจัดการ

สรกล อดุลยานนท์ เจ้าของนามปากกา “หนุ่มเมืองจันท์” ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ทักษิณ ชินวัตร อัศวินคลื่นลูกที่สาม ใช้อีกนามปากกา “วิหคเหินฟ้า” สำรอกว่า “ชาวบ้านภูมิซรอล ก็เหมือนกับชาวบ้าน “ชุมชนนางเลิ้ง” ที่ออกมาปกป้องตัวเองจาก “ม็อบเสื้อแดง” เมื่อเหตุการณ์ “สงกรานต์เลือด” อย่าลืมว่า “ม็อบเสื้อเหลือง” ไปแล้วก็กลับ แต่คนที่อยู่กับ “ปัญหา” ทุกวัน คือชาวบ้านที่ภูมิซรอล”

ผมว่า ชาวบ้านนางเลิ้งที่ถูกคนเสื้อแดงฆ่าไป 2 ศพ คงจะงงๆ กับสรกลซึ่งเป็นกองเชียร์คนเสื้อแดง เพราะพวกเขาออกมาต่อต้านขัดขวางคนเสื้อแดงที่พยายามจุดไฟเผารถเมล์พื้นที่ของเขา เพราะเกรงว่า ไฟจะลามเข้าไปติดในชุมชน แต่ถูกคนเสื้อแดงใช้อาวุธไล่ยิงจนมีผู้เสียชีวิตดังกล่าว พวกเขาเป็นมวลชนที่ลุกขึ้นมาด้วยจิตสำนึกไม่ใช่การจัดตั้งของอำนาจรัฐที่ไหน

จะไปเปรียบเทียบได้อย่างไรกับมวลชนจัดตั้งที่ซุ่มโจมตีมวลชนพันธมิตรฯ ที่เดินทางไปยังปราสาทพระวิหาร เพื่อประกาศว่า ผืนดินที่กัมพูชาเข้ามายึดครอง 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้นเป็นของไทย

แล้วน่าแปลกไหมครับ เพราะเท่ากับสรกลพยายามบิดเบือนว่า มวลชนพันธมิตรฯ ที่ไปที่เขาพระวิหารก็ไม่ต่างกับเสื้อแดงที่ไปไล่ยิงชาวนางเลิ้ง แต่สรกลไม่เคยประณามเสื้อแดงมาก่อนเลย และถ้าเป็นเช่นนั้น ผมไม่ทราบว่า ทำไมสรกลจึงไม่ชื่นชมเนวินที่จัดคนสีน้ำเงินมาปะทะกับเสื้อแดงที่พัทยา

ผมคิดว่า สรกลคงไม่โง่ นักข่าวของมติชนที่อยู่ในพื้นที่ก็คงรู้ว่า กลุ่มคนเหล่านั้นมาจากไหนและใครเป็นฝ่ายก่อให้เกิดภาพความรุนแรงขึ้น นอกเสียจากต้องการบิดเบือนข้อเท็จจริง

เพราะเด็กอนุบาลก็คงแยกแยะได้ว่า ระหว่างอำนาจรัฐจัดตั้งกองกำลังเถื่อนขึ้นมาเพื่อซุ่มทำร้ายกับคนที่เดินทางไปด้วยจิตสำนึกที่รักชาติและป้องกันตัวเองจากการถูกกระทำฝ่ายเดียว ใครเป็นฝ่ายถูกฝ่ายผิด

                                              
                                                          (surawhisky@hotmail.com)

กำลังโหลดความคิดเห็น