“เราต่อสู้กันมายาวนานและถูกรังแกมานานและวันนี้ก็ได้เจอกันอีกได้เห็นหน้า 3 เกลอ แต่ที่แน่ๆ คิดถึงพี่น้อง พี่น้องยังต่อสู้กันอยู่อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว ผมอยากกลับบ้านแล้วนะ อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว”
“ผมอยากกลับบ้านแต่กลับไม่ได้ ผมไม่อาฆาตใคร เวรกรรมมันเหมือนคลื่นสึนามิ มันมาทีก็พัง ผมยกให้เป็นเรื่องของเวรกรรม ใครทำอะไรกับผม เวรกรรมจะตามทันเอง”
ทั้งหมดนั้นเป็นคำพูดของทักษิณที่ประเด็นเรื่องการ “กลับบ้าน” เป็นเนื้อหาหลักในการโฟนอินครั้งหลังๆ
ก่อนหน้านั้นทักษิณได้โฟนอินมายังกลุ่มคนเสื้อแดงว่า พี่น้องเสื้อแดงอย่ากลับบ้านมือเปล่า จนกลายเป็นชนวนแดงคลั่งเผาบ้านเผาเมือง ขู่ระเบิดรถแก๊สที่ปล้นมา ยิงมัสยิด เผารถเมล์ไปหลายสิบคัน ล้มประชุมอาเซียน ฆ่าชาวบ้านตาย 2 ศพมาแล้ว
จรัล ดิษฐาอภิชัย ไม่อิดเอื้อนอีกต่อไปว่า เขาลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อใคร เมื่อประกาศว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าเขาจะนำทักษิณ กลับบ้าน เพราะเห็นว่า 1. ทักษิณเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีสิทธิอยู่ในประเทศ 2. ทักษิณเป็นผู้นำประเทศ มีหน้าที่จะต้องกลับบริหารประเทศ 3. ประชาชนต้องการให้ทักษิณกลับมา
สรุปเนื้อหาใจความหลักของทักษิณและลิ่วล้อของทักษิณ ก็คือ การพยายามสร้างวาทกรรมโกหกว่า ทักษิณกลับบ้านไม่ได้ เพราะถูกกลั่นแกล้ง
กระนั้นก็ตามแม้เสียงของทักษิณและลิ่วล้อจะเป็นเรื่องโกหก และพยายามจะบิดเบือนว่า กระบวนการยุติธรรม อำนาจรัฐไทยนั้นกลั่นแกล้งเขา แต่ผู้มีอำนาจกลับปล่อยให้เสียงร้องของทักษิณล่องลอยประจานกระบวนการยุติธรรมไทยและอำนาจรัฐไทยอย่างไม่มีใครใส่ใจ
ทั้งที่แท้จริงแล้ว ไม่มีใครไม่ต้องการให้ทักษิณกลับบ้าน ไม่ว่า เสื้อเหลืองที่ต้องการให้ทักษิณกลับมาติดคุก และเสื้อแดงที่ถูกหลอกให้เชื่อว่า ทักษิณถูกผู้มีอำนาจกลั่นแกล้งไม่ให้กลับบ้าน
ไม่มีเสียงออกมาโต้แย้งแม้จากศาลสถิตยุติธรรมว่า ได้ตัดสินคดีความของทักษิณอย่างไม่เป็นธรรมอย่างที่ทักษิณกล่าวหาหรือไม่ ไม่แต่เท่านั้นกลับปล่อยทักษิณซึ่งเป็นนักโทษหนีคุกสามารถตั้งตัวแทนในการกล่าวหา และร้องทุกข์กล่าวโทษผู้อื่นต่อศาลได้อีกด้วย
ทั้งที่เสียงร้องของทักษิณนั้นพุ่งเป้าไปยังกระบวนการยุติธรรมว่า มีการจัดตั้งกระบวนการไม่ยุติธรรมในการตัดสินให้เขาติดคุก และมี 2 มาตรฐาน
รัฐบาลทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้ขบวนการทักษิณสร้างกระแสบิดเบือนขึ้นมาในชาติและในโลก โดยคุณอภิสิทธิ์ก็ยังคงมีความสุขดีอยู่กับการปาฐกถารายวัน
สัปดาห์นี้วันพุธ คุณอภิสิทธิ์ ปาฐกถาเช้ากับบ่าย วันพฤหัสบดี ปาฐกถา 3 รอบ เช้า บ่าย ค่ำ วันศุกร์นี้ปาฐกถาอีก 2 รอบ
แต่พอเราวิจารณ์รัฐบาล เรียกร้องให้รัฐบาลทำงาน กองเชียร์ ปชป.ซึ่งเคยเป็นเนื้อเดียวกับพันธมิตรฯ ออกมาติฉินว่า พวกเราไม่ให้โอกาสรัฐบาล
ทั้งๆ ที่สิ่งที่เราวิพากษ์วิจารณ์นั้น เป็นการสะท้อนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ และห่วงว่า ความอ่อนหัดของรัฐบาลชุดนี้กำลังนำพาไปสู่ความไม่มั่นคงสถาบันหลักของชาติ
เพราะขบวนการของทักษิณและลิ่วล้อที่เคลื่อนไหวอยู่นั้น มีความพยายามทำให้เห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์และคนในสถาบันเกี่ยวข้องกับการกำจัดเขาออกจากอำนาจ
และถ้าเรายังปล่อยให้ทักษิณบิดเบือนต่อชาวโลกว่า คำพิพากษาให้เขาติดคุก 2 ปี ในกรณีที่ดินรัชดาฯ นั้น เกิดขึ้น เพราะต้องการเล่นงานเขา แล้วความเป็นรัฐในสายตาชาวโลกจะถูกเขามองติฉินอย่างไร
ตอนนี้ทักษิณและลิ่วล้อของทักษิณใช้เวทีสากลเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความเห็นใจให้กับสังคมมากขึ้น แต่รัฐบาลกลับไม่พยายามทำให้สังคมโลกรู้ว่า ประเทศไทยไม่เคยกีดกันไม่ให้ทักษิณกลับบ้าน ไม่เคยทำให้สังคมโลกรับรู้ว่า การตัดสินพิจารณาโทษของทักษิณเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรม
ไม่เพียงแต่ทักษิณทำให้ชาวโลกเข้าใจเช่นนั้น แต่รัฐบาลซึ่งมีเครื่องมือสื่อสารอยู่เต็มไม้เต็มมือ กลับปล่อยให้ขบวนการทักษิณลิ่วล้อบิดเบือนต่อชาวบ้านว่า ทักษิณกลับบ้านไม่ได้ เพราะถูกกลั่นแกล้ง
เหมือนกับการตอกย้ำว่า ความยุติธรรม 2 มาตรฐานในสังคมไทยนั้นเป็นเรื่องจริง
เราปล่อยให้ทักษิณทำให้สื่อต่างชาติและชาวโลกเข้าใจว่า เขาจะกลับบ้านได้ด้วยการพึ่งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่า พระองค์ทรงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เหมือนที่ทักษิณเคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ พาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า พระองค์ทรงทราบเรื่องการทำรัฐประหารของฝ่ายทหารเพื่อโค่นล้มเขาในปี 2549 ตั้งแต่ก่อนเกิดการลงมือยึดอำนาจขับไสตัวเขาออกจากตำแหน่งแล้ว
“ถ้าผมได้เข้ามาบริหารประเทศ จะนำความมั่นใจกลับสู่ประเทศไทยได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมต้องกลับไปเล่นการเมือง เราจะต้องหากลไกที่จะทำให้ผมกลับได้ อย่างไรก็ตาม การจะกลับประเทศได้ ก็ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่ามีความจำเป็น และประชาชนต้องการ ผมคิดว่าปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับประชาชน ถ้าพวกเขารู้สึกว่าลำบากมาก และเรียกร้องให้ผมกลับผมจะกลับ ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้สึกว่าผมมีประโยชน์ ผมก็จะกลับไป และพระองค์อาจจะทรงอภัยโทษให้ผม แต่ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าผมช่วยอะไรไม่ได้ และประชาชนไม่ต้องการผม ผมจะอยู่ที่นี่และทำธุรกิจต่อไป”
คำสัมภาษณ์นี้ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์อาระเบียน บิวสิเนส ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ที่ตีพิมพ์ที่เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นถิ่นพำนักของทักษิณ
และเรายังปล่อยให้มิตรประเทศแห่งนี้ให้แผ่นดินทักษิณเป็นกองบัญชาการในการทำร้ายทำลายประเทศไทย ทั้งที่เราเพิ่งส่งนักโทษที่เขาต้องการตัวและหลบหนีเข้ามาในไทยกลับคืนไปเมื่อไม่นานมานี้
ทักษิณทำให้สังคมโลกเข้าใจว่า พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นที่จะพาเขากลับบ้านได้ ซึ่งสอดรับกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงเองออกมาเคลื่อนไหวล่ารายชื่อเพื่อถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
ครั้งหนึ่งทักษิณพูดว่า “แน่นอน ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศไทยได้ นอกจากพระบารมีที่ทรงเมตตา”
แต่การล่ารายชื่อเพื่อถวายฎีกาก็เป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี เมื่อย้อนกลับไปดูธงที่พวกเขาต่อสู้ ก็คือ การโค่นล้มศักดินา แต่พอพวกเขาโต้แย้งเหตุผลเรื่องการล่ารายชื่อ พวกเขาย้อนเลยปี 2475 ไปอ้างสมัยพ่อขุนรามคำแหงที่ให้ชาวบ้านมาเคาะระฆังร้องทุกข์
วันนี้ประเด็นของสถาบันพระมหากษัตริย์ยังปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ใบปลิวและสื่อที่ลิ่วล้อของระบอบทักษิณจัดทำขึ้น และทำให้ชาวบ้านที่ขาดข้อมูลข่าวสารที่แท้จริงหลงเชื่อ แต่จะโทษชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งที่ยังหลงใหลในเงินตราของทักษิณก็ชี้นำให้ชาวบ้านเชื่อเช่นนั้น
ถ้าเราวิจารณ์รัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่ได้ ก็ให้รอวันทักษิณกลับบ้านในฐานะผู้ชนะไม่ใช่นักโทษหนีคุก
surawhisky@hotmail.com
“ผมอยากกลับบ้านแต่กลับไม่ได้ ผมไม่อาฆาตใคร เวรกรรมมันเหมือนคลื่นสึนามิ มันมาทีก็พัง ผมยกให้เป็นเรื่องของเวรกรรม ใครทำอะไรกับผม เวรกรรมจะตามทันเอง”
ทั้งหมดนั้นเป็นคำพูดของทักษิณที่ประเด็นเรื่องการ “กลับบ้าน” เป็นเนื้อหาหลักในการโฟนอินครั้งหลังๆ
ก่อนหน้านั้นทักษิณได้โฟนอินมายังกลุ่มคนเสื้อแดงว่า พี่น้องเสื้อแดงอย่ากลับบ้านมือเปล่า จนกลายเป็นชนวนแดงคลั่งเผาบ้านเผาเมือง ขู่ระเบิดรถแก๊สที่ปล้นมา ยิงมัสยิด เผารถเมล์ไปหลายสิบคัน ล้มประชุมอาเซียน ฆ่าชาวบ้านตาย 2 ศพมาแล้ว
จรัล ดิษฐาอภิชัย ไม่อิดเอื้อนอีกต่อไปว่า เขาลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อใคร เมื่อประกาศว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าเขาจะนำทักษิณ กลับบ้าน เพราะเห็นว่า 1. ทักษิณเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีสิทธิอยู่ในประเทศ 2. ทักษิณเป็นผู้นำประเทศ มีหน้าที่จะต้องกลับบริหารประเทศ 3. ประชาชนต้องการให้ทักษิณกลับมา
สรุปเนื้อหาใจความหลักของทักษิณและลิ่วล้อของทักษิณ ก็คือ การพยายามสร้างวาทกรรมโกหกว่า ทักษิณกลับบ้านไม่ได้ เพราะถูกกลั่นแกล้ง
กระนั้นก็ตามแม้เสียงของทักษิณและลิ่วล้อจะเป็นเรื่องโกหก และพยายามจะบิดเบือนว่า กระบวนการยุติธรรม อำนาจรัฐไทยนั้นกลั่นแกล้งเขา แต่ผู้มีอำนาจกลับปล่อยให้เสียงร้องของทักษิณล่องลอยประจานกระบวนการยุติธรรมไทยและอำนาจรัฐไทยอย่างไม่มีใครใส่ใจ
ทั้งที่แท้จริงแล้ว ไม่มีใครไม่ต้องการให้ทักษิณกลับบ้าน ไม่ว่า เสื้อเหลืองที่ต้องการให้ทักษิณกลับมาติดคุก และเสื้อแดงที่ถูกหลอกให้เชื่อว่า ทักษิณถูกผู้มีอำนาจกลั่นแกล้งไม่ให้กลับบ้าน
ไม่มีเสียงออกมาโต้แย้งแม้จากศาลสถิตยุติธรรมว่า ได้ตัดสินคดีความของทักษิณอย่างไม่เป็นธรรมอย่างที่ทักษิณกล่าวหาหรือไม่ ไม่แต่เท่านั้นกลับปล่อยทักษิณซึ่งเป็นนักโทษหนีคุกสามารถตั้งตัวแทนในการกล่าวหา และร้องทุกข์กล่าวโทษผู้อื่นต่อศาลได้อีกด้วย
ทั้งที่เสียงร้องของทักษิณนั้นพุ่งเป้าไปยังกระบวนการยุติธรรมว่า มีการจัดตั้งกระบวนการไม่ยุติธรรมในการตัดสินให้เขาติดคุก และมี 2 มาตรฐาน
รัฐบาลทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้ขบวนการทักษิณสร้างกระแสบิดเบือนขึ้นมาในชาติและในโลก โดยคุณอภิสิทธิ์ก็ยังคงมีความสุขดีอยู่กับการปาฐกถารายวัน
สัปดาห์นี้วันพุธ คุณอภิสิทธิ์ ปาฐกถาเช้ากับบ่าย วันพฤหัสบดี ปาฐกถา 3 รอบ เช้า บ่าย ค่ำ วันศุกร์นี้ปาฐกถาอีก 2 รอบ
แต่พอเราวิจารณ์รัฐบาล เรียกร้องให้รัฐบาลทำงาน กองเชียร์ ปชป.ซึ่งเคยเป็นเนื้อเดียวกับพันธมิตรฯ ออกมาติฉินว่า พวกเราไม่ให้โอกาสรัฐบาล
ทั้งๆ ที่สิ่งที่เราวิพากษ์วิจารณ์นั้น เป็นการสะท้อนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ และห่วงว่า ความอ่อนหัดของรัฐบาลชุดนี้กำลังนำพาไปสู่ความไม่มั่นคงสถาบันหลักของชาติ
เพราะขบวนการของทักษิณและลิ่วล้อที่เคลื่อนไหวอยู่นั้น มีความพยายามทำให้เห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์และคนในสถาบันเกี่ยวข้องกับการกำจัดเขาออกจากอำนาจ
และถ้าเรายังปล่อยให้ทักษิณบิดเบือนต่อชาวโลกว่า คำพิพากษาให้เขาติดคุก 2 ปี ในกรณีที่ดินรัชดาฯ นั้น เกิดขึ้น เพราะต้องการเล่นงานเขา แล้วความเป็นรัฐในสายตาชาวโลกจะถูกเขามองติฉินอย่างไร
ตอนนี้ทักษิณและลิ่วล้อของทักษิณใช้เวทีสากลเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความเห็นใจให้กับสังคมมากขึ้น แต่รัฐบาลกลับไม่พยายามทำให้สังคมโลกรู้ว่า ประเทศไทยไม่เคยกีดกันไม่ให้ทักษิณกลับบ้าน ไม่เคยทำให้สังคมโลกรับรู้ว่า การตัดสินพิจารณาโทษของทักษิณเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรม
ไม่เพียงแต่ทักษิณทำให้ชาวโลกเข้าใจเช่นนั้น แต่รัฐบาลซึ่งมีเครื่องมือสื่อสารอยู่เต็มไม้เต็มมือ กลับปล่อยให้ขบวนการทักษิณลิ่วล้อบิดเบือนต่อชาวบ้านว่า ทักษิณกลับบ้านไม่ได้ เพราะถูกกลั่นแกล้ง
เหมือนกับการตอกย้ำว่า ความยุติธรรม 2 มาตรฐานในสังคมไทยนั้นเป็นเรื่องจริง
เราปล่อยให้ทักษิณทำให้สื่อต่างชาติและชาวโลกเข้าใจว่า เขาจะกลับบ้านได้ด้วยการพึ่งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่า พระองค์ทรงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เหมือนที่ทักษิณเคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ พาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า พระองค์ทรงทราบเรื่องการทำรัฐประหารของฝ่ายทหารเพื่อโค่นล้มเขาในปี 2549 ตั้งแต่ก่อนเกิดการลงมือยึดอำนาจขับไสตัวเขาออกจากตำแหน่งแล้ว
“ถ้าผมได้เข้ามาบริหารประเทศ จะนำความมั่นใจกลับสู่ประเทศไทยได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมต้องกลับไปเล่นการเมือง เราจะต้องหากลไกที่จะทำให้ผมกลับได้ อย่างไรก็ตาม การจะกลับประเทศได้ ก็ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่ามีความจำเป็น และประชาชนต้องการ ผมคิดว่าปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับประชาชน ถ้าพวกเขารู้สึกว่าลำบากมาก และเรียกร้องให้ผมกลับผมจะกลับ ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้สึกว่าผมมีประโยชน์ ผมก็จะกลับไป และพระองค์อาจจะทรงอภัยโทษให้ผม แต่ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าผมช่วยอะไรไม่ได้ และประชาชนไม่ต้องการผม ผมจะอยู่ที่นี่และทำธุรกิจต่อไป”
คำสัมภาษณ์นี้ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์อาระเบียน บิวสิเนส ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ที่ตีพิมพ์ที่เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นถิ่นพำนักของทักษิณ
และเรายังปล่อยให้มิตรประเทศแห่งนี้ให้แผ่นดินทักษิณเป็นกองบัญชาการในการทำร้ายทำลายประเทศไทย ทั้งที่เราเพิ่งส่งนักโทษที่เขาต้องการตัวและหลบหนีเข้ามาในไทยกลับคืนไปเมื่อไม่นานมานี้
ทักษิณทำให้สังคมโลกเข้าใจว่า พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นที่จะพาเขากลับบ้านได้ ซึ่งสอดรับกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงเองออกมาเคลื่อนไหวล่ารายชื่อเพื่อถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
ครั้งหนึ่งทักษิณพูดว่า “แน่นอน ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศไทยได้ นอกจากพระบารมีที่ทรงเมตตา”
แต่การล่ารายชื่อเพื่อถวายฎีกาก็เป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี เมื่อย้อนกลับไปดูธงที่พวกเขาต่อสู้ ก็คือ การโค่นล้มศักดินา แต่พอพวกเขาโต้แย้งเหตุผลเรื่องการล่ารายชื่อ พวกเขาย้อนเลยปี 2475 ไปอ้างสมัยพ่อขุนรามคำแหงที่ให้ชาวบ้านมาเคาะระฆังร้องทุกข์
วันนี้ประเด็นของสถาบันพระมหากษัตริย์ยังปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ใบปลิวและสื่อที่ลิ่วล้อของระบอบทักษิณจัดทำขึ้น และทำให้ชาวบ้านที่ขาดข้อมูลข่าวสารที่แท้จริงหลงเชื่อ แต่จะโทษชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งที่ยังหลงใหลในเงินตราของทักษิณก็ชี้นำให้ชาวบ้านเชื่อเช่นนั้น
ถ้าเราวิจารณ์รัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่ได้ ก็ให้รอวันทักษิณกลับบ้านในฐานะผู้ชนะไม่ใช่นักโทษหนีคุก
surawhisky@hotmail.com