เห็นภาพทักษิณถ่ายรูปของสมเด็จพระรามาธิบดีสวาติที่ 3 แห่งชนเผ่างูนิ ราชอาณาจักรสวาซิแลนด์แล้ว ภาพพระเจ้ามูลเมืองก็ผุดขึ้นมาพร้อมกับพระเจ้ากือนา
พระเจ้ามูลเมืองนั้นมีคนบอกว่าเป็นชาติปางก่อนของทักษิณ แต่ไม่รู้ว่า ครองราชย์ครองแผ่นดินในภพสมัยไหนเพราะไม่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ส่วนพระเจ้ากือนานั้น ใครเห็นแล้วก็หัวร่องอหายเพราะหน้าตาที่ศิลปินวาดภาพจินตนาการออกมานั้น ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับทรราชย์แห่งยุคคนหนึ่งจริงๆ
กระนั้นก็ตามเมื่อเห็นภาพเศษหินสีขาวๆ ในมือที่ทักษิณถืออยู่ที่เหมืองเพชรประเทศนามิเบียแล้ว ก็อดนึกถึงทองในถ้ำลิเจียไม่ได้
ไม่น่าเชื่อว่า นักสู้เพื่อประชาธิปไตยจากคำสรรเสริญเยินยอของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ของคนกลุ่มเสื้อแดงซึ่งชูธงเพื่อล้มอำมาตยาธิปไตยกลุ่มหนึ่ง จึงเลือกไปประเทศที่ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และมีอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV/AIDSในประชากรผู้ใหญ่ ร้อยละ 26.1 (2550:CIA)
ภายหลังจากที่ได้รับเอกราช สวาซิแลนด์เคยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีพรรคการเมืองหลายพรรค และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิในการเลือกตั้ง ต่อมาระหว่าง ค.ศ. 1973-1977 สมเด็จพระราชาธิบดีโซบูซาที่ 2 แห่งราชวงศ์ดลามินี พระบิดาของของสมเด็จพระรามาธิบดีสวาติที่ 3 ได้ทรงปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงการปกครองของสวาซิแลนด์ โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจการปกครองให้อยู่ภายใต้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และทรงตราพระราชบัญญัติห้ามการจัดตั้งพรรคการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง
ทั้งนี้การกล่าวเช่นนี้เป็นการกล่าวถึงประเทศสวาซิแลนด์ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปรังเกียจเดียดฉันท์ประเทศอื่นเขา
หลายคนพูดแบบขำๆ ว่า เมื่อนึกถึงคำพูดของหลวงตาบัวแล้ว การไปสวาซิแลนด์เที่ยวนี้อาจเป็นการดูงานของทักษิณก็ได้
แม้ว่าจะพลาดมาแล้วเที่ยวหนึ่งที่ออกวิดีโอลิงก์ยุให้สู้แดงสู้ไม่ถอยอย่ากลับบ้านมือเปล่า จนคลั่งเผาบ้านเผาเมือง ลูกสมุนประกาศให้ไปจับตัวนายกรัฐมนตรีมาแขวนคอ ถึงนายกฯ จะรอดตายจากถูกล้อมที่กระทรวงมหาดไทยแต่เลขาธิการนายกฯ แทบเอาชีวิตไม่รอด ปล้นรถแก๊สเตรียมถล่มเมือง ปิดทางเข้าออกโรงพยาบาล 4 แห่ง ยิงมัสยิด เผารถเมล์ไปหลายสิบคัน และยิงชาวบ้านนางเลิ้งตายไปสองศพ ฯลฯ
เมื่อย้อนไปมองพฤติกรรมของคนเสื้อแดงแล้วล้วนชวนให้คิดว่า ประชาธิปไตยของพวกเขา ของหน้า 3 ไทยรัฐ (ยกเว้นวันอาทิตย์) ของคอลัมนิสต์มติชนที่ชื่นชมทักษิณ(หนังสือพิมพ์ในเครือได้รับรางวัลเพราะขุดคุ้ยทุจริตของทักษิณ-ไม่รู้เอาไปทิ้งชักโครกหรือยัง) และที่นักวิชาการเชยชมว่า คนเสื้อแดงกำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นประชาธิปไตยแบบไหน
ประชาธิปไตยแบบฆ่าตัดตอน ประชาธิปไตยแบบฆ่าหมู่ที่กรือเซอะ ประชาธิปไตยที่สร้างผลประโยชน์ทับซ้อนเพื่อเบียดบังรัฐให้ครอบครัวและธุรกิจของตัวเอง ประชาธิปไตยที่ทำลายองค์กรอิสระ ประชาธิปไตยที่ทำลายฝ่ายค้านด้วยการซื้อพรรค ประชาธิปไตยแบบผัวขายสมบัติชาติให้เมีย ประชาธิปไตยแบบขายสัมปทานรัฐให้ต่างชาติ ฯลฯ
การลุกขึ้นมาปลุกระดมประชาชนให้หลงผิดร่วมลงชื่อขออภัยโทษให้นักโทษชายทักษิณที่ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีแผ้วถางทางให้ภรรยาซื้อที่ดินของรัฐนั้น คือ การยึดมั่นในนิติรัฐซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์สงกรานต์แดงคลั่งเผาเมือง สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณบดีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิชาการผู้นิยมเสื้อแดง เคยบอกว่า การชุมนุมควรอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ถ้าเมื่อไรมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น สังคมควรต้องประณาม จะเห็นว่าการชุมนุมเป็นสิทธิแต่การชุมนุมต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายสันติวิธี เช่น การยึดสนามบิน กลุ่มคนเสื้อแดงก็ไม่ควรทำ
สมชายเป็นนักกฎหมายที่เรียกร้องให้ใช้กฎหมายจัดการอย่างเด็ดขาดกับพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะทำให้เศรษฐกิจเสียหาย แต่เชื่อไหมครับหลังจากสงกรานต์แดงคลั่งเผาเมืองแล้ว เราไม่ได้ยินการประณามเสื้อแดงจากสมชาย คณบดีเสื้อแดงคนนี้เลย
เหมือนกับที่เราไม่เคยได้ยินสมชาย เรียกร้องให้จัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลา และกรณียิงเอ็ม 79 เข้ากลางที่ชุมนุมพันธมิตรฯ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
สมชาย บอกว่า ฐานของกลุ่มคนเสื้อแดงจะบอกว่าเป็นรากหญ้าอย่างเดียวก็ไม่ตรงนัก เพราะมีกลุ่มชนชั้นกลางเข้าร่วมชุมนุมจำนวนไม่น้อย โดยกลุ่มชนชั้นกลางอาจเข้าร่วมชุมนุมในแง่มีอุดมการณ์ทางการเมือง หรือผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจที่ได้มาจากรัฐบาลทักษิณ หากบอกว่า เสื้อเหลืองเป็นคนชนชั้นกลางระดับกลางถึงระดับสูง ส่วนเสื้อแดงเป็นชนชั้นกลางระดับล่างหรือรากหญ้า
แต่สมชายไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วพลังของคนเสื้อเหลืองก็มีคนรากหญ้าจำนวนมาก แต่ไม่ว่า พลังชนชั้นไหนกลุ่มคนเสื้อเหลืองล้วนแล้วแต่คือ พลังเงียบที่ตื่นตัวขึ้นมา เพราะเห็นถึงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นจากระบอบทักษิณ
ไม่ผิดหรอกครับว่า แนวร่วมของคนเสื้อแดงนั้นมีคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองอยู่ด้วย แต่ต้องถามว่า อุดมการณ์ของคนเสื้อแดงหรือผู้เข้าร่วมชุมนุมในแง่อุดมการณ์ของสมชายคืออะไร
เพราะถ้าเราติดตามเนื้อหาของเสื้อแดงคอมมิวนิสต์ และบทความของจักรภพ และใจ อึ๊งภากรณ์แล้ว เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่อำมาตย์ใหญ่ในความหมายแค่พล.อ.เปรมอย่างแน่นอน เป้าหมายของพวกเขาก็คือ การสถาปนาระบอบใหม่ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มีหลายคนพยายามจะแยกภาพของแดงเป็นกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มแดงคอมมิวนิสต์และแดงคอมมิชชัน แน่นอนว่าแดงคอมมิชชันนั้นหมายถึง 3 เกลอหัวขวดที่สู้แล้วรวย และแดงที่สู้เพื่ออุดมการณ์ คือแดงฝ่ายซ้าย แต่ว่าไปแล้ว ทั้งสองกลุ่มก็คาบเกี่ยวกับที่จักรภพ เรียกว่า พวกหากินกับการประท้วงมาชั่วชีวิต
แน่นอนว่า อุดมการณ์ของคนเรานั้นสามารถแตกต่างกันได้ ทุกคนมีสิทธิจะคิดเพื่อไปสู่เป้าหมายของตัวเอง แต่คำถามคือว่า สังคมไทยพร้อมให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงประเทศไปตามแบบที่พวกแดงอุดมการณ์ปรารถนาหรือไม่ ถึงเวลาหรือยัง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นสิ่งที่จีรังก็ตาม
และเราจะปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำรงอยู่ ปล่อยให้พวกแดงอุดมการณ์ลอยหน้าลอยตา เพื่อทายท้าสถาบันหลักของชาติเช่นนั้นหรือ หรือปล่อยให้พวกเขาหลอกใช้ชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ซึ่งส่วนใหญ่แล้วออกมาชุมนุมเพราะถูกหลอกให้เชื่อว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้งมาเป็นเครื่องมือไปสู่เป้าหมายพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า การเคลื่อนไหวที่ท้าทายสถาบันสูงสุด ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างรุนแรงเช่นยุคนี้มาก่อน และก่อตัวขยายวงอยู่ในแวดวงวิชาการ อินเทอร์เน็ต ใบปลิว ฯลฯ
แต่รัฐบาลก็ยังเป็นเด็กเล่นขายของโดยที่ไม่รู้ว่า ใครมีอำนาจที่แท้จริงระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้จัดการรัฐบาล
surawhisky@hotmail.com
พระเจ้ามูลเมืองนั้นมีคนบอกว่าเป็นชาติปางก่อนของทักษิณ แต่ไม่รู้ว่า ครองราชย์ครองแผ่นดินในภพสมัยไหนเพราะไม่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ส่วนพระเจ้ากือนานั้น ใครเห็นแล้วก็หัวร่องอหายเพราะหน้าตาที่ศิลปินวาดภาพจินตนาการออกมานั้น ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับทรราชย์แห่งยุคคนหนึ่งจริงๆ
กระนั้นก็ตามเมื่อเห็นภาพเศษหินสีขาวๆ ในมือที่ทักษิณถืออยู่ที่เหมืองเพชรประเทศนามิเบียแล้ว ก็อดนึกถึงทองในถ้ำลิเจียไม่ได้
ไม่น่าเชื่อว่า นักสู้เพื่อประชาธิปไตยจากคำสรรเสริญเยินยอของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ของคนกลุ่มเสื้อแดงซึ่งชูธงเพื่อล้มอำมาตยาธิปไตยกลุ่มหนึ่ง จึงเลือกไปประเทศที่ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และมีอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV/AIDSในประชากรผู้ใหญ่ ร้อยละ 26.1 (2550:CIA)
ภายหลังจากที่ได้รับเอกราช สวาซิแลนด์เคยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีพรรคการเมืองหลายพรรค และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิในการเลือกตั้ง ต่อมาระหว่าง ค.ศ. 1973-1977 สมเด็จพระราชาธิบดีโซบูซาที่ 2 แห่งราชวงศ์ดลามินี พระบิดาของของสมเด็จพระรามาธิบดีสวาติที่ 3 ได้ทรงปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงการปกครองของสวาซิแลนด์ โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจการปกครองให้อยู่ภายใต้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และทรงตราพระราชบัญญัติห้ามการจัดตั้งพรรคการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง
ทั้งนี้การกล่าวเช่นนี้เป็นการกล่าวถึงประเทศสวาซิแลนด์ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปรังเกียจเดียดฉันท์ประเทศอื่นเขา
หลายคนพูดแบบขำๆ ว่า เมื่อนึกถึงคำพูดของหลวงตาบัวแล้ว การไปสวาซิแลนด์เที่ยวนี้อาจเป็นการดูงานของทักษิณก็ได้
แม้ว่าจะพลาดมาแล้วเที่ยวหนึ่งที่ออกวิดีโอลิงก์ยุให้สู้แดงสู้ไม่ถอยอย่ากลับบ้านมือเปล่า จนคลั่งเผาบ้านเผาเมือง ลูกสมุนประกาศให้ไปจับตัวนายกรัฐมนตรีมาแขวนคอ ถึงนายกฯ จะรอดตายจากถูกล้อมที่กระทรวงมหาดไทยแต่เลขาธิการนายกฯ แทบเอาชีวิตไม่รอด ปล้นรถแก๊สเตรียมถล่มเมือง ปิดทางเข้าออกโรงพยาบาล 4 แห่ง ยิงมัสยิด เผารถเมล์ไปหลายสิบคัน และยิงชาวบ้านนางเลิ้งตายไปสองศพ ฯลฯ
เมื่อย้อนไปมองพฤติกรรมของคนเสื้อแดงแล้วล้วนชวนให้คิดว่า ประชาธิปไตยของพวกเขา ของหน้า 3 ไทยรัฐ (ยกเว้นวันอาทิตย์) ของคอลัมนิสต์มติชนที่ชื่นชมทักษิณ(หนังสือพิมพ์ในเครือได้รับรางวัลเพราะขุดคุ้ยทุจริตของทักษิณ-ไม่รู้เอาไปทิ้งชักโครกหรือยัง) และที่นักวิชาการเชยชมว่า คนเสื้อแดงกำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นประชาธิปไตยแบบไหน
ประชาธิปไตยแบบฆ่าตัดตอน ประชาธิปไตยแบบฆ่าหมู่ที่กรือเซอะ ประชาธิปไตยที่สร้างผลประโยชน์ทับซ้อนเพื่อเบียดบังรัฐให้ครอบครัวและธุรกิจของตัวเอง ประชาธิปไตยที่ทำลายองค์กรอิสระ ประชาธิปไตยที่ทำลายฝ่ายค้านด้วยการซื้อพรรค ประชาธิปไตยแบบผัวขายสมบัติชาติให้เมีย ประชาธิปไตยแบบขายสัมปทานรัฐให้ต่างชาติ ฯลฯ
การลุกขึ้นมาปลุกระดมประชาชนให้หลงผิดร่วมลงชื่อขออภัยโทษให้นักโทษชายทักษิณที่ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีแผ้วถางทางให้ภรรยาซื้อที่ดินของรัฐนั้น คือ การยึดมั่นในนิติรัฐซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์สงกรานต์แดงคลั่งเผาเมือง สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณบดีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิชาการผู้นิยมเสื้อแดง เคยบอกว่า การชุมนุมควรอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ถ้าเมื่อไรมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น สังคมควรต้องประณาม จะเห็นว่าการชุมนุมเป็นสิทธิแต่การชุมนุมต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายสันติวิธี เช่น การยึดสนามบิน กลุ่มคนเสื้อแดงก็ไม่ควรทำ
สมชายเป็นนักกฎหมายที่เรียกร้องให้ใช้กฎหมายจัดการอย่างเด็ดขาดกับพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะทำให้เศรษฐกิจเสียหาย แต่เชื่อไหมครับหลังจากสงกรานต์แดงคลั่งเผาเมืองแล้ว เราไม่ได้ยินการประณามเสื้อแดงจากสมชาย คณบดีเสื้อแดงคนนี้เลย
เหมือนกับที่เราไม่เคยได้ยินสมชาย เรียกร้องให้จัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลา และกรณียิงเอ็ม 79 เข้ากลางที่ชุมนุมพันธมิตรฯ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
สมชาย บอกว่า ฐานของกลุ่มคนเสื้อแดงจะบอกว่าเป็นรากหญ้าอย่างเดียวก็ไม่ตรงนัก เพราะมีกลุ่มชนชั้นกลางเข้าร่วมชุมนุมจำนวนไม่น้อย โดยกลุ่มชนชั้นกลางอาจเข้าร่วมชุมนุมในแง่มีอุดมการณ์ทางการเมือง หรือผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจที่ได้มาจากรัฐบาลทักษิณ หากบอกว่า เสื้อเหลืองเป็นคนชนชั้นกลางระดับกลางถึงระดับสูง ส่วนเสื้อแดงเป็นชนชั้นกลางระดับล่างหรือรากหญ้า
แต่สมชายไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วพลังของคนเสื้อเหลืองก็มีคนรากหญ้าจำนวนมาก แต่ไม่ว่า พลังชนชั้นไหนกลุ่มคนเสื้อเหลืองล้วนแล้วแต่คือ พลังเงียบที่ตื่นตัวขึ้นมา เพราะเห็นถึงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นจากระบอบทักษิณ
ไม่ผิดหรอกครับว่า แนวร่วมของคนเสื้อแดงนั้นมีคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองอยู่ด้วย แต่ต้องถามว่า อุดมการณ์ของคนเสื้อแดงหรือผู้เข้าร่วมชุมนุมในแง่อุดมการณ์ของสมชายคืออะไร
เพราะถ้าเราติดตามเนื้อหาของเสื้อแดงคอมมิวนิสต์ และบทความของจักรภพ และใจ อึ๊งภากรณ์แล้ว เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่อำมาตย์ใหญ่ในความหมายแค่พล.อ.เปรมอย่างแน่นอน เป้าหมายของพวกเขาก็คือ การสถาปนาระบอบใหม่ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มีหลายคนพยายามจะแยกภาพของแดงเป็นกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มแดงคอมมิวนิสต์และแดงคอมมิชชัน แน่นอนว่าแดงคอมมิชชันนั้นหมายถึง 3 เกลอหัวขวดที่สู้แล้วรวย และแดงที่สู้เพื่ออุดมการณ์ คือแดงฝ่ายซ้าย แต่ว่าไปแล้ว ทั้งสองกลุ่มก็คาบเกี่ยวกับที่จักรภพ เรียกว่า พวกหากินกับการประท้วงมาชั่วชีวิต
แน่นอนว่า อุดมการณ์ของคนเรานั้นสามารถแตกต่างกันได้ ทุกคนมีสิทธิจะคิดเพื่อไปสู่เป้าหมายของตัวเอง แต่คำถามคือว่า สังคมไทยพร้อมให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงประเทศไปตามแบบที่พวกแดงอุดมการณ์ปรารถนาหรือไม่ ถึงเวลาหรือยัง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นสิ่งที่จีรังก็ตาม
และเราจะปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำรงอยู่ ปล่อยให้พวกแดงอุดมการณ์ลอยหน้าลอยตา เพื่อทายท้าสถาบันหลักของชาติเช่นนั้นหรือ หรือปล่อยให้พวกเขาหลอกใช้ชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ซึ่งส่วนใหญ่แล้วออกมาชุมนุมเพราะถูกหลอกให้เชื่อว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้งมาเป็นเครื่องมือไปสู่เป้าหมายพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า การเคลื่อนไหวที่ท้าทายสถาบันสูงสุด ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างรุนแรงเช่นยุคนี้มาก่อน และก่อตัวขยายวงอยู่ในแวดวงวิชาการ อินเทอร์เน็ต ใบปลิว ฯลฯ
แต่รัฐบาลก็ยังเป็นเด็กเล่นขายของโดยที่ไม่รู้ว่า ใครมีอำนาจที่แท้จริงระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้จัดการรัฐบาล
surawhisky@hotmail.com