หลังจากการชุมนุมอันยืดเยื้อยาวนานของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลภายใต้การนำของระบอบทักษิณ ในช่วงปี 2551 จนกระทั่งสถานการณ์สุกงอม และพันธมิตรฯตัดสินใจปิดล้อมอาคารรัฐสภาเพื่อขัดขวางการแถลงนโยบายของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในวันที่ 7 ต.ค.2551 โดยไม่มีใครคาดคิดว่านายกฯสมชาย และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้จะมีจิตใจที่โหดเหี้ยมถึงขนาดสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธสงครามยิงถล่มและเข่นฆ่าประชาชนเพื่อสาลายการชุมนุม โดยมี พล.ต.อ.พัชวาท วงษ์สุวรรณ บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับบัญชาและสั่งการไปยังนายตำรวจระดับปฏิบัติการ ซึ่งจากคำสั่งดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมเสียชีวิต บาดเจ็บและพิการ เป็นจำนวนถึง 435 คน
ซึ่งล่าสุด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติชี้มูลความผิดนักการเมืองและนายตำรวจทีมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ดังกล่าว รวม 4 คน คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยมีความผิดวินัยร้ายแรง ต้องออกจากราชการ และมีความผิดทางอาญาต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
คำตัดสินดังกล่าวเป็นเหมือนแสงสว่างแห่งความยุติธรรมที่ถูกจุดขึ้นท่ามกลางความมืดมิดในสังคม ซึ่งได้สร้างความหวังและกำลังใจให้แก่บรรดาเหยื่อ 7 ต.ค. ที่ต่างต้องทนทุกข์กับบาดแผลในใจมานานเกือบ 1 ปีเต็ม
**แม่น้องโบว์ กับ 1 ปีที่ทนทรมาน
นางวิชุดา ระดับปัญญาวุฒิ มารดาของ ‘น้องโบว์’ น.ส.อังคนา ระดับปัญญาวุฒิ ซึ่งเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค. แสดงความเห็นถึงผลการตัดสินของ ป.ป.ช.ในคดีดังกล่าว ว่า
“ตอนนี้ก็รู้สึกพอใจระดับหนึ่ง เพราะนักการเมืองและนายตำรวจเหล่านี้ร่วมกันทำลายชีวิตประชาชน ที่ผ่านมาเราต้องรอผลการตัดสินนานถึง 1 ปี ทั้งที่น้องโบว์เสียชีวิตจาการออกไปร่วมชุมนุมเพื่อปกป้องประเทศชาติ มันทรมานจิตใจมาก (เสียงสะอื้น) ชีวิตประชาชนไม่มีความหมายหรืออย่างไร ทำไมการพิจารณาคดีถึงล่าช้าขนาดนี้ คนที่บาดเจ็บพิการเขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับการรอคอยผลการตัดสินในคดีนี้ซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร ต่อจากนี้ก็จะรอดูว่า อัยการจะพิจารณาส่งฟ้องศาลหรือไม่ นายกรัฐมนตรีจะนำความเป็นธรรมกลับคืนสู่สังคมได้จริงไหม
ถ้าสุดท้ายอัยการส่งฟ้องศาล และศาลตัดสินว่าบุคคลดังกล่าวมีความผิด ก็อาจจะช่วยลบบาดแผลในใจออกไปได้บ้าง แต่ก็ต้องถามต่อไปว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการสั่งการของบุคคลเหล่านี้ใครจะรับผิดชอบ ประชาชนที่เสียชีวิตจากยิงถล่มด้วยอาวุธสงคราม ประชาชนที่บาดเจ็บพิการและทำมาหากินไม่ได้ใครจะช่วยเหลือดูแลและชดเชยในสิ่งที่เขาสูญเสีย น้องโบว์ต้องมาตายในขณะที่เขาเรียนจบแล้ว สามารถทำงานหาเลี้ยงพ่อแม่ได้ สารวัตรจ๊าบ (พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี เสียชีวิตจากเหตุระเบิดในการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค.2551) ที่เสียชีวิต ลูกเมียเขาจะทำอย่างไร คิดว่าศาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องให้ความความเป็นธรรมและชดเชยสิ่งที่ผู้ชุมนุมและญาติพี่น้องของเขาสูญเสียไปด้วย”
นางวิชุดา บอกว่าที่ผ่านมาเธอรู้สึกเจ็บปวดที่ประเทศไทยต้องตกอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลระบอบทักษิณซึ่งนอกจากจะเต็มไปด้วยการฉ้อฉลและทุจริตคอร์รัปชั่นแล้ว ยังมีจิตใจที่โหดเหี้ยม ทำลายได้กระทั่งประชาชนสองมือเปล่า
“มันเจ็บปวดมากที่เราเกิดมาในยุคที่มีรัฐบาลอำมหิตโหดร้ายขนาดนี้ เขาสั่งให้ยิงประชาชนที่มาชุมนุมหน้ารัฐสภา ทั้งที่เราชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ที่ผ่านมาเราเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลคอรัปชั่นลาออก แต่เราไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยทำลายสถานที่ราชการ ไม่เหมือนกับพวกเสื้อแดงที่เอาน้ำมันมาราดแล้วจุดไฟเผารถเมล์ แม้แต่น้องโบว์ที่เสียชีวิตเพราะคำสั่งฆ่าของเขา ตำรวจที่ดูแลคดีนี้ก็ยังมาใส่ร้ายหาว่าน้องโบว์พกระเบิดมาเองเพื่อสร้างสถานการณ์”
แม้จะต้องพบเจอกับความโหดร้ายและต้องเสียลูกสาวไปในการชุมนุมกู้ชาติ แต่วิชุดาก็ยังคงยืนยันที่จะเดินหน้าทำหน้าที่ของประชาชนผู้รักชาติต่อไปไม่ว่าจะมีอันตรายอะไรอยู่เบื้องหน้า
“ถึงวันนี้เราจะสูญเสียลูกสาวไป แต่ดิฉันและสามี (นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ)ก็ยังยืนยันที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศชาติต่อไป เพราะถ้าเราไม่สู้ การเสียชีวิตของน้องโบว์ก็คงจะสูญเปล่า เราจะสู้เท่าที่ประชาชนสองมือเปล่าจะทำได้ แต่ก็อยากฝากถึงผู้มีอำนาจ ฝากถึงรัฐบาลและท่านนายกฯอภิสิทธิ์ ว่าถ้ารัฐบาลกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำเพื่อชาติบ้านเมือง ทำเพื่อลูกหลานในอนาคต ประชาชนก็จะอออกมาปกป้องท่าน แต่ถ้าท่านเห็นแก่พวกพ้องและทำให้บ้านเมืองเสียหายประชาชนก็จะเป็นคนล้มท่านเหมือนกัน”
**‘เจ๊ก ธัญญา’ วันนี้ที่รอคอย
ด้าน ‘เจ๊ก’ธัญญา กุลแก้ว พันธมิตรชุมพรที่ต้องสูญเสียขาข้างซ้ายจากการสลายการชุมนุม 7 ต.ค. บอกว่า เขารอวันนี้มานานแล้ว รอวันที่มีผู้มีอำนาจที่สั่งฆ่าประชาชนจะได้รับผลแห่งกรรมที่ได้กระทำไว้ ตอนนี้พันธมิตรฯเริ่มที่จะเห็นแสงสว่างบ้างแล้ว หลังจากที่ต้องต่อสู้กับความอยุติธรรมทุกรูปแบบ
“ผมรอวันนี้มานานมาก ตั้งแต่ลูกยิงด้วยระเบิดจนขาขาด ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลนานถึง 9 เดือน แต่ที่ผ่านมาคดีไม่มีความคืบหน้าเลย วันนี้ ป.ป.ช.ตัดสินชี้มูลความผิดนักการเมืองและนายตำรวจที่สั่งยิงประชาชนเราก็มีความหวังขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยความยุติธรรมก็ยังมีในโลก หลังจากนี้เชื่อว่าพันธมิตรที่บาดเจ็บล้มตายจะรับความยุติธรรม และโทษที่คนพวกนี้ได้รับก็ถือว่าสามกับความผิดแล้ว ตอนนี้เราก็มั่นใจว่าคดี 7 ตุลาฯคงไม่เป็นมวยล้ม
จริงๆแล้วผมก็อยากให้มีการฟ้องเรียกค่าชดเชยให้แก่คนที่บาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม 7 ตุลาฯด้วย เพราะถือว่าตรงนี้เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่เราควรได้รับ อย่างตัวผมถึงสุขภาพตอนนี้จะดีขึ้นมากแต่ยังทำมาหากินไม่ได้ คือกำลังใจดี สภาพร่างกายก็ดีขึ้น ตอนนี้ใส่ขาเทียมแล้ว กำลังฝึกเดินอยู่ แต่ยังไม่คล่องเท่าไร ก็เลยยังทำงานอะไรไม่ได้ ต้องอาศัยทางบ้านเลี้ยงดูอยู่ ”
ธัญญา ยังได้พูดถึงการต่อสู้ทางการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลังคำตัดสินสินในคดี 7 ต.ค.ว่า พันธมิตรจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าสร้างการเมืองใหม่ต่อไปเพื่อขจัดปัญหาคอร์รัปชั่นและป้องกันไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งเข้ามาฉกฉวยทรัพยากรที่ควรเป็นของประคนไทยทั้งประเทศไปเป็นของตัวเองหรือพวกพ้อง
“ผมอยากให้พันธมิตรเดินหน้าสร้างการเมืองใหม่ให้สำเร็จ เพราะไม่เช่นนั้นเราก็แก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มันมีมาทุกยุคทุกสมัยไม่ได้เสียที ถ้าถามผม ผมก็พร้อมจะเดินหน้าสู้ไปพันธมิตรฯ เพราะขาก็เสียไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว” เจ๊ก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่น
**‘ตี๋ ชิงชัย’ ขอให้ดำเนินคดีถึงที่สุด
ขณะที่ ตี๋ - ชิงชัย เจริญอุดมกิจ ศิลปินอิสระและสมาชิกเครือข่ายศิลปินกู้ชาติ ซึ่งต้องเสียแขนข้างขวาที่ใช้ในการสร้างงานศิลปะไปกับการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า คำตัดสินของ ป.ป..ช.ครั้งนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับพันธมิตรฯทุกคน และเขาก็หวังว่าจะมีการดำเนินคดีนี้อย่างถึงที่สุด เพื่อให้สังคมเห็นว่าไม่ว่าบุคคลคนนั้นจะมีอำนาจมากมายขนาดไหน แต่เมื่อเขาใช้อำนาจโดยมิชอบสั่งฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมเขาก็ต้องรับโทษตามกฎหมาย
“วันนี้ถือว่าเป็นข่าวดีนะครับ เป็นความถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนตัวผมให้อภัยนายตำรวจชั้นผู้น้อยเพราะถือว่าเขาถูกสั่งมา แต่ในส่วนของระดับสั่งการผมเห็นว่าควรได้รับโทษตามความผิดที่เขาได้ทำไว้ ซึ่งผมก็หวังว่าคงจะมีการดำเนินคดีกับนักการเมืองและข้าราชการที่เกี่ยวข้องอย่างถึงที่สุด และก็ขอบอกว่าถ้าผลสรุปของคดีมันไม่ถูกต้องและเป็นธรรม พี่น้องพันธมิตรเราคงไม่ยอมแน่ ถ้าผู้มีอำนาจทำในสิ่งที่ถูกต้องเราก็พร้อมจะมอบดอกไม้แสดงความชื่นชม แต่ถ้ามันไม่มันถูกต้องเราก็พร้อมจะมอบก้อนอิฐให้เช่นกัน
ที่ผ่านมาถึงการพิจารณาคดีจะล่าช้า แต่ผลที่ออกมาเราได้รับความเป็นธรรมก็ถือว่าดีกว่าเร็วแต่เป็นมวยล้ม ต่อจากนี้ก็คงต้องรอดูว่าอัยการาจะส่งฟ้องหรือไม่ และศาลจะตัดสินอย่างไร ซึ่งถ้าสุดท้ายศาลตัดสินว่านักการเมืองและนายตำรวจเหล่านี้มีความผิดมันก็จะเป็นกำลังใจให้เราทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองต่อไป และถือว่าสิ่งที่เราสูญเสียไปนั้นมันคุ้มค่า”
ตี๋ ได้พูดถึงสุขภาพและการดำเนินชีวิตในวันนี้ของเขาว่า แม้จะสูญเสียแขนขวาซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่เขาใช้ในการวาดรูปขายเพื่อนำรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่เขาก็ไม่ท้อถอย โดยนอกจากจะหัดวาดภาพด้วยมือซ้ายแล้ว ตอนนี้เขายังฝึกวาดภาพด้วยแขนขวาที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวอีกด้วย
“สุขภาพตอนนี้ก็แข็งแรงดีครับ ทั้งสุภาพกาย สุขภาพใจ (ยิ้ม) ผมวาดภาพด้วยมือซ้ายได้แล้ว และตอนนี้ก็กำลังจะสร้างความมหัศจรรย์ด้วยมือขวา คือพี่วสันต์ (วสันต์ สิทธิเขตต์)แกแนะนำให้ผมลองใช้มือขวาวาดภาพ โดยให้เอาพู่กันพันเทปกาวติดกับมือขวาไว้แล้วลองวาดดู ผมก้ทำตาม ปรากฏว่าผมยังสามารถบังคับมือขวาให้วาดรูปได้ (ยิ้ม ตาเป็นประกาย) ซึ่งถ้ามีโอกาสผมจะโชว์วาดรูปด้วยมือทั้งสองข้าง เชื่อว่างานนี้จะช่วยสร้างกำลังให้ใครอีกหลาๆคนที่กำลังท้อแท้อยู่” ตี๋ กล่าวตบท้ายถึงสิ่งที่เขาตั้งใจไว้
**ทนาย พธม.เดินหน้าฟ้องเรียกค่าเสียหาย
แม้ในส่วนของ ป.ป.ช.จะทำได้เพียงชี้มูลความผิดในคดีสลายการชุมนุม 7 ต.ค.เฉพาะในส่วนของคดีอาญาเท่านั้น แต่ทีมทนายพันธมิตรฯก็หาได้เพิกเฉยต่อความสูญเสียของประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อในวันที่ 7 ต.ค. โดย นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่า ขณะนี้เขาเตรียมที่จะยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนักการเมืองและข้าราชการที่มีส่วนข้องในการสลายการชุมนุมดังกล่าว เนื่องจากเป็นการกระทำที่ส่งผลให้มีผู้พิการและบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
“การตัดสินของ ป.ป.ช.ในวันนี้นั้นถือเป็นคำตัดสินใจในคดีอาญา คือชี้มูลความผิดว่านักการเมืองและนายตำรวจที่มีส่วนในการสั่งสลายการชุมนุมมีความผิดวินัยร้ายแรง ต้องถุกปลดออกจากราชการ และต้องได้รับโทษจำคุก 1-10 ปี แต่ในส่วนของการชดใช้ความเสียหายต่อร่างกายและชีวิตของผู้ชุมนุมซึ่งถือความผิดทางแพ่งนั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.ที่จะพิจารณา ดังนั้นทางทนายพันธมิตรจึงจะยื่นฟ้องในเรื่องนี้เอง โดยจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ภายในวันที่ 7 ต.ค.นี้
ซึ่งบุคลที่เราจะยื่นฟ้องนั้นจะมีมากกว่าที่ ป.ป.ช.ชีมูลความผิด ทั้งในระดับสั่งการและระดับปฏิบัติการ คือเราจะฟ้องหมดทุกคนที่มีหลักฐานสาวไปถึง ฟ้องคนที่สั่งการด้วย ตำรวจที่ยิงและขว้างระเบิดใส่ผู้ชุมนุมด้วย ขณะนี้เรากำลังประเมินมูลค่าความเสียหาย ซึ่งแต่ละรายก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความรุนของบาดแผล ผู้ที่พิการ หรือเสียชีวิตก็สมควรที่จะได้รับเงินชดเชยที่มากกว่าผู้ที่บาดเจ็บ และนอกจากนั้นก็จะยื่นฟ้องในคดีอาญากับนักการเมืองและข้าราชการตำรวจอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่ง ป.ป.ช.ไม่ได้ชี้มูลความผิดด้วย”
ทนายสุวัตร ชี้แจงว่า เหตุที่ทางทนายพันธมิตรฯเห็นควรว่าต้องยื่นฟ้องนายตำรวจระดับปฏิบัติการด้วยก็เพราะเห็นว่านายตำรวจเหล่านี้รู้ดีอยู่แล้วว่าคำสั่งที่ให้ใช้อาวุธร้ายแรงในการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 นั้นเป็นคำสั่งที่มิชอบ แต่นายตำรวจเหล่านี้ก็ยังยินดีทีจะปฏิบัติตาม ทั้งๆที่รู้ว่าตนกำลังทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์
“เราจะฟ้องกราวรูด คือฟ้องตั้งแต่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นคนสั่งการ จนถึงตำรวจที่ตั้งแถวยิงประชาชน โดยจะฟ้องในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะตำรวจพวกนี้เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าคำสั่งที่เขาได้รับเป็นคำสั่งที่มิชอบ การชุมนุมครั้งนี้ไม่มีการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจ และก็เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ตำรวจจะสลายการชุมนุม ที่สำคัญเขารู้ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วว่าอาวุธที่เขาใช้ทำให้คนบาดเจ็บถึงขนาดเท้าขาด แต่ตำรวจพวกนี้ก็ยังสาดกระสุนใส่ประชาชนตั้งแต่เช้ายันดึก ซึ่งก็ต้องถามว่าถ้าผู้บังคับบัญชาสั่งให้คุณไปปล้นธนาคาร คุณจะไปไหม แต่นี่มันยิงกว่าการปล้น เพราะเขาสั่งให้ฆ่าประชาชน มันชัดเจนว่ามันผิด มันไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่คุณก็ยังยินดีทำตามคำสั่ง เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องมีความผิดด้วย
นับแต่นี้คงต้องรอดูว่าสุดท้ายแล้ว คดี 7 ต.ค.จะจบลงเช่นไร อัยการจะส่งฟ้องศาลหรือไม่ ศาลจะตัดสินอย่างไร และประชาชนผู้รักชาติจะได้รับความเป็นธรรมอย่างที่คาดหวังหรือไม่ เพราะนี่จะเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ เลือกที่จะอยู่ข้าง ‘คนดี’ หรือ ‘คนที่มีอำนาจ’
เรื่อง : จินดาวรรณ สิ่งคงสิน
ซึ่งล่าสุด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติชี้มูลความผิดนักการเมืองและนายตำรวจทีมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ดังกล่าว รวม 4 คน คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยมีความผิดวินัยร้ายแรง ต้องออกจากราชการ และมีความผิดทางอาญาต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
คำตัดสินดังกล่าวเป็นเหมือนแสงสว่างแห่งความยุติธรรมที่ถูกจุดขึ้นท่ามกลางความมืดมิดในสังคม ซึ่งได้สร้างความหวังและกำลังใจให้แก่บรรดาเหยื่อ 7 ต.ค. ที่ต่างต้องทนทุกข์กับบาดแผลในใจมานานเกือบ 1 ปีเต็ม
**แม่น้องโบว์ กับ 1 ปีที่ทนทรมาน
นางวิชุดา ระดับปัญญาวุฒิ มารดาของ ‘น้องโบว์’ น.ส.อังคนา ระดับปัญญาวุฒิ ซึ่งเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค. แสดงความเห็นถึงผลการตัดสินของ ป.ป.ช.ในคดีดังกล่าว ว่า
“ตอนนี้ก็รู้สึกพอใจระดับหนึ่ง เพราะนักการเมืองและนายตำรวจเหล่านี้ร่วมกันทำลายชีวิตประชาชน ที่ผ่านมาเราต้องรอผลการตัดสินนานถึง 1 ปี ทั้งที่น้องโบว์เสียชีวิตจาการออกไปร่วมชุมนุมเพื่อปกป้องประเทศชาติ มันทรมานจิตใจมาก (เสียงสะอื้น) ชีวิตประชาชนไม่มีความหมายหรืออย่างไร ทำไมการพิจารณาคดีถึงล่าช้าขนาดนี้ คนที่บาดเจ็บพิการเขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับการรอคอยผลการตัดสินในคดีนี้ซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร ต่อจากนี้ก็จะรอดูว่า อัยการจะพิจารณาส่งฟ้องศาลหรือไม่ นายกรัฐมนตรีจะนำความเป็นธรรมกลับคืนสู่สังคมได้จริงไหม
ถ้าสุดท้ายอัยการส่งฟ้องศาล และศาลตัดสินว่าบุคคลดังกล่าวมีความผิด ก็อาจจะช่วยลบบาดแผลในใจออกไปได้บ้าง แต่ก็ต้องถามต่อไปว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการสั่งการของบุคคลเหล่านี้ใครจะรับผิดชอบ ประชาชนที่เสียชีวิตจากยิงถล่มด้วยอาวุธสงคราม ประชาชนที่บาดเจ็บพิการและทำมาหากินไม่ได้ใครจะช่วยเหลือดูแลและชดเชยในสิ่งที่เขาสูญเสีย น้องโบว์ต้องมาตายในขณะที่เขาเรียนจบแล้ว สามารถทำงานหาเลี้ยงพ่อแม่ได้ สารวัตรจ๊าบ (พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี เสียชีวิตจากเหตุระเบิดในการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค.2551) ที่เสียชีวิต ลูกเมียเขาจะทำอย่างไร คิดว่าศาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องให้ความความเป็นธรรมและชดเชยสิ่งที่ผู้ชุมนุมและญาติพี่น้องของเขาสูญเสียไปด้วย”
นางวิชุดา บอกว่าที่ผ่านมาเธอรู้สึกเจ็บปวดที่ประเทศไทยต้องตกอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลระบอบทักษิณซึ่งนอกจากจะเต็มไปด้วยการฉ้อฉลและทุจริตคอร์รัปชั่นแล้ว ยังมีจิตใจที่โหดเหี้ยม ทำลายได้กระทั่งประชาชนสองมือเปล่า
“มันเจ็บปวดมากที่เราเกิดมาในยุคที่มีรัฐบาลอำมหิตโหดร้ายขนาดนี้ เขาสั่งให้ยิงประชาชนที่มาชุมนุมหน้ารัฐสภา ทั้งที่เราชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ที่ผ่านมาเราเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลคอรัปชั่นลาออก แต่เราไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยทำลายสถานที่ราชการ ไม่เหมือนกับพวกเสื้อแดงที่เอาน้ำมันมาราดแล้วจุดไฟเผารถเมล์ แม้แต่น้องโบว์ที่เสียชีวิตเพราะคำสั่งฆ่าของเขา ตำรวจที่ดูแลคดีนี้ก็ยังมาใส่ร้ายหาว่าน้องโบว์พกระเบิดมาเองเพื่อสร้างสถานการณ์”
แม้จะต้องพบเจอกับความโหดร้ายและต้องเสียลูกสาวไปในการชุมนุมกู้ชาติ แต่วิชุดาก็ยังคงยืนยันที่จะเดินหน้าทำหน้าที่ของประชาชนผู้รักชาติต่อไปไม่ว่าจะมีอันตรายอะไรอยู่เบื้องหน้า
“ถึงวันนี้เราจะสูญเสียลูกสาวไป แต่ดิฉันและสามี (นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ)ก็ยังยืนยันที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศชาติต่อไป เพราะถ้าเราไม่สู้ การเสียชีวิตของน้องโบว์ก็คงจะสูญเปล่า เราจะสู้เท่าที่ประชาชนสองมือเปล่าจะทำได้ แต่ก็อยากฝากถึงผู้มีอำนาจ ฝากถึงรัฐบาลและท่านนายกฯอภิสิทธิ์ ว่าถ้ารัฐบาลกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำเพื่อชาติบ้านเมือง ทำเพื่อลูกหลานในอนาคต ประชาชนก็จะอออกมาปกป้องท่าน แต่ถ้าท่านเห็นแก่พวกพ้องและทำให้บ้านเมืองเสียหายประชาชนก็จะเป็นคนล้มท่านเหมือนกัน”
**‘เจ๊ก ธัญญา’ วันนี้ที่รอคอย
ด้าน ‘เจ๊ก’ธัญญา กุลแก้ว พันธมิตรชุมพรที่ต้องสูญเสียขาข้างซ้ายจากการสลายการชุมนุม 7 ต.ค. บอกว่า เขารอวันนี้มานานแล้ว รอวันที่มีผู้มีอำนาจที่สั่งฆ่าประชาชนจะได้รับผลแห่งกรรมที่ได้กระทำไว้ ตอนนี้พันธมิตรฯเริ่มที่จะเห็นแสงสว่างบ้างแล้ว หลังจากที่ต้องต่อสู้กับความอยุติธรรมทุกรูปแบบ
“ผมรอวันนี้มานานมาก ตั้งแต่ลูกยิงด้วยระเบิดจนขาขาด ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลนานถึง 9 เดือน แต่ที่ผ่านมาคดีไม่มีความคืบหน้าเลย วันนี้ ป.ป.ช.ตัดสินชี้มูลความผิดนักการเมืองและนายตำรวจที่สั่งยิงประชาชนเราก็มีความหวังขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยความยุติธรรมก็ยังมีในโลก หลังจากนี้เชื่อว่าพันธมิตรที่บาดเจ็บล้มตายจะรับความยุติธรรม และโทษที่คนพวกนี้ได้รับก็ถือว่าสามกับความผิดแล้ว ตอนนี้เราก็มั่นใจว่าคดี 7 ตุลาฯคงไม่เป็นมวยล้ม
จริงๆแล้วผมก็อยากให้มีการฟ้องเรียกค่าชดเชยให้แก่คนที่บาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม 7 ตุลาฯด้วย เพราะถือว่าตรงนี้เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่เราควรได้รับ อย่างตัวผมถึงสุขภาพตอนนี้จะดีขึ้นมากแต่ยังทำมาหากินไม่ได้ คือกำลังใจดี สภาพร่างกายก็ดีขึ้น ตอนนี้ใส่ขาเทียมแล้ว กำลังฝึกเดินอยู่ แต่ยังไม่คล่องเท่าไร ก็เลยยังทำงานอะไรไม่ได้ ต้องอาศัยทางบ้านเลี้ยงดูอยู่ ”
ธัญญา ยังได้พูดถึงการต่อสู้ทางการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลังคำตัดสินสินในคดี 7 ต.ค.ว่า พันธมิตรจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าสร้างการเมืองใหม่ต่อไปเพื่อขจัดปัญหาคอร์รัปชั่นและป้องกันไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งเข้ามาฉกฉวยทรัพยากรที่ควรเป็นของประคนไทยทั้งประเทศไปเป็นของตัวเองหรือพวกพ้อง
“ผมอยากให้พันธมิตรเดินหน้าสร้างการเมืองใหม่ให้สำเร็จ เพราะไม่เช่นนั้นเราก็แก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มันมีมาทุกยุคทุกสมัยไม่ได้เสียที ถ้าถามผม ผมก็พร้อมจะเดินหน้าสู้ไปพันธมิตรฯ เพราะขาก็เสียไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว” เจ๊ก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่น
**‘ตี๋ ชิงชัย’ ขอให้ดำเนินคดีถึงที่สุด
ขณะที่ ตี๋ - ชิงชัย เจริญอุดมกิจ ศิลปินอิสระและสมาชิกเครือข่ายศิลปินกู้ชาติ ซึ่งต้องเสียแขนข้างขวาที่ใช้ในการสร้างงานศิลปะไปกับการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า คำตัดสินของ ป.ป..ช.ครั้งนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับพันธมิตรฯทุกคน และเขาก็หวังว่าจะมีการดำเนินคดีนี้อย่างถึงที่สุด เพื่อให้สังคมเห็นว่าไม่ว่าบุคคลคนนั้นจะมีอำนาจมากมายขนาดไหน แต่เมื่อเขาใช้อำนาจโดยมิชอบสั่งฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมเขาก็ต้องรับโทษตามกฎหมาย
“วันนี้ถือว่าเป็นข่าวดีนะครับ เป็นความถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนตัวผมให้อภัยนายตำรวจชั้นผู้น้อยเพราะถือว่าเขาถูกสั่งมา แต่ในส่วนของระดับสั่งการผมเห็นว่าควรได้รับโทษตามความผิดที่เขาได้ทำไว้ ซึ่งผมก็หวังว่าคงจะมีการดำเนินคดีกับนักการเมืองและข้าราชการที่เกี่ยวข้องอย่างถึงที่สุด และก็ขอบอกว่าถ้าผลสรุปของคดีมันไม่ถูกต้องและเป็นธรรม พี่น้องพันธมิตรเราคงไม่ยอมแน่ ถ้าผู้มีอำนาจทำในสิ่งที่ถูกต้องเราก็พร้อมจะมอบดอกไม้แสดงความชื่นชม แต่ถ้ามันไม่มันถูกต้องเราก็พร้อมจะมอบก้อนอิฐให้เช่นกัน
ที่ผ่านมาถึงการพิจารณาคดีจะล่าช้า แต่ผลที่ออกมาเราได้รับความเป็นธรรมก็ถือว่าดีกว่าเร็วแต่เป็นมวยล้ม ต่อจากนี้ก็คงต้องรอดูว่าอัยการาจะส่งฟ้องหรือไม่ และศาลจะตัดสินอย่างไร ซึ่งถ้าสุดท้ายศาลตัดสินว่านักการเมืองและนายตำรวจเหล่านี้มีความผิดมันก็จะเป็นกำลังใจให้เราทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองต่อไป และถือว่าสิ่งที่เราสูญเสียไปนั้นมันคุ้มค่า”
ตี๋ ได้พูดถึงสุขภาพและการดำเนินชีวิตในวันนี้ของเขาว่า แม้จะสูญเสียแขนขวาซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่เขาใช้ในการวาดรูปขายเพื่อนำรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่เขาก็ไม่ท้อถอย โดยนอกจากจะหัดวาดภาพด้วยมือซ้ายแล้ว ตอนนี้เขายังฝึกวาดภาพด้วยแขนขวาที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวอีกด้วย
“สุขภาพตอนนี้ก็แข็งแรงดีครับ ทั้งสุภาพกาย สุขภาพใจ (ยิ้ม) ผมวาดภาพด้วยมือซ้ายได้แล้ว และตอนนี้ก็กำลังจะสร้างความมหัศจรรย์ด้วยมือขวา คือพี่วสันต์ (วสันต์ สิทธิเขตต์)แกแนะนำให้ผมลองใช้มือขวาวาดภาพ โดยให้เอาพู่กันพันเทปกาวติดกับมือขวาไว้แล้วลองวาดดู ผมก้ทำตาม ปรากฏว่าผมยังสามารถบังคับมือขวาให้วาดรูปได้ (ยิ้ม ตาเป็นประกาย) ซึ่งถ้ามีโอกาสผมจะโชว์วาดรูปด้วยมือทั้งสองข้าง เชื่อว่างานนี้จะช่วยสร้างกำลังให้ใครอีกหลาๆคนที่กำลังท้อแท้อยู่” ตี๋ กล่าวตบท้ายถึงสิ่งที่เขาตั้งใจไว้
**ทนาย พธม.เดินหน้าฟ้องเรียกค่าเสียหาย
แม้ในส่วนของ ป.ป.ช.จะทำได้เพียงชี้มูลความผิดในคดีสลายการชุมนุม 7 ต.ค.เฉพาะในส่วนของคดีอาญาเท่านั้น แต่ทีมทนายพันธมิตรฯก็หาได้เพิกเฉยต่อความสูญเสียของประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อในวันที่ 7 ต.ค. โดย นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่า ขณะนี้เขาเตรียมที่จะยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนักการเมืองและข้าราชการที่มีส่วนข้องในการสลายการชุมนุมดังกล่าว เนื่องจากเป็นการกระทำที่ส่งผลให้มีผู้พิการและบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
“การตัดสินของ ป.ป.ช.ในวันนี้นั้นถือเป็นคำตัดสินใจในคดีอาญา คือชี้มูลความผิดว่านักการเมืองและนายตำรวจที่มีส่วนในการสั่งสลายการชุมนุมมีความผิดวินัยร้ายแรง ต้องถุกปลดออกจากราชการ และต้องได้รับโทษจำคุก 1-10 ปี แต่ในส่วนของการชดใช้ความเสียหายต่อร่างกายและชีวิตของผู้ชุมนุมซึ่งถือความผิดทางแพ่งนั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.ที่จะพิจารณา ดังนั้นทางทนายพันธมิตรจึงจะยื่นฟ้องในเรื่องนี้เอง โดยจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ภายในวันที่ 7 ต.ค.นี้
ซึ่งบุคลที่เราจะยื่นฟ้องนั้นจะมีมากกว่าที่ ป.ป.ช.ชีมูลความผิด ทั้งในระดับสั่งการและระดับปฏิบัติการ คือเราจะฟ้องหมดทุกคนที่มีหลักฐานสาวไปถึง ฟ้องคนที่สั่งการด้วย ตำรวจที่ยิงและขว้างระเบิดใส่ผู้ชุมนุมด้วย ขณะนี้เรากำลังประเมินมูลค่าความเสียหาย ซึ่งแต่ละรายก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความรุนของบาดแผล ผู้ที่พิการ หรือเสียชีวิตก็สมควรที่จะได้รับเงินชดเชยที่มากกว่าผู้ที่บาดเจ็บ และนอกจากนั้นก็จะยื่นฟ้องในคดีอาญากับนักการเมืองและข้าราชการตำรวจอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่ง ป.ป.ช.ไม่ได้ชี้มูลความผิดด้วย”
ทนายสุวัตร ชี้แจงว่า เหตุที่ทางทนายพันธมิตรฯเห็นควรว่าต้องยื่นฟ้องนายตำรวจระดับปฏิบัติการด้วยก็เพราะเห็นว่านายตำรวจเหล่านี้รู้ดีอยู่แล้วว่าคำสั่งที่ให้ใช้อาวุธร้ายแรงในการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 นั้นเป็นคำสั่งที่มิชอบ แต่นายตำรวจเหล่านี้ก็ยังยินดีทีจะปฏิบัติตาม ทั้งๆที่รู้ว่าตนกำลังทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์
“เราจะฟ้องกราวรูด คือฟ้องตั้งแต่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นคนสั่งการ จนถึงตำรวจที่ตั้งแถวยิงประชาชน โดยจะฟ้องในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะตำรวจพวกนี้เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าคำสั่งที่เขาได้รับเป็นคำสั่งที่มิชอบ การชุมนุมครั้งนี้ไม่มีการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจ และก็เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ตำรวจจะสลายการชุมนุม ที่สำคัญเขารู้ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วว่าอาวุธที่เขาใช้ทำให้คนบาดเจ็บถึงขนาดเท้าขาด แต่ตำรวจพวกนี้ก็ยังสาดกระสุนใส่ประชาชนตั้งแต่เช้ายันดึก ซึ่งก็ต้องถามว่าถ้าผู้บังคับบัญชาสั่งให้คุณไปปล้นธนาคาร คุณจะไปไหม แต่นี่มันยิงกว่าการปล้น เพราะเขาสั่งให้ฆ่าประชาชน มันชัดเจนว่ามันผิด มันไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่คุณก็ยังยินดีทำตามคำสั่ง เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องมีความผิดด้วย
นับแต่นี้คงต้องรอดูว่าสุดท้ายแล้ว คดี 7 ต.ค.จะจบลงเช่นไร อัยการจะส่งฟ้องศาลหรือไม่ ศาลจะตัดสินอย่างไร และประชาชนผู้รักชาติจะได้รับความเป็นธรรมอย่างที่คาดหวังหรือไม่ เพราะนี่จะเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ เลือกที่จะอยู่ข้าง ‘คนดี’ หรือ ‘คนที่มีอำนาจ’
เรื่อง : จินดาวรรณ สิ่งคงสิน