แนวทางสร้างความยั่งยืนในการป้องกันอุบัติเหตุจราจรนอกจากต้องการคำมั่นสัญญาทางการเมืองของผู้กุมอำนาจรัฐในการกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ และชุมชนเป็นกลไกในการขับเคลื่อนระดับพื้นที่แล้ว ยังขาดเสียซึ่งพลังเยาวชนในการสานสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ถาวรมั่นคงไม่ได้
เนื่องด้วยเยาวชนเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างอุบัติเหตุ เพราะทั่วทุกมุมโลกรวมถึงประเทศไทยมีเยาวชนเป็นกลุ่มผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางท้องถนนสูงสุด ดังนั้นการดึงเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมป้องกันอุบัติเหตุที่พวกเขาเป็นต้นเหตุก่อและตกเป็นเหยื่อจึงสำคัญยิ่งยวด
ภายใต้โครงสร้างสังคมไทยในปี 2551 ที่มีสัดส่วนประชากรเด็กและเยาวชนประมาณ 24.7 ล้านคนตามการประเมินของสำนักงานสถิติแห่งชาตินั้น ถ้าสามารถดึงเยาวชนช่วงวัย 18-24 ปีที่มีราวร้อยละ 29.7 มาเป็นหุ้นส่วนสำคัญ (Key Partner) ในการป้องกันอุบัติเหตุได้ สถิติสูญเสียชีวิตบาดเจ็บนับหมื่นรายแสนราย และเสียหายทางเศรษฐกิจปีละหลายแสนล้านบาทก็จะลดน้อยถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้นไม่ถึงขั้นหมดไป แต่ก็เรียวแคบเข้าใกล้ศูนย์ที่เป็นความฝันสูงสุดร่วมกันของสังคมได้
ไม่ใช่เพราะเยาวชนเป็นกลุ่มหลักที่ทั้งก่ออุบัติเหตุและตกเป็นเหยื่อในเวลาเดียวกัน หากช่วงวัยเปลี่ยนผ่านจากเยาวชนไปสู่ผู้ใหญ่เช่นนี้มีพลังรังสรรค์สังคมใหญ่หลวงในทุกมิติ อีกทั้งเจตจำนงก็แรงกล้า ทุ่มเทเสียสละ ศรัทธาในอุดมการณ์หนักแน่น จนสามารถรื้อถอนโครงสร้างสังคมที่ฝังรากลึกได้ถ้าร่วมพลังกันจำนวนมากเพียงพอขนาดก่อเกิดมวลวิกฤต (Critical Mass) ซึ่งทั้งสังคมทุกช่วงวัยที่เหลือจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางเดียวกันกับกลุ่มเยาวชนผู้นำความเปลี่ยนแปลงในท้ายที่สุด
ถึงแม้นว่าในทางปฏิบัติเยาวชนจะขาดทักษะการบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืนก็ตามที ทว่าถ้าได้ประสบการณ์ของผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ระดับชาติ และระดับโลก ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม จนถึงสถาบันศาสนาและสื่อมวลชนที่ถักทอเป็น ‘พลังเครือข่ายเพื่อถนนปลอดภัย’ ประคับประคอง แต่ละก้าวย่างของเยาวชนก็จะมั่นคงไม่หลงทิศผิดทาง
กระทั่งในภาพรวมอุบัติเหตุท้องถนนที่เป็นปัจจัยคุกคามคุณภาพชีวิตคนไทยและเป็นความกังวลหวาดกลัวของสังคมไทยเหนือกว่าอาชญากรรมและไข้หวัด 2009 นี้จะค่อยๆ มลายไป พร้อมๆ กับการลดลงอย่างต่อเนื่องของตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลร้อยละ 2.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) และความสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ของประเทศชาติอันประเมินค่ามิได้
นัยนี้ภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิตเยาวชนจึงผสานเป็นเนื้อเดียวกับสภาวะสังคมไทยที่ล่อแหลมจากวิกฤตอุบัติเหตุ เพราะต่างต้องการกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อคลี่คลายแก้ไขไปพร้อมๆ กัน
เพราะหากปรารถนาให้เยาวชนมีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพภายใต้สังคมที่มีสวัสดิภาพความปลอดภัย ลำพังความตั้งใจมุ่งหมายลดจำนวนอุบัติเหตุของภาครัฐคงไม่เพียงพอ เพราะถึงที่สุดแล้วความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม (Participation) ในการแก้ไขวิกฤตที่เกี่ยวข้องกับชีวิตพวกเขาเอง นับแต่การให้ข้อมูลแก่ประชาชน รับฟังความคิดเห็นประชาชน การมีส่วนร่วมกันแก้ปัญหา และพัฒนาข้อตกลงร่วมกัน ดังข้อเสนอเชิงนโยบายที่มาจากการร่วมคิดร่วมสร้างร่วมสะท้อนปัญหาในการสัมมนาอุบัติเหตุระดับชาติ เรื่องอุบัติเหตุจราจร ครั้งที่ 9 โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเยาวชนผู้เป็นพลังยั่งยืนในการป้องกันอุบัติเหตุ
อันกอปรด้วยการร่วมกันผลักดันหลักสูตรความปลอดภัยทางถนนที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางอันสามารถนำไปประยุกต์ใช้และจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาของภาครัฐ เอกชน และที่กำกับดูแลโดยท้องถิ่น ส่งเสริมการเรียนรู้ขับขี่ปลอดภัยในกลุ่มเยาวชนที่ใช้รถจักรยานยนต์ พัฒนากระบวนการคุณภาพการออกใบอนุญาตขับขี่ของกลุ่มเยาวชน ตลอดจนผลักดันมาตรฐานการผลิตและใช้รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัย เช่น บังคับสวมหมวกนิรภัย ลดความเร็ว และกำหนดทางวิ่งที่ปลอดภัย
ไม่ใช่แค่ปลูกจิตสำนึกและให้ความรู้ที่นำไปปฏิบัติได้จริงแก่เยาวชน แต่ข้อเสนอเชิงนโยบายนี้ยังกระตุกชุมชนและรัฐบาลให้เข้มงวดบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย การแก้ไขจุดเสี่ยง/จุดอันตราย (Black Spot) ในชุมชน การจัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันแก้ไขอุบัติเหตุอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาระบบวิศวกรรมจราจรที่สร้างความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่ และที่สำคัญขับเคลื่อนมาตรการทางกฎหมายด้านการมีส่วนรับผิดชอบและการลงโทษผู้ให้บริการที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อเกิดความเสียหายจากเมาแล้วขับ
เนื่องจากสุราเป็นหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำเยาวชนบาดเจ็บล้มตายหลายพันหลายหมื่นรายภายใต้พฤติกรรมเบี่ยงเบนต่างๆ นานา นับแต่การผิดกฎจราจรเบาๆ อย่างการไม่สวมหมวกนิรภัย การซ้อนสาม การขับขี่ย้อนศร การขับขี่ข้ามช่องทาง การขับขี่เร็วแรง จนถึงนักหนารุนแรงเข้าข่ายอาชญากรรม อาทิ การรวมกลุ่มก้อนกันขับขี่ของเด็กแว้น-สกอยส์ กระทั่งถึงขว้างปาหินใส่รถสวนทางทั้งเพื่อชิงทรัพย์ สะใจ ระบายอารมณ์ และอื่นๆ ที่คาดคำนวณไม่ถึงถ้าใช้กรอบจริยธรรมทางสังคมไปวิเคราะห์
ถึงกระนั้น ในพฤติกรรมเบี่ยงเบนครรลองคลองธรรมของเยาวชนไทยที่มีอยู่ไม่น้อยนี้ ก็ยังมีจุดร่วมสำคัญหนึ่ง คือเป็นอัตลักษณ์ตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นจากแรงกดดันบีบคั้นของครอบครัว ชุมชน สังคม ที่ห่างเหินแหว่งวิ่นขาดความอบอุ่นจนกระชากเยาวชนหลุดเข้าสู่โลกมืดอาชญากร กอปรกับได้ครอบครองรถจักรยานยนต์เพื่อขับขี่ไปโรงเรียนตั้งแต่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ทำใบอนุญาต อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากระบบขนส่งมวลชนและรถรับส่งนักเรียนขาดมาตรฐาน ปริมาณ และความปลอดภัย
ภายใต้โครงสร้างสังคมที่สั่งสมความบิดเบี้ยวมานาน รถจักรยานยนต์ ‘พาหนะ’ ขับขี่ไปเรียนหนังสือของเยาวชนจึงกลับกลายเป็น ‘พาหะ’ นำอันตรายร้ายแรงมาสู่ชีวิตตนเองและผู้อื่นที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันกับพวกเขา ด้วยคิดว่าการขับขี่เร็ว แรง คือหนทางสร้างอัตลักษณ์และการยอมรับนับถือ
ฉะนั้น ในการบำบัดพฤติกรรมเบี่ยงเบนของเยาวชนเหล่านี้จึงต้องกระทำเชิงลึกระดับโครงสร้างและวัฒนธรรมไทยควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่มุ่งเป้าไปที่ความรุนแรงทางกายภาพที่เกิดจากเยาวชนเพียงถ่ายเดียว ด้วยการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของเยาวชนที่ถูกสังคมติดฉลากเลวร้ายเหล่านี้ไม่ได้อยู่ดีๆ ผุดโผล่จากผืนแผ่นดินหรือร่วงหล่นจากฟากฟ้า หากทว่ามีรากฐานครอบครัว ชุมชน สังคม ที่ร้าวรานรองรับและผลักดันจนพฤติกรรมพวกเขาขัดกับคุณสมบัติเยาวชนที่พึงประสงค์ของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ จริยธรรม คุณธรรม และพฤติกรรมความรับผิดชอบตามวัย
เมื่อเวียนมาถึงวันเยาวชนแห่งชาติที่มีขึ้นทุกวันที่ 20 กันยายนของทุกปี ที่สืบเนื่องจากการประกาศปีเยาวชนสากลขององค์การสหประชาชาติ จึงน่าจะเป็นจังหวะดีในการร่วมกันสรรสร้างเยาวชนที่สังคมพึงประสงค์ โดยเฉพาะการเคารพกฎจราจรและสิทธิในชีวิตผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น
ยิ่งบวกแรงกระตุ้นภาคการเมืองที่กำหนดให้อุบัติเหตุเป็นวาระแห่งชาติ การมีชุมชนต้นแบบนำร่องความสำเร็จ และแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2552-2555 ที่วางรากฐานอยู่บน 6 ยุทธศาสตร์สำคัญ ทั้ง 1) การปรับนโยบายให้เป็นนโยบายเร่งด่วนระดับชาติ (Urgent National Agenda) 2) การสร้างเสถียรภาพในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน 3) การทำแผนนิติบัญญัติ 4) การป้องกันแก้ไขปัญหาความปลอดภัยทางถนนในส่วนกลาง 5) การป้องกันแก้ไขปัญหาความปลอดภัยทางถนนในภูมิภาคและท้องถิ่น และ 6) วิจัย พัฒนา และติดตามประเมินผลด้านความปลอดภัยทางถนน ความน่าจะเป็นในการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นได้แม้ในเยาวชนที่ถูกประทับตราว่าเป็นชนชายขอบเลวร้าย
ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของเยาวชน วิกฤตและวาระแห่งชาติด้านอุบัติเหตุที่เรียกร้องการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนจักคลี่คลายลดทอนความรุนแรงลงได้ ด้วยช่วงวัยหนุ่มสาว 15-25 ปีนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ ขอเพียงเปิดกว้างให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมและลงมือทำเท่านั้นก็เพียงพอที่จะป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างยั่งยืน
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
เนื่องด้วยเยาวชนเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างอุบัติเหตุ เพราะทั่วทุกมุมโลกรวมถึงประเทศไทยมีเยาวชนเป็นกลุ่มผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางท้องถนนสูงสุด ดังนั้นการดึงเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมป้องกันอุบัติเหตุที่พวกเขาเป็นต้นเหตุก่อและตกเป็นเหยื่อจึงสำคัญยิ่งยวด
ภายใต้โครงสร้างสังคมไทยในปี 2551 ที่มีสัดส่วนประชากรเด็กและเยาวชนประมาณ 24.7 ล้านคนตามการประเมินของสำนักงานสถิติแห่งชาตินั้น ถ้าสามารถดึงเยาวชนช่วงวัย 18-24 ปีที่มีราวร้อยละ 29.7 มาเป็นหุ้นส่วนสำคัญ (Key Partner) ในการป้องกันอุบัติเหตุได้ สถิติสูญเสียชีวิตบาดเจ็บนับหมื่นรายแสนราย และเสียหายทางเศรษฐกิจปีละหลายแสนล้านบาทก็จะลดน้อยถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้นไม่ถึงขั้นหมดไป แต่ก็เรียวแคบเข้าใกล้ศูนย์ที่เป็นความฝันสูงสุดร่วมกันของสังคมได้
ไม่ใช่เพราะเยาวชนเป็นกลุ่มหลักที่ทั้งก่ออุบัติเหตุและตกเป็นเหยื่อในเวลาเดียวกัน หากช่วงวัยเปลี่ยนผ่านจากเยาวชนไปสู่ผู้ใหญ่เช่นนี้มีพลังรังสรรค์สังคมใหญ่หลวงในทุกมิติ อีกทั้งเจตจำนงก็แรงกล้า ทุ่มเทเสียสละ ศรัทธาในอุดมการณ์หนักแน่น จนสามารถรื้อถอนโครงสร้างสังคมที่ฝังรากลึกได้ถ้าร่วมพลังกันจำนวนมากเพียงพอขนาดก่อเกิดมวลวิกฤต (Critical Mass) ซึ่งทั้งสังคมทุกช่วงวัยที่เหลือจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางเดียวกันกับกลุ่มเยาวชนผู้นำความเปลี่ยนแปลงในท้ายที่สุด
ถึงแม้นว่าในทางปฏิบัติเยาวชนจะขาดทักษะการบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืนก็ตามที ทว่าถ้าได้ประสบการณ์ของผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ระดับชาติ และระดับโลก ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม จนถึงสถาบันศาสนาและสื่อมวลชนที่ถักทอเป็น ‘พลังเครือข่ายเพื่อถนนปลอดภัย’ ประคับประคอง แต่ละก้าวย่างของเยาวชนก็จะมั่นคงไม่หลงทิศผิดทาง
กระทั่งในภาพรวมอุบัติเหตุท้องถนนที่เป็นปัจจัยคุกคามคุณภาพชีวิตคนไทยและเป็นความกังวลหวาดกลัวของสังคมไทยเหนือกว่าอาชญากรรมและไข้หวัด 2009 นี้จะค่อยๆ มลายไป พร้อมๆ กับการลดลงอย่างต่อเนื่องของตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลร้อยละ 2.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) และความสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ของประเทศชาติอันประเมินค่ามิได้
นัยนี้ภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิตเยาวชนจึงผสานเป็นเนื้อเดียวกับสภาวะสังคมไทยที่ล่อแหลมจากวิกฤตอุบัติเหตุ เพราะต่างต้องการกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อคลี่คลายแก้ไขไปพร้อมๆ กัน
เพราะหากปรารถนาให้เยาวชนมีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพภายใต้สังคมที่มีสวัสดิภาพความปลอดภัย ลำพังความตั้งใจมุ่งหมายลดจำนวนอุบัติเหตุของภาครัฐคงไม่เพียงพอ เพราะถึงที่สุดแล้วความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม (Participation) ในการแก้ไขวิกฤตที่เกี่ยวข้องกับชีวิตพวกเขาเอง นับแต่การให้ข้อมูลแก่ประชาชน รับฟังความคิดเห็นประชาชน การมีส่วนร่วมกันแก้ปัญหา และพัฒนาข้อตกลงร่วมกัน ดังข้อเสนอเชิงนโยบายที่มาจากการร่วมคิดร่วมสร้างร่วมสะท้อนปัญหาในการสัมมนาอุบัติเหตุระดับชาติ เรื่องอุบัติเหตุจราจร ครั้งที่ 9 โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเยาวชนผู้เป็นพลังยั่งยืนในการป้องกันอุบัติเหตุ
อันกอปรด้วยการร่วมกันผลักดันหลักสูตรความปลอดภัยทางถนนที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางอันสามารถนำไปประยุกต์ใช้และจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาของภาครัฐ เอกชน และที่กำกับดูแลโดยท้องถิ่น ส่งเสริมการเรียนรู้ขับขี่ปลอดภัยในกลุ่มเยาวชนที่ใช้รถจักรยานยนต์ พัฒนากระบวนการคุณภาพการออกใบอนุญาตขับขี่ของกลุ่มเยาวชน ตลอดจนผลักดันมาตรฐานการผลิตและใช้รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัย เช่น บังคับสวมหมวกนิรภัย ลดความเร็ว และกำหนดทางวิ่งที่ปลอดภัย
ไม่ใช่แค่ปลูกจิตสำนึกและให้ความรู้ที่นำไปปฏิบัติได้จริงแก่เยาวชน แต่ข้อเสนอเชิงนโยบายนี้ยังกระตุกชุมชนและรัฐบาลให้เข้มงวดบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย การแก้ไขจุดเสี่ยง/จุดอันตราย (Black Spot) ในชุมชน การจัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันแก้ไขอุบัติเหตุอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาระบบวิศวกรรมจราจรที่สร้างความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่ และที่สำคัญขับเคลื่อนมาตรการทางกฎหมายด้านการมีส่วนรับผิดชอบและการลงโทษผู้ให้บริการที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อเกิดความเสียหายจากเมาแล้วขับ
เนื่องจากสุราเป็นหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำเยาวชนบาดเจ็บล้มตายหลายพันหลายหมื่นรายภายใต้พฤติกรรมเบี่ยงเบนต่างๆ นานา นับแต่การผิดกฎจราจรเบาๆ อย่างการไม่สวมหมวกนิรภัย การซ้อนสาม การขับขี่ย้อนศร การขับขี่ข้ามช่องทาง การขับขี่เร็วแรง จนถึงนักหนารุนแรงเข้าข่ายอาชญากรรม อาทิ การรวมกลุ่มก้อนกันขับขี่ของเด็กแว้น-สกอยส์ กระทั่งถึงขว้างปาหินใส่รถสวนทางทั้งเพื่อชิงทรัพย์ สะใจ ระบายอารมณ์ และอื่นๆ ที่คาดคำนวณไม่ถึงถ้าใช้กรอบจริยธรรมทางสังคมไปวิเคราะห์
ถึงกระนั้น ในพฤติกรรมเบี่ยงเบนครรลองคลองธรรมของเยาวชนไทยที่มีอยู่ไม่น้อยนี้ ก็ยังมีจุดร่วมสำคัญหนึ่ง คือเป็นอัตลักษณ์ตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นจากแรงกดดันบีบคั้นของครอบครัว ชุมชน สังคม ที่ห่างเหินแหว่งวิ่นขาดความอบอุ่นจนกระชากเยาวชนหลุดเข้าสู่โลกมืดอาชญากร กอปรกับได้ครอบครองรถจักรยานยนต์เพื่อขับขี่ไปโรงเรียนตั้งแต่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ทำใบอนุญาต อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากระบบขนส่งมวลชนและรถรับส่งนักเรียนขาดมาตรฐาน ปริมาณ และความปลอดภัย
ภายใต้โครงสร้างสังคมที่สั่งสมความบิดเบี้ยวมานาน รถจักรยานยนต์ ‘พาหนะ’ ขับขี่ไปเรียนหนังสือของเยาวชนจึงกลับกลายเป็น ‘พาหะ’ นำอันตรายร้ายแรงมาสู่ชีวิตตนเองและผู้อื่นที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันกับพวกเขา ด้วยคิดว่าการขับขี่เร็ว แรง คือหนทางสร้างอัตลักษณ์และการยอมรับนับถือ
ฉะนั้น ในการบำบัดพฤติกรรมเบี่ยงเบนของเยาวชนเหล่านี้จึงต้องกระทำเชิงลึกระดับโครงสร้างและวัฒนธรรมไทยควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่มุ่งเป้าไปที่ความรุนแรงทางกายภาพที่เกิดจากเยาวชนเพียงถ่ายเดียว ด้วยการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของเยาวชนที่ถูกสังคมติดฉลากเลวร้ายเหล่านี้ไม่ได้อยู่ดีๆ ผุดโผล่จากผืนแผ่นดินหรือร่วงหล่นจากฟากฟ้า หากทว่ามีรากฐานครอบครัว ชุมชน สังคม ที่ร้าวรานรองรับและผลักดันจนพฤติกรรมพวกเขาขัดกับคุณสมบัติเยาวชนที่พึงประสงค์ของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ จริยธรรม คุณธรรม และพฤติกรรมความรับผิดชอบตามวัย
เมื่อเวียนมาถึงวันเยาวชนแห่งชาติที่มีขึ้นทุกวันที่ 20 กันยายนของทุกปี ที่สืบเนื่องจากการประกาศปีเยาวชนสากลขององค์การสหประชาชาติ จึงน่าจะเป็นจังหวะดีในการร่วมกันสรรสร้างเยาวชนที่สังคมพึงประสงค์ โดยเฉพาะการเคารพกฎจราจรและสิทธิในชีวิตผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น
ยิ่งบวกแรงกระตุ้นภาคการเมืองที่กำหนดให้อุบัติเหตุเป็นวาระแห่งชาติ การมีชุมชนต้นแบบนำร่องความสำเร็จ และแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2552-2555 ที่วางรากฐานอยู่บน 6 ยุทธศาสตร์สำคัญ ทั้ง 1) การปรับนโยบายให้เป็นนโยบายเร่งด่วนระดับชาติ (Urgent National Agenda) 2) การสร้างเสถียรภาพในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน 3) การทำแผนนิติบัญญัติ 4) การป้องกันแก้ไขปัญหาความปลอดภัยทางถนนในส่วนกลาง 5) การป้องกันแก้ไขปัญหาความปลอดภัยทางถนนในภูมิภาคและท้องถิ่น และ 6) วิจัย พัฒนา และติดตามประเมินผลด้านความปลอดภัยทางถนน ความน่าจะเป็นในการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นได้แม้ในเยาวชนที่ถูกประทับตราว่าเป็นชนชายขอบเลวร้าย
ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของเยาวชน วิกฤตและวาระแห่งชาติด้านอุบัติเหตุที่เรียกร้องการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนจักคลี่คลายลดทอนความรุนแรงลงได้ ด้วยช่วงวัยหนุ่มสาว 15-25 ปีนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ ขอเพียงเปิดกว้างให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมและลงมือทำเท่านั้นก็เพียงพอที่จะป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างยั่งยืน
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org