นอกเหนือเจตจำนงทางการเมืองเรื่องลดอุบัติเหตุที่ถูกยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ (National Agenda) โดยนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ให้คำมั่นสัญญาทางการเมืองว่าจะไม่ให้ตัวเลขอุบัติเหตุเป็นแค่สถิติบนกระดาษ หากแต่ต้องเชื่อมโยงให้สังคมได้ตระหนักถึงสาเหตุสำคัญของการสูญเสียที่ทุกฝ่ายสามารถช่วยกันลดหรือบรรเทาปัญหาได้ โดยอาศัยมาตรการสร้างค่านิยมและจิตสำนึกที่ถูกต้องเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนไทยให้กลับมาป้องกันตนเอง ลดความเสี่ยง และมีสำนึกรับผิดชอบต่อผู้อื่นมากขึ้นแล้ว เครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็งก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญด้วย
ยิ่งเป็นภาคีเครือข่ายที่ก่อเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนที่ตระหนักถึงมหันตภัยของอุบัติเหตุจราจรร่วมกันด้วยแล้ว สวัสดิภาพความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินจะยิ่งเพิ่มพูนเพราะชุมชนสามารถเข้ามาจัดการความปลอดภัยทางถนนทั้งด้านคุ้มครองดูแลและรักษาป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล จนกระทั่งความรุนแรงทางกายภาพ โครงสร้าง และวัฒนธรรมที่ถั่งโถมมาช้านานพังทลายลงได้ ด้วยเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 3 ด้านภายในชุมชนโดยคนในชุมชนเอง
1) พฤติกรรมของคนในชุมชนที่จะลด ละ เลิก ความประมาทเมาแล้วขับ ง่วงแล้วขับ ขับเร็วเกินอัตรากำหนด ไม่สวมหมวกกันน็อก และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย 2) โครงสร้างภายในชุมชนทั้งด้านการบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement) และการบริหารจัดการงบประมาณการก่อสร้างจะเอื้ออำนวยต่อการแก้ปัญหาจราจรมากขึ้น และ 3) ค่านิยมความคิดความเชื่อของคนในชุมชนจะหลุดพ้นจากการกดทับทางวัฒนธรรมที่ว่าทุกเทศกาลงานรื่นเริงต้องมีสุรายาเมาถึงสนุกสนาน และจำนนสยบยอมให้คนกระทำผิดกฎจราจรลอยนวล ทั้งๆ ก่ออันตรายร้ายแรงละเมิดสิทธิชีวิตและการเดินทางคนอื่น
การมุ่งมั่นกำจัดและจำกัดตัวแปรเชิงกายภาพ โครงสร้าง และวัฒนธรรม ต่างๆ นานาที่เป็นเหตุปัจจัยให้คนไทยด้อยคุณภาพชีวิตลงไปโดยใช้ชุมชนเป็นคานงัดหลักจึงสำคัญยิ่งยวด ด้วยจะเป็นกลไกแรกเริ่มที่ถากถางความปลอดภัยให้เกิดขึ้นได้จริงในสังคมไทย ด้วยสเกลทั้งด้านคน โครงสร้าง และวัฒนธรรมของชุมชนนั้นไม่ใหญ่โตอุ้ยอ้ายเกินไปที่จะปรับเปลี่ยนวิธีคิดวิถีการบริหารจัดการเสียใหม่ให้สอดผสานกับวิสัยทัศน์วาระแห่งชาติที่ต้องการลดอัตราผู้เสียชีวิตให้ไม่เกิน 10 คนจากประชากรแสนคน ตลอดจนสอดรับกับเป้าหมายใน 10 ปีข้างหน้าขององค์การสหประชาชาติที่ปรารถนาลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนทั่วโลกลงครึ่งหนึ่งด้วย
แม้นเจตจำนงวาระแห่งชาติด้านอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยจะเป็นเนื้อเดียวกันกับเป้าประสงค์ขององค์การระดับโลกที่ดูแล้วใหญ่โตเกินชุมชนจะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญ หากแต่แท้จริงแล้วกลับตรงกันข้าม ด้วยจุดชี้ขาดความสำเร็จยิ่งใหญ่นี้กลับเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆ ระดับชุมชน เพราะหน่วยทางสังคมนี้มีพลังเพียงพอจะขับเคลื่อนความสำเร็จระดับประเทศและโลกได้ ยิ่งยึดโยงกับแนวปฏิบัติของชุมชนที่ ‘คิดระดับโลก ทำระดับท้องถิ่น’ (Think Globally, Act Locally) เหมือนดังการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่ปฏิบัติการภายในชุมชนแต่ส่งผลกว้างขวางระดับโลกด้วยแล้ว อัตราความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรจะลดทอนลงเช่นเดียวกับความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อมได้
กล่าวคือ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เกือบทุกชุมชนสามารถวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งควบคู่กับสังเคราะห์อย่างยึดโยงกับบริบทของท้องถิ่น พร้อมกันกับกล้าริเริ่มพัฒนามาตรการด้านความปลอดภัยบนกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องรอส่วนกลางกำหนดนโยบายแนวดิ่งแบบสำเร็จรูปลงมา เมื่อนั้นความฝันอันสูงสุด ‘ลดอุบัติเหตุถึงศูนย์ก่อนสิ้นสูญ’ ก็จะงอกงามทั้งระดับชุมชนและประเทศชาติได้ ด้วยจะก่อเกิดเครือข่ายชุมชนถนนปลอดภัยที่มีมวลวิกฤต (Mass Crisis) มากพอจะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยที่ไม่ใส่ใจในความสูญเสียอันเนื่องมาจากวิกฤตอุบัติเหตุจราจรได้
ด้วยในภาคปฏิบัติการจริงเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในชุมชนนั้นจักต้องปรับเปลี่ยนทั้งพฤติกรรมส่วนบุคคล (Individual Behavior) พฤติกรรมส่วนรวม (Collective Behavior) รวมถึงสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยทั้งเชิงกายภาพและเทคโนโลยีขึ้นมารองรับ พร้อมๆ กับปรับกระบวนทัศน์การบริหารจัดการทางการเมืองท้องถิ่นเสียใหม่ให้กลับมาคิดคำนวณความเสียหายจากอุบัติทางท้องถนนบนมิติทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ถึงที่สุดแล้วแยกกันไม่ออกระหว่างการพลัดพรากของคนรักญาติสนิทมิตรสหายกับการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นทรัพยากรมีค่าสูงสุดสำหรับชุมชนและประเทศชาติ
ซึ่งกว่าคว้าฝันสูงสุดนั้นได้ แต่ละชุมชนจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยเป็นสำคัญในเบื้องต้นตลอดปลาย เพื่อจะได้ระดมสรรพกำลังทั้งด้านบุคลากร งบประมาณ ความรู้ความสามารถเพื่อมาสร้างสรรค์ ‘ชุมชนปลอดอุบัติเหตุ’ ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนมั่นคงภายใต้ฉันทามติ (Consensus) ของคนทั้งชุมชนที่ให้คุณค่าว่าอุบัติเหตุจราจรนั้นไม่ใช่เรื่องของเวรกรรม ฟาดเคราะห์ หรือโชคร้าย หากทว่าป้องกันได้ถ้าไม่ประมาท และสามารถคลี่คลายแก้ไขได้ถ้าร่วมพลังกันกล้าแข็ง
กล่าวในอีกสำนวนคือชุมชนต้องกล้าตัดสินใจเพื่อสิ่งที่ดีกว่าและเชื่อมั่นศรัทธาในศักยภาพของตนเองว่าสามารถรังสรรค์ความปลอดภัยขึ้นในชุมชนได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงราชการส่วนกลางมากนัก หากสามารถใช้ความห่วงกังวล ความต้องการ ค่านิยม และจิตสำนึกของชาวชุมชนที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันบนเป้าหมายการระดมฉันทามติเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีกว่าสอดคล้องกับบริบทกว่าได้
โดยแนวทางสร้างการมีส่วนร่วมลดอุบัติเหตุในชุมชนผ่านปฏิบัติการด้านค่านิยมหลักๆ นั้นจะกอปรด้วยการเปิดโอกาสแสดงความคิดเห็นเพื่อตัดสินใจในเรื่องคุณภาพชีวิต การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเป็นหนึ่งเสียงสำคัญในการตัดสินใจของชุมชน จนถึงการตอบสนองความต้องการและข้อตกลงว่าด้วยสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชนผู้เข้ามามีส่วนร่วมทั้งหมด
กระนั้น การจะกระทำเช่นนั้นได้ ก็เรียกร้องชุมชนที่กล้ารื้อถอนขนบโครงสร้างเดิมๆ ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและรวมหมู่ที่บ่มเพาะวัฒนธรรมความรุนแรงจากอุบัติเหตุทางท้องถนนให้เป็นเรื่องธรรมดาชาชินของชุมชน ตลอดจนมีความเข้มแข็งของท้องถิ่นเป็นทุนรอนรังสรรค์วัฒนธรรมความปลอดภัยอยู่พอควร จึงจะผลักดันวาระความปลอดภัยทางท้องถนนได้ไม่ติดขัดจนเกินไปนัก ดังชุมชนต้นแบบด้านปลอดอุบัติเหตุมากมาย ทั้งที่เป็นชุมชนเมือง ชุมชนกึ่งเมือง หรือชุมชนชนบท ที่นำเสนอในงานสัมมนาอุบัติเหตุแห่งชาติครั้งที่ 9 เรื่องพลังเครือข่ายเพื่อถนนปลอดภัย
เฉกเช่น เทศบาล ต.กุดน้ำใส อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ที่ขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนนโดยการสร้างเครือข่ายบูรณาการการทำงานแนวราบที่ทุกคนทุกหน่วยงานมีความสำคัญ และทุ่มเททำงานอย่างเข้าใจและให้เกียรติกันเพื่อจะบรรลุจุดมุ่งหมายเดียวกันคือชุมชนน่าอยู่ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนต่อยอดความคิดด้วยการกำหนดถนนต้นแบบเขตกวดขันวินัยจราจรของตำบล จนสามารถแก้ปัญหาจราจรและลดจุดเสี่ยงในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ร่วมกับอุตสาหกรรมได้
ไม่ต่างจากชุมชนปทุมวิลเลจ ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ที่ดำเนินโครงการชุมชนร่วมใจสร้างความปลอดภัยทางถนน จนประชากรราว 900 คนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากการแก้ปัญหาแบบมีส่วนร่วมนับแต่ขั้นร่วมรับรู้ปัญหา ร่วมคิดแก้ไข ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ และร่วมแบ่งปันประโยชน์สุข จนสภาพปัญหาจากการมีถนนแคบตามลักษณะบ้านแบบทาวเฮาส์ที่แต่ละบ้านจะมีรถหนึ่งคันนั้นหมดไปได้ โดยประยุกต์ใช้วิศวกรรมจราจรแบบพอเพียงอย่างกระจกมองแยก การบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นปรับรถวิ่งย้อนศร รณรงค์ผ่านป้ายประกาศ เช่น ขับช้าๆ จอดชิดๆ
จะโดยรู้หรือไม่รู้ก็ตามแต่ แต่ปฏิบัติการด้านความปลอดภัยของชุมชนเหล่านี้มีกระบวนทัศน์คิดระดับโลก ทำระดับท้องถิ่น แฝงฝังอยู่ ทั้งยังมีส่วนสำคัญยิ่งในการสานฝันอันสูงสุดของประเทศชาติและโลกในการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนลงได้ ด้วยก่อเกิดและงอกงามจากรากฐานความมุ่งมั่นต้องการที่หนักแน่นของชุมชน.-
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
ยิ่งเป็นภาคีเครือข่ายที่ก่อเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนที่ตระหนักถึงมหันตภัยของอุบัติเหตุจราจรร่วมกันด้วยแล้ว สวัสดิภาพความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินจะยิ่งเพิ่มพูนเพราะชุมชนสามารถเข้ามาจัดการความปลอดภัยทางถนนทั้งด้านคุ้มครองดูแลและรักษาป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล จนกระทั่งความรุนแรงทางกายภาพ โครงสร้าง และวัฒนธรรมที่ถั่งโถมมาช้านานพังทลายลงได้ ด้วยเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 3 ด้านภายในชุมชนโดยคนในชุมชนเอง
1) พฤติกรรมของคนในชุมชนที่จะลด ละ เลิก ความประมาทเมาแล้วขับ ง่วงแล้วขับ ขับเร็วเกินอัตรากำหนด ไม่สวมหมวกกันน็อก และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย 2) โครงสร้างภายในชุมชนทั้งด้านการบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement) และการบริหารจัดการงบประมาณการก่อสร้างจะเอื้ออำนวยต่อการแก้ปัญหาจราจรมากขึ้น และ 3) ค่านิยมความคิดความเชื่อของคนในชุมชนจะหลุดพ้นจากการกดทับทางวัฒนธรรมที่ว่าทุกเทศกาลงานรื่นเริงต้องมีสุรายาเมาถึงสนุกสนาน และจำนนสยบยอมให้คนกระทำผิดกฎจราจรลอยนวล ทั้งๆ ก่ออันตรายร้ายแรงละเมิดสิทธิชีวิตและการเดินทางคนอื่น
การมุ่งมั่นกำจัดและจำกัดตัวแปรเชิงกายภาพ โครงสร้าง และวัฒนธรรม ต่างๆ นานาที่เป็นเหตุปัจจัยให้คนไทยด้อยคุณภาพชีวิตลงไปโดยใช้ชุมชนเป็นคานงัดหลักจึงสำคัญยิ่งยวด ด้วยจะเป็นกลไกแรกเริ่มที่ถากถางความปลอดภัยให้เกิดขึ้นได้จริงในสังคมไทย ด้วยสเกลทั้งด้านคน โครงสร้าง และวัฒนธรรมของชุมชนนั้นไม่ใหญ่โตอุ้ยอ้ายเกินไปที่จะปรับเปลี่ยนวิธีคิดวิถีการบริหารจัดการเสียใหม่ให้สอดผสานกับวิสัยทัศน์วาระแห่งชาติที่ต้องการลดอัตราผู้เสียชีวิตให้ไม่เกิน 10 คนจากประชากรแสนคน ตลอดจนสอดรับกับเป้าหมายใน 10 ปีข้างหน้าขององค์การสหประชาชาติที่ปรารถนาลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนทั่วโลกลงครึ่งหนึ่งด้วย
แม้นเจตจำนงวาระแห่งชาติด้านอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยจะเป็นเนื้อเดียวกันกับเป้าประสงค์ขององค์การระดับโลกที่ดูแล้วใหญ่โตเกินชุมชนจะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญ หากแต่แท้จริงแล้วกลับตรงกันข้าม ด้วยจุดชี้ขาดความสำเร็จยิ่งใหญ่นี้กลับเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆ ระดับชุมชน เพราะหน่วยทางสังคมนี้มีพลังเพียงพอจะขับเคลื่อนความสำเร็จระดับประเทศและโลกได้ ยิ่งยึดโยงกับแนวปฏิบัติของชุมชนที่ ‘คิดระดับโลก ทำระดับท้องถิ่น’ (Think Globally, Act Locally) เหมือนดังการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่ปฏิบัติการภายในชุมชนแต่ส่งผลกว้างขวางระดับโลกด้วยแล้ว อัตราความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรจะลดทอนลงเช่นเดียวกับความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อมได้
กล่าวคือ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เกือบทุกชุมชนสามารถวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งควบคู่กับสังเคราะห์อย่างยึดโยงกับบริบทของท้องถิ่น พร้อมกันกับกล้าริเริ่มพัฒนามาตรการด้านความปลอดภัยบนกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องรอส่วนกลางกำหนดนโยบายแนวดิ่งแบบสำเร็จรูปลงมา เมื่อนั้นความฝันอันสูงสุด ‘ลดอุบัติเหตุถึงศูนย์ก่อนสิ้นสูญ’ ก็จะงอกงามทั้งระดับชุมชนและประเทศชาติได้ ด้วยจะก่อเกิดเครือข่ายชุมชนถนนปลอดภัยที่มีมวลวิกฤต (Mass Crisis) มากพอจะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยที่ไม่ใส่ใจในความสูญเสียอันเนื่องมาจากวิกฤตอุบัติเหตุจราจรได้
ด้วยในภาคปฏิบัติการจริงเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในชุมชนนั้นจักต้องปรับเปลี่ยนทั้งพฤติกรรมส่วนบุคคล (Individual Behavior) พฤติกรรมส่วนรวม (Collective Behavior) รวมถึงสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยทั้งเชิงกายภาพและเทคโนโลยีขึ้นมารองรับ พร้อมๆ กับปรับกระบวนทัศน์การบริหารจัดการทางการเมืองท้องถิ่นเสียใหม่ให้กลับมาคิดคำนวณความเสียหายจากอุบัติทางท้องถนนบนมิติทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ถึงที่สุดแล้วแยกกันไม่ออกระหว่างการพลัดพรากของคนรักญาติสนิทมิตรสหายกับการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นทรัพยากรมีค่าสูงสุดสำหรับชุมชนและประเทศชาติ
ซึ่งกว่าคว้าฝันสูงสุดนั้นได้ แต่ละชุมชนจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยเป็นสำคัญในเบื้องต้นตลอดปลาย เพื่อจะได้ระดมสรรพกำลังทั้งด้านบุคลากร งบประมาณ ความรู้ความสามารถเพื่อมาสร้างสรรค์ ‘ชุมชนปลอดอุบัติเหตุ’ ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนมั่นคงภายใต้ฉันทามติ (Consensus) ของคนทั้งชุมชนที่ให้คุณค่าว่าอุบัติเหตุจราจรนั้นไม่ใช่เรื่องของเวรกรรม ฟาดเคราะห์ หรือโชคร้าย หากทว่าป้องกันได้ถ้าไม่ประมาท และสามารถคลี่คลายแก้ไขได้ถ้าร่วมพลังกันกล้าแข็ง
กล่าวในอีกสำนวนคือชุมชนต้องกล้าตัดสินใจเพื่อสิ่งที่ดีกว่าและเชื่อมั่นศรัทธาในศักยภาพของตนเองว่าสามารถรังสรรค์ความปลอดภัยขึ้นในชุมชนได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงราชการส่วนกลางมากนัก หากสามารถใช้ความห่วงกังวล ความต้องการ ค่านิยม และจิตสำนึกของชาวชุมชนที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันบนเป้าหมายการระดมฉันทามติเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีกว่าสอดคล้องกับบริบทกว่าได้
โดยแนวทางสร้างการมีส่วนร่วมลดอุบัติเหตุในชุมชนผ่านปฏิบัติการด้านค่านิยมหลักๆ นั้นจะกอปรด้วยการเปิดโอกาสแสดงความคิดเห็นเพื่อตัดสินใจในเรื่องคุณภาพชีวิต การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเป็นหนึ่งเสียงสำคัญในการตัดสินใจของชุมชน จนถึงการตอบสนองความต้องการและข้อตกลงว่าด้วยสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชนผู้เข้ามามีส่วนร่วมทั้งหมด
กระนั้น การจะกระทำเช่นนั้นได้ ก็เรียกร้องชุมชนที่กล้ารื้อถอนขนบโครงสร้างเดิมๆ ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและรวมหมู่ที่บ่มเพาะวัฒนธรรมความรุนแรงจากอุบัติเหตุทางท้องถนนให้เป็นเรื่องธรรมดาชาชินของชุมชน ตลอดจนมีความเข้มแข็งของท้องถิ่นเป็นทุนรอนรังสรรค์วัฒนธรรมความปลอดภัยอยู่พอควร จึงจะผลักดันวาระความปลอดภัยทางท้องถนนได้ไม่ติดขัดจนเกินไปนัก ดังชุมชนต้นแบบด้านปลอดอุบัติเหตุมากมาย ทั้งที่เป็นชุมชนเมือง ชุมชนกึ่งเมือง หรือชุมชนชนบท ที่นำเสนอในงานสัมมนาอุบัติเหตุแห่งชาติครั้งที่ 9 เรื่องพลังเครือข่ายเพื่อถนนปลอดภัย
เฉกเช่น เทศบาล ต.กุดน้ำใส อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ที่ขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนนโดยการสร้างเครือข่ายบูรณาการการทำงานแนวราบที่ทุกคนทุกหน่วยงานมีความสำคัญ และทุ่มเททำงานอย่างเข้าใจและให้เกียรติกันเพื่อจะบรรลุจุดมุ่งหมายเดียวกันคือชุมชนน่าอยู่ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนต่อยอดความคิดด้วยการกำหนดถนนต้นแบบเขตกวดขันวินัยจราจรของตำบล จนสามารถแก้ปัญหาจราจรและลดจุดเสี่ยงในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ร่วมกับอุตสาหกรรมได้
ไม่ต่างจากชุมชนปทุมวิลเลจ ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ที่ดำเนินโครงการชุมชนร่วมใจสร้างความปลอดภัยทางถนน จนประชากรราว 900 คนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากการแก้ปัญหาแบบมีส่วนร่วมนับแต่ขั้นร่วมรับรู้ปัญหา ร่วมคิดแก้ไข ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ และร่วมแบ่งปันประโยชน์สุข จนสภาพปัญหาจากการมีถนนแคบตามลักษณะบ้านแบบทาวเฮาส์ที่แต่ละบ้านจะมีรถหนึ่งคันนั้นหมดไปได้ โดยประยุกต์ใช้วิศวกรรมจราจรแบบพอเพียงอย่างกระจกมองแยก การบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นปรับรถวิ่งย้อนศร รณรงค์ผ่านป้ายประกาศ เช่น ขับช้าๆ จอดชิดๆ
จะโดยรู้หรือไม่รู้ก็ตามแต่ แต่ปฏิบัติการด้านความปลอดภัยของชุมชนเหล่านี้มีกระบวนทัศน์คิดระดับโลก ทำระดับท้องถิ่น แฝงฝังอยู่ ทั้งยังมีส่วนสำคัญยิ่งในการสานฝันอันสูงสุดของประเทศชาติและโลกในการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนลงได้ ด้วยก่อเกิดและงอกงามจากรากฐานความมุ่งมั่นต้องการที่หนักแน่นของชุมชน.-
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org