xs
xsm
sm
md
lg

หลังรัฐประหาร 3 ปี ได้-เสียอะไรบ้าง?

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ในห้วงเวลาที่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ถึงวาระครบ 3 ปี ใน พ.ศ. 2552 นี้ ได้เกิดคำถามมากมายว่าการรัฐประหารนั้นสำเร็จหรือล้มเหลว โดยเฉพาะเครือข่ายของระบอบทักษิณได้ถือเป็นประเด็นรณรงค์อย่างกว้างขวางว่า 3 ปีของการรัฐประหาร ประเทศและคนไทยได้-เสียอะไรบ้าง?

สื่อมวลชน นักวิชาการ และบุคคลวงการต่างๆ รวมทั้งผู้คนในโลกไซเบอร์ต่างได้ออกความเห็นในเรื่องเหล่านี้กันอย่างกว้างขวาง

ดังนั้นจึงสมควรที่จะได้สรุปความคิดเห็น ตลอดจนสภาพความจริงที่บ่งบอกถึงความได้-เสีย หลัง 3 ปีแห่งการรัฐประหาร 19 กันยา สักครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อหรือการรณรงค์ที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้

ก่อนอื่นก็ต้องถือตามการยอมรับของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่ให้สัมภาษณ์ในรายการของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เมื่อคืนวันที่ 23 กันยายน 2552 ว่าการรัฐประหารครั้งนั้นเป็นการฉี่ไม่สุด หรือพูดให้ชัดก็คือเยี่ยวไม่สุด

ความจริงไม่เพียงแต่เยี่ยวไม่สุดเท่านั้น ยังมีการเยี่ยวเลอะเปรอะกางเกงอีกด้วย

เพราะเป็นการยึดอำนาจที่ถูกยึดอำนาจซ้อนในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังการยึดอำนาจเสร็จสิ้น ดังที่ได้นำเสนอในบทความเรื่อง “วิพากษ์รัฐประหาร 19 กันยา” ไปแล้วรวม 2 ตอน

มาถึงวันนี้ความจริงได้บอกแก่คนไทยทั้งประเทศว่า หลังรัฐประหาร 3 ปี โดยภาพรวมแล้วประเทศไทยและคนไทยไม่มีอะไรดีขึ้น และทุกอย่างแย่ลง แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ได้มาและถือว่าคุ้มค่าที่สุด

เป็นดังที่พลเรือเอกบรรณวิทย์ เก่งเรียน ได้ตอบโต้สวน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในเรื่องนี้ว่า 3 ปีของการรัฐประหารได้โค่นรัฐบาลทักษิณลงจากอำนาจ ได้โค่นล้มการเมืองระบบโคตรโกงและโกงทั้งโคตรลงไปได้ ได้ยุติการอุ้มฆ่าประชาชนและการฆ่าตัดตอนประชาชนให้หมดไปโดยพื้นฐานได้

พลเรือเอกบรรณวิทย์ เก่งเรียน ได้ย้ำว่าแค่เรื่องเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นการคุ้มสุดที่จะคุ้มของการรัฐประหาร 19 กันยา แล้ว

ลองนึกดูเถิดว่าถ้ารัฐบาลพรรคไทยรักไทยยังครองอำนาจต่อมาตลอดระยะเวลา 3 ปีนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

การเมืองระบบโคตรโกงและโกงทั้งโคตรจนเป็นที่ชิงชังรังเกียจของประชาชนและเป็นเหตุให้ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านอย่างกว้างขวางทั่วประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร?

ประเทศไทยและคนไทยคงเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกไปแล้ว และความขัดแย้งจะถึงขั้นแตกหักฆ่าฟันกันจนเลือดนองแผ่นดินหรือไม่

ผลประโยชน์ของชาติและอธิปไตย ตลอดจนบูรณภาพเหนือดินแดน ทั้งบนแผ่นดิน ในน่านน้ำ และในอวกาศ จะถูกบรรณาการขายให้กับต่างชาติไปอีกเท่าใด

ทรัพย์สมบัติของแผ่นดินจะถูกแปรรูปเอาไปขายในตลาดหุ้นอีกกี่แห่ง? และจะมีการตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อแบ่งแยกแผ่นดินไทยให้นักการเมืองเอาไปแสวงหาประโยชน์กับต่างชาติจะเกิดขึ้นสักกี่แห่ง? แผ่นดินไทยจะเหลืออยู่แค่ไหน?

การอุ้มฆ่าประชาชนจะเกิดขึ้นและขยายตัวไปอีกสักเท่าใด? การฆ่าตัดตอนจะลุกลามเต็มไปทั้งแผ่นดินจนประชาชนจะอยู่กินกันได้อย่างไร

ดังนั้นอย่างน้อยที่สุด 3 ปีหลังรัฐประหาร 19 กันยา เหตุการณ์และเรื่องราวดังกล่าวถูกหยุดยั้งหมดไปนั้นก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องคุ้มแสนคุ้ม เป็นอาณาประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติและประชาชนไทยแล้วไม่ใช่หรือ? และนี่ก็คือคำตอบที่ตรงเป้าเข้าจุดมากที่สุดต่อคำถามที่ตั้งกันอยู่ว่า 3 ปีหลังรัฐประหาร ได้-เสียอะไรบ้าง?

นักการเมืองบางกลุ่มตู่เอาเองว่าผลจากการรัฐประหาร 19 กันยา ทำให้เกิดรัฐธรรมนูญเผด็จการ ฉบับ พ.ศ. 2550 ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการ

ช่างเป็นการตู่อ้างประชาชนโดยไม่ละอายต่อบาปแม้แต่น้อย เพราะนี่คือการโกหกกลางเมืองที่ชัดเจนที่สุด

ก็รัฐธรรมนูญ 2550 นี้ นอกจากผ่านการร่างจากผู้ที่ได้รับเลือกสรรมาจากกลุ่มตัวแทนที่หลากหลายแล้ว ในท้ายที่สุดก็เป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวของประเทศนี้ที่ได้มีการนำไปให้ประชาชนทั่วประเทศลงประชามติว่าจะเห็นชอบให้ใช้บังคับหรือไม่?

ในครั้งนั้นผู้คนในระบอบทักษิณและคนเสื้อแดงได้ทำการรณรงค์ไม่รับรัฐธรรมนูญอยู่ฝ่ายเดียว แต่ในที่สุดผลประชามติของประชาชนข้างมากของประเทศก็ได้ลงมติเห็นชอบให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2550 ได้

เลิกโกหกแบบนี้เสียทีเถิด เพราะไม่สามารถโกหกได้อีกต่อไปแล้ว และเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เรื่องที่เป็นความจริงอันประจักษ์ชัดเจนแก่คนทั้งประเทศเช่นนี้ ยังไม่มีความละอายแก่ใจ และกล้าโกหกได้อีกหรือ?

แต่ก็ต้องยอมรับความจริงเช่นเดียวกันว่า หลังรัฐประหาร 3 ปีมานี้ โดยทั่วไปไม่มีอะไรดีขึ้นและกลับแย่ลง นี่คือความจริงที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ต้องรู้ว่ามันเกิดจากเหตุอะไรบ้าง

ข้อแรก
ระยะเวลา 3 ปีหลังรัฐประหารนั้น เป็นห้วงเวลาของคณะ คมช. เพียง 14 วัน เป็นห้วงเวลาของรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ 1 ปี เป็นห้วงเวลาของรัฐบาลพรรคพลังประชาชนรวม 2 รัฐบาลเป็นเวลาปีเศษ และเป็นห้วงเวลาของรัฐบาลผสมที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำเพียงแค่ 9 เดือน

ดังนั้นความแย่ลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้จึงเป็นความรับผิดโดยตรงของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดดังกล่าว ตามสัดส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ โดยห้วงเวลาส่วนใหญ่เป็นห้วงเวลาของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ซึ่งก็คือพรรคการเมืองในระบอบทักษิณที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าใคร

ข้อสอง
ระยะเวลา 3 ปีหลังรัฐประหารนั้น ได้เกิดขบวนการป่วนเมืองที่ก่อความรุนแรงชนิดที่มีการกำหนดคำขวัญในการเคลื่อนไหวว่า “เถื่อน เหี้ยม โหด” ได้ทำการป่วนบ้านป่วนเมืองอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด และที่เสียหายมากที่สุดก็คือการล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยา ในเหตุการณ์จลาจลเดือนเมษายน 2552 ทำให้ประเทศไทยเสื่อมความเชื่อถือศรัทธาในสายตานานาชาติอย่างมาก

นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะลงไปเยี่ยมเยียนดูแลทุกข์สุขราษฎรในพื้นที่ต่างๆ ก็ถูกขัดขวาง ทั้งที่การไปทำหน้าที่เช่นนั้นมีแต่จะเกิดประโยชน์และความสุขแก่ประชาชนในท้องถิ่น เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อสนับสนุนด้านงบประมาณและการพัฒนา ตลอดจนการแก้ไขปัญหาให้กับท้องถิ่นนั้น อันเห็นได้ชัดว่าประโยชน์จะเกิดขึ้นกับประชาชนในท้องถิ่น แต่ผลประโยชน์ของท้องถิ่นและประชาชนกลับถูกขัดขวางอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงวันนี้

ข้อสาม การเมืองเก่าและนักการเมืองเก่าทั้งปวงที่ครองอำนาจรัฐหลังรัฐประหาร 19 กันยา ไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาชาติ และในการสร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับประชาชน เป็นบทพิสูจน์ว่าการเมืองเก่านั้นไม่ใช่ที่พึ่งหวังที่ประชาชนจะฝากอนาคตของชาติบ้านเมืองไว้ได้อีกต่อไปแล้ว

ไม่มีการขุดรากถอนโคนความชั่วช้าเลวทรามทั้งหลายในแผ่นดินให้หมดสิ้นไป มีแต่เอื้อเฟื้อเอื้อประโยชน์ให้กันและกัน มีแต่การแบ่งสรรปันส่วนอำนาจและผลประโยชน์แก่กันจนเกิดระบบสืบสันตติวงศ์ทางการเมือง ที่จะนำไปสู่ระบบขุนศึกในอนาคต ที่วงศ์ตระกูลนักการเมืองจะถือตนเป็นเจ้าเข้าปกครองแต่ละจังหวัดหรือแต่ละเขตพื้นที่ไปชั่วกัลปาวสาน

การฉ้อราษฎร์บังหลวงยังขยายตัวลุกลามไปทั่วทุกวงการ ทำลายทุกระบบและทุกภาคส่วนของระบบราชการอย่างยับเยิน ขยายลุกลามไปทำลายกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอน และกระทบต่อการดำรงอยู่ของทุกสถาบันอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของชาติ

ความแตกแยกแตกสามัคคีในชาติที่มีมาแต่เหตุได้รับข้อมูลข่าวสารต่างกันไม่ได้รับการแก้ไขใดๆ เลย มีแต่การตีฝีปากต่อว่าด่าทอกัน จนบรรยากาศอันกักขฬะนั้นแผ่ปกคลุมบรรยากาศข่าวสารไปจนหมดสิ้น

ความสงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้รับการแก้ไขให้คืนดี ชีวิตประชาชนหล่นร่วงลงราวใบไม้ร่วงในแทบทุกวัน อธิปไตยของชาติทั้งทางบก ทางทะเล ตั้งแต่จังหวัดศรีสะเกษ ลัดเลาะเรื่อยมาหลายจังหวัด ถึงเกาะกูดแห่งจังหวัดตราดและอ่าวไทย ถูกเขมรยึดครองรุกรานและกำลังแผ่ขยายการรุกยึดอย่างไม่หยุดยั้ง โดยรัฐไม่ป้องกันแก้ไขใดๆ จนประชาชนต้องเข้าทำหน้าที่พิทักษ์อธิปไตยของชาติกันอย่างขนานใหญ่

เหล่านี้คือสภาพความเป็นจริงของประเทศไทยและคนไทยในห้วงเวลา 3 ปีหลังการรัฐประหาร 19 กันยา และเป็นสภาพของความล่มสลายที่ไม่อาจดำรงคงอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว ความเปลี่ยนแปลงในลักษณะกอบกู้ฟื้นฟูชาติจะต้องอุบัติขึ้นตามกฎเกณฑ์พัฒนาสังคมมนุษย์อย่างแน่นอน.
กำลังโหลดความคิดเห็น