xs
xsm
sm
md
lg

พธม.พร้อมล่าชื่อต้านแก้ รธน.-จี้ “มาร์ค” กล้าปลด “ป๊อด” เอี่ยวฆ่า ปชช.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ
พันธมิตรฯ แถลงจุดยืนค้านแก้ รธน.เตรียมล่า 2 หมื่นชื่อยื่นถอดถอน ส.ส.-ส.ว. พร้อมจี้รัฐบาลผลักดันทหาร-ชุมชนกัมพูชาพ้นปราสาทพระวิหาร ก่อนเจรจาเขตแดน จี้นายกฯ ใช้ความกล้าปลด “ป๊อด” พ้นเก้าอี้ ผบ.ตร. หลัง ป.ป.ช.ชี้ผิดฐานมีเอี่ยวฆ่าประชาชน ลั่นฟ้องแพ่ง-อาญาผู้เกี่ยวข้องถึงที่สุด พร้อมจัดงานใหญ่รำลึกผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บ 7 ตุลาคมนี้



คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เหล่าแกนนำพันธมิตรฯ แถลงข่าวแสดงจุดยืน

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 8 ก.ย. ที่อาคารเค.ยู.โฮม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้จัดแถลงข่าวแสดงจุดยืนของพันธมิตรฯ ใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ 1.ต่อต้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งจะเริ่มด้วยการสู้ในระบบก่อน โดยการเข้าชื่อของประชาชน 20,000 ชื่อยื่นถอดถอน ส.ส.และ ส.ว.ที่เสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเชื่อว่าจะได้รายชื่อครบภายในวันที่ 7 ตุลาคม ที่จะจัดงานรำลึกแน่นอนและยื่นถอดถอนได้ทันที

นายสนธิกล่าวต่อว่า อยากฝากข้อคิดไปยัง ส.ส.-ส.ว. ไม่ว่าพรรคใดหรืออยู่ในสังกัดใคร อยากให้เชื่อว่าแผ่นดินไทยนี้ศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ดูผลของ ป.ป.ช.ที่วินิจฉัยคดี 7 ตุลาฯ เมื่อวานนี้ ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้ว อยากเตือนสติ ส.ส.-ส.ว.ทุกคนว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง วันนี้คุณเป็นรัฐบาล เป็นรัฐมนตรี แต่วันข้างหน้าเมื่อคุณโดนถอดถอนเพราะทำผิด วันนั้นคุณอาจไม่ได้เป็นอะไรเลย การทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวนอกจากจะผิดกฎหมายแล้วยังจะโดนสาปแช่งด้วย

ประเด็นที่ 2 นายสนธิได้แสดงจุดยืนเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมานายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศได้ชี้แจงทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 แต่จุดยืนของพันธมิตรฯ ที่สู้มากับพี่น้องตั้งแต่ต้นและนายกษิตสมัยที่ขึ้นเวทีกับพันธมิตรฯ ก็เป็นจุดยืนเดียวกัน แต่เมื่อคืนที่ผ่านมานายกษิตไม่ได้ลบข้อสงสัยของเราออก แต่กลับเพิ่มข้อสงสัยขึ้นมาอีก

“ท่านบอกว่าเรายังไม่ได้เสียดินแดน เพราะยึดแผนที่คนละแผ่น และจะเน้นการเจรจากัน ซึ่งโดยนิตินัยท่านไม่ผิด แต่พฤตินัย 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น ถูกขมรยึดไปแล้ว ท่านบอกว่าจะเจรจาก็เจรจาไป แต่อีก 10-20ปีข้างหน้า เวลานั้นดวงวิญญาณท่านอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ดวงวิญญาณผมไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ และคงไม่มีโอกาสที่จะกลับมาทวงคืนดินแดนที่เขมรยึดครองอยู่ และยังเจรจากันอยู่ตรงนั้น ประเด็นนี้ท่านไม่ได้ตอบให้ชัด”

นายสนธิกล่าวยืนยันว่า จุดยืนของพันธมิตรฯ ต้องการให้ผลักดันทหารกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และให้ชุมชนออกไปให้หมด หลังจากนั้นจึงมาเจรจา ไม่ใช่เจรจาไปให้เขมรยึดครองไปแล้วเพิ่มคนเข้าไป นี่คือจุดยืนของเรา แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยให้ความชัดเจนเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว อยากเตือนพรรคประชาธิปัตย์ว่าสมัยที่ทำ ส.ป.ก.ก็ยกที่ดินให้คนรวย ตอนทำ ปรส.ก็เอาทรัพย์สินของคนไทยไปขายให้ฝรั่งราคาถูกๆ แล้วเอามาขายคืนให้พี่น้องคนไทย อยากขอเตือน อะไรที่เกี่ยวกับแผ่นดิน พรรคประชาธิปัตย์มักทำให้เสียไปอยู่เสมอ

สำหรับประเด็นที่ 3 นายสนธิกล่าวถึงมติ ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิดนักการเมืองและนายตำรวจระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมของวันที่ในวันที่ 7 ต.ค.51 ว่า แม้ผลที่ออกมายังไม่พอใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคนที่เกี่ยวข้องอีกหลายคนยังไม่โดน แต่เป็นหน้าที่ของทนายพันธมิตรฯ ที่จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับคนที่เกี่ยวข้องต่อไป ในขั้นนี้ ตนเพียงแต่อยากดูความกล้าหาญของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งโดยหลักการแล้ว พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ไม่มีสิทธิที่จะทำงานต่อแม้แต่นิดเดียว เพราะทำอะไรไปก็จะไม่มีผลทางกฎหมาย

“เพราะฉะนั้น อยากถามว่า จริงหรือไม่ที่มีข่าวว่าตอนจัดตั้งรัฐบาล นายสุเทพได้ไปตกลงกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ไปบีบพรรคต่างๆ ให้มาร่วมรัฐบาลว่า หนึ่งในข้อตกลงนั้นคือให้ พล.ต.อ.พัชรวาท อยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร.จนเกษียณ ถึงตอนนี้ผมจึงอยากดูว่าท่านนายกฯ จะตัดสินใจเพื่อประเทศชาติ หรือตัดสินใจเพื่อให้ตัวเองได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไป ตรงนี้พันธมิตรฯ ขอดูความกล้าหาญของท่านด้วย”

นายสนธิกล่าวต่อว่า ส่วนคนที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาฯ คนอื่นๆ นั้น พันธมิตรฯ จะดำเนินคดีถึงที่สุด ตำรวจอย่าเพิ่งชะล่าใจ ความยุติธรรมแม้จะล่าช้า แต่ในที่สุดก็ต้องมาถึงอยู่ดี

นายสนธิยังได้แสดงความเป็นห่วงการตัดสินคดีทุจริตกล้ายางพาราในวันที่ 21 ก.ย.นี้ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่ามีการวิ่งเต้นเพื่อล้มคดี จึงอยากเตือนไปยังตุลาการผู้ทรงความยุติธรรมว่า สังคมไทยจะอยู่ได้ ถ้าท่านใช้ความกล้าหาญที่จะผดุงความยุติธรรม

“มันมีข่าวว่า คนที่ตกเป็นเป้าคนหนึ่งกำลังวิ่งเต้นเพื่อล้มคดีให้ได้ เรื่องนี้ผมยังไม่เชื่อ แต่มันมีข่าวแล้ว คะแนนออกมา 8 ต่อ 1 ว่าไม่ผิด จึงอยากเรียนให้ท่านทราบไว้ ผมเป็นห่วงสถาบันตุลาการ จึงเอาเรื่องนี้มาพูด”

นายสนธิได้กล่าวถึงการจัดงานของพันธมิตรฯ ในวันที่ 7 ตุลาคมที่จะถึงนี้ว่าจะมีการทำบุญและจัดงานรำลึกถึงผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งตนได้เสนอให้ต้องเป็นงานใหญ่ที่สดที่พันธมิตรเคยจัด เพราะไม่มีอะไรที่จะใหญ่กว่าการรำลึกถึงคนที่เสียสละชีวิตและต้องพิการเพื่อชาติบ้านเมืองอีกแล้ว หลังจากนั้นวันที่ 8 ตุลาคมจะมีการประชุมสมาชิกพรรคการเมืองใหม่เพื่อเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคและหัวหน้าพรรค

ขณะที่ นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า วันนี้เราได้เห็นแล้วว่าการต่อสู้อย่างยาวนานกว่า 193 วันของพันธมิตรฯ ไม่ได้สูญเปล่า เพราะวันนี้กระบวนการยุติธรรมได้เริ่มทำงาน ซึ่งเรายังขอย้ำว่าจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและยุติธรรมต่อไป เพื่อให้ความถูกต้องและความเป็นธรรมกลับคืนมา ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ในแผ่นดินไทย จึงอยากบอกคนที่อยู่ตรงข้ามกับความถูกต้องให้คิดถึงสิ่งที่ถูกต้อง รวมทั้งการเมืองแบบเก่าต้องได้รับการแก้ไข ทั้งนี้ ยังมีสิ่งที่จะเรียกร้องไปยังนายอภิสิทธิ์ ให้เร่งแก้ไข คือ 1.นายกฯ ต้องปลดข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความไม่ถูกต้องทั้งหมด เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมสามารถเดินไปได้ 2. กรณีเขาพระวิหาร บริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่พบว่าขณะนี้ประเทศไทยได้ถูกรุกล้ำนั้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องทบทวนว่าครั้งหนึ่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เคยทำให้ประเทศไทยเสียปราสาทพระวิหารไปในเวทีศาลโลก และในวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็กำลังจะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั่น โดยการปล่อยให้ชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างชุมชนในพื้นที่ประเทศไทย เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ผู้นำประเทศอย่างนายอภิสิทธิ์ต้องเร่งแก้ไข เพื่อสร้างภาวะผู้นำกลับคืนมา

นายพิภพกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เจตนารมณ์ของการร่างรัฐธรรมนูญ 50 นั้น เพื่อต้องการตรวจสอบนักการเมืองที่คอร์รัปชั่น ซึ่งการแก้ไข 6 ประเด็น นายกฯ ต้องชัดเจนว่าจะไม่แก้ไข โดยการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้พันธมิตรฯ ยืนยันว่าจะต่อสู้ เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นหลังจากนี้เราจะต่อสู้เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะดำเนินการเป็นลำดับในการเข้าชื่อเพื่อคัดค้าน โดยในวันที่ 7 ตุลาคม จะเดินทางไปยื่นเรื่องต่อประธานสภา ซึ่งเรายืนยันจะยืนหยัดที่จะต่อสู้ เพราะไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงนี้

ด้าน นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า การยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญของนักการเมืองในช่วงนี้ชัดเจนว่าเป็นการแก้เพื่อตัวเอง เราจึงขอเตือน ส.ส.-ส.ว.ว่าเราจะรวมชื่อ 2 หมื่นชื่อเพื่อคัดค้านการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงอยากเรียกร้องขอให้ศิษย์เก่าราชดำเนินตั้งแต่ปี 48-51 มารวมตัวกันเพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองของนักการเมือง

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า พันธมิตรยืนยันว่าในเวลานี้ประเทศไทยถูกลุกล้ำอธิปไตยในพื้นที่บริเวณวัดแก้วสิขคีรีศวรที่ปล่อยให้มีประชาชนชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างชุมชนที่ทำกิน ซึ่งก็ยังไม่เห็นความชัดเจนในเรื่องนี้ออกมาจากรัฐบาล จึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการจัดการ รวมทั้งขอให้ผลักดันคนกัมพูชาออกไปโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม แม้การแถลงข่าวของนายกษิตที่ยืนยันว่าไทยไม่ได้เสียอธิปไตย ทั้งต้องการสร้างความสมานฉันท์ของสองประเทศนั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะเราจะปล่อยปละละเลยให้ชาวกัมพูชารุกล้ำพื้นที่ไม่ได้

รายละเอียดคำแถลง

สนธิ ลิ้มทองกุล

เราได้มีการประชุมแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อกรณี 3 กรณี กรณีแรกคือเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จุดยืนของเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง เราจะต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกวิถีทาง โดยที่เราจะเริ่มด้วยการที่เราจะเข้าชื่อก่อนเป็นขั้นตอนแรก เราจะสู้ในระบบก่อน ผมคิดว่าเราจะเข้าชื่อกัน 20,000 ชื่อ ผมเชื่อว่าภายในวันที่ 7 ตุลาฯ ที่เรามาประชุมรำลึกกัน เราจะเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ใน 7 ตุลาฯ เรามี 20,000 ชื่อได้แน่นอน และเราจะยื่นถอดถอนทันที

ประเดี๋ยวรายละเอียดผมจะให้แกนนำคนอื่นพูดต่อ แต่ผมอยากจะฝากข้อคิดไปยัง ส.ส.และ ส.ว. ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.พรรคใดก็ตาม หรือ ส.ว.ที่อยู่สังกัดใครก็ตาม มาถึงวันนี้ ผมอยากให้ทุกคนเชื่อว่าแผ่นดินไทยนั้นศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์มีจริง ผมไม่อยากจะอ้างตัวเองว่าได้พิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว แต่อยากจะพูดให้ฟัง

ดูผลของ ป.ป.ช.เมื่อวานนี้ จะอย่างไรก็ตาม ความศักดิ์สิทธิ์ได้ออกมาแล้ว ผมอยากจะเตือนสติ ส.ส.และ ส.ว.ทุกคน ว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องอนิจจังหมด วันนี้คุณเป็นรัฐบาล คุณเป็นนายกรัฐมนตรี คุณเป็นประธานสภาฯ แต่วันข้างหน้าเมื่อคุณถูกถอดถอนแล้ว และคุณจะต้องถูกโทษในฐานะที่ทำผิด วันนั้นคุณอาจจะไม่ได้เป็นอะไร ผมอยากจะเตือนสติเอาไว้นิดหนึ่ง การกระทำอะไรก็ตามที่กระทำเพื่อส่วนตัว เพื่อหวังผลของตัวเอง โดยที่ไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวมนั้น นอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว และจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ จะต้องถูกสาปแช่งด้วย

เรื่องที่ 2 เรื่องของเขาพระวิหาร เรื่องของเขาพระวิหารนั้นเมื่อคืนท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ท่านกษิต ภิรมย์ ได้ออกมาชี้แจงที่ช่อง 11 จุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งสู้เรื่องนี้กับพ่อแม่พี่น้องมาตั้งแต่ต้น แล้วก็จุดยืนของท่านรัฐมนตรีฯ กษิต ภิรมย์ สมัยที่ท่านยังเป็นทูตกษิต ขึ้นเวทีกับเรา ก็เป็นจุดยืนเดียวกันในวันนั้น เวลานั้น แต่เมื่อวานนี้ที่ท่านพูดนั้น ท่านไม่ได้ลบข้อสงสัยเราออก กลับเพิ่มข้อสงสัยให้เรามากขึ้น ประเด็นหลักๆ ก็คือว่า ท่านพูดบอกว่า เรายังไม่ได้เสียดินแดนอะไรในแง่กฎหมาย เพราะว่ายึดแผนที่กันคนละแผ่น ท่านบอกว่าเน้นเรื่องการเจรจา โดยนิตินัยนั้นท่านพูดไม่ผิด แต่โดยพฤตินัยแล้ว แผ่นดิน 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของเขมรไปเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ยอมรับ ท่านบอกเรายังเจรจากันอยู่ และเจรจากันต่อไป ผมก็อยากจะใคร่กราบฝากไปอีก ว่าอีก 10-20 ปีข้างหน้า ท่านทูตกษิต หรือท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกษิต ก็อาจจะตายไปแล้ว หรือผมก็อาจจะตายไปแล้ว วันนั้นดวงวิญญาณท่านอยู่ที่ไหนผมก็ไม่รู้ ดวงวิญญาณผมอยู่ที่ไหน ผมก็ไม่รู้ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทวงบอกว่าแผ่นดินที่เขมรยึดครองมาหลังจากที่เราตายไปแล้วเป็นสิบๆ ปีนั้น เขาก็ยังยึดครองอยู่ และไทยกับเขมรก็ยังเจรจากันอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วตรงนี้ท่านไม่ได้ชี้แจง และท่านไม่สามารถให้คำตอบคนไทยได้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยืนยันอยู่ตลอดเวลาว่า ต้องผลักดัน นอกจากกองกำลังทหารของเขมรให้ออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรแล้ว ยังต้องผลักดันชุมชนทั้งหมดให้ออกไปให้หมดจากพื้นที่ของเรา

เมื่อผลักดันไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อนั้นถึงจะถึงเวลานั่งโต๊ะเจรจากัน ไม่ใช่เจรจาไป แล้วให้เขายึดครองไป เจรจาไป ให้เขาเพิ่มคนเข้ามาไป ไม่ใช่ นี่คือจุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยให้ความชัดเจนเรื่องนี้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยเลยแม้แต่นิดเดียว ผมก็อยากจะฝากเตือนพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่สมัย ส.ป.ก. 4-01 ที่ยกแผ่นดินให้กับคนรวย ปรส.ที่ยกทรัพย์สินของพ่อแม่พี่น้องเอาไปให้ฝรั่งมาขายคืนพ่อแม่พี่น้อง แล้วมาถึงครั้งนี้ก็ประชาธิปัตย์อีก อะไรที่เกี่ยวกับแผ่นดิน ทรัพย์สิน ประชาธิปัตย์จะชำนาญในการสูญเสียมันไป

ส่วนเรื่อง ป.ป.ช.นั้น ผมคิดว่าผลที่ออกมาถึงแม้ว่าจะไม่เป็นที่พอใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่ายังมีคนระดับอีกหลายคนซึ่งยังไม่โดน แต่ผมคิดว่าต้องเป็นหน้าที่ของกลุ่มทนายพันธมิตรฯ ที่จะต้องดำเนินคดีทั้งแพ่ง และอาญากับคนที่เกี่ยวข้อง ผมเป็นเพียงแต่อยากจะดูความกล้าหาญ ผมเน้นนะครับ ความกล้าหาญของท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ โดยหลักการแล้ว คุณพัชรวาทจะไม่มีสิทธิ์ที่จะทำงานเลยแม้แต่นิดเดียว ทำอะไรไปก็ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย

ผมอยากจะถามรัฐบาลว่าจริงหรือไม่ ว่าคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยไปตกลงกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สมัยที่เริ่มตั้งรัฐบาล โดยใช้ทหารมาบีบพรรคร่วมรัฐบาล ว่าหนึ่งเงื่อนไขของการเข้ามาช่วยคือการให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นั้นได้อยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร.จนเกษียณ ผมอยากจะดูว่า ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ จะตัดสินใจเพื่อประเทศชาติ หรือจะตัดสินใจเพื่อจะดำรงตำแหน่งอยู่ในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นแล้วนี่ก็เป็นจุดยืนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ของดูความกล้าหาญ

ส่วนเรื่องของคนอีกมากหลายที่จะโดนฟ้องทั้งคดีแพ่ง และคดีอาญานั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยืนยันว่า เราจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด เพราะฉะนั้นแล้วตำรวจที่หลุดไปอย่าเพิ่งดีใจ จะบอกให้ทราบ อย่างน้อยที่สุดเมื่อวานนี้ พิสูจน์ชัดว่า ความยุติธรรม แม้จะล่าช้า

ผมเป็นห่วงข่าวในวันที่ 21 เป็นห่วง ไม่ทราบว่า มีข้อเท็จจริงอย่างไรก็ตาม แต่เป็นห่วงว่า มีการวิ่งเต้น ซื้อคำพิพากษากัน คดีกล้ายาง ผมอยากฝากไปยังท่านตุลาการที่ทรงศีล และทรงความยุติธรรม ว่า สังคมไทยจะอยู่ได้ หากท่านใช้ความกล้าหาญและไม่หลงแก่ลาภยศใดๆ มีคนบางคนซึ่งเป็นเป้าเด็ดในสังคมว่า จะโดนหรือไม่โดน มีข่าวออกมาว่า กำลังวิ่งเต้นจะซื้อเสียงของตุลาการ ซึ่งชั้นนี้ ผมยังไม่เชื่อ แต่ผมอยากฝากบอกท่านตุลาการว่า มีข่าวเช่นนี้ออกมาแล้ว และคะแนนที่ออกมาคือ 8 ต่อ 1 คือ ไม่ผิด

เพราะฉะนั้น ผมอยากจะเรียนให้ท่านตุลาการทราบว่า มีข่าวเช่นนี้ในวงลับออกมา ผมเป็นห่วงสถาบันตุลาการ ผมถึงจำเป็นที่จะต้องพูดในการแถลงข่าววันนี้ ผมมีเพียงแค่นี้ครับ

เรื่อง 7 ตุลาฯ นั้น แนวความคิด 2 แนวความคิด แนวความคิดหนึ่งคือว่า เราทำบุญอย่างเงียบๆ สำหรับผมแล้ว ผมอยากจะให้เป็นการรวมพลของคน เพื่อรำลึกถึงวันซึ่งวีรชนได้สิ้นชีวิตนะครับ ผมอยากให้พวกเราทุกคน ผมเสนอในที่ประชุมว่า งาน 7 ตุลาฯ นั้นต้องเป็นงานใหญ่ และอาจจะใหญ่มี่สุด ที่พันธมิตรฯ เคยจัดมาด้วยซ้ำ เพราะว่าไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าการแสดงความระลึกถึงบุคคลซึ่งเสียชีวิตไป เพื่อชาติบ้านเมือง และบุคคลซึ่งจำเป็นต้องพิการ เพราะชาติบ้านเมืองเหมือนกัน ไม่มีอะไรที่ใหญ่ไปกว่านั้นอีกแล้ว แล้วจะทำใหญ่แค่ไหนก็ตาม จะไม่เพียงพอกับความยิ่งใหญ่ของชีวิตพวกเขา เพราะฉะนั้นแล้ว ผมจะขอแจ้งให้ทราบว่า ทางพวกเราได้มีมติว่า วันที่ 7 ตุลาฯ จะเป็นวันจัดงานที่ใหญ่ ใหญ่มากๆ นะครับ แล้ววันที่ 8 จะเป็นวันประชุมสมาชิกพรรคทั้งหมด ในการเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคนะครับ

พิภพ ธงไชย

สวัสดีครับพี่น้องพันธมิตรฯ ผู้สื่อข่าว และประชาชนที่รับฟังการถ่ายทอด ผมขอย้ำในเรื่อง สิ่งที่เราต่อสู้มา เป็นการเกริ่นนำว่าพันธมิตรฯ สู้เพื่อความถูกต้องและคุณธรรม แล้วเมื่อกระบวนการยุติธรรมเริ่มทำงาน ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราสู้เพื่อความถูกต้องและคุณธรรม มันก่อให้เกิดความเป็นธรรมของแผ่นดิน และความถูกต้องของแผ่นดินกลับคืนมา ความถูกต้องและความเป็นธรรมนี้ ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดิน เพราะฉะนั้นต้องขอเตือนรัฐบาลและนักการเมืองว่า รวมทั้งข้าราชการประจำที่ยังอยู่ตรงข้ามกับประชาชน และทำความไม่ถูกต้องอยู่ ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากความถูกต้องและคุณธรรมนั้นมีจริง เพราะฉะนั้นในเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดจากความผิดพลาดของระบบการเมืองเก่า จะต้องแก้ไข และคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่จะแสดงภาวะความเป็นผู้นำ 2-3 เรื่องด้วยกัน เรื่องที่ 1 เมื่อกระบวนการยุติธรรมเริ่มทำงาน คุณอภิสิทธิ์ในฐานะเป็นผู้บริหาร จะต้องตัดสินใจปลดข้าราชการประจำและนักการเมืองออกจากหน้าที่การงานทันที อย่างนี้จึงจะแสดงความเป็นภาวะผู้นำ และกระทำตามกฎหมายของบ้านเมือง ที่มีกระบวนการยุติธรรมรับรองในเบื้องต้นแล้ว

อันที่ 2 เรื่องกรณีปราสาทพระวิหาร และกรณีเขาพระวิหาร โดยเฉพาะที่ดิน 4.6 ตารางกิโลเมตร พรรคประชาธิปัตย์ต้องทบทวนในอดีต ว่าในอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต เคยมีส่วนทำให้เราเสียปราสาทพระวิหารไป ในกรณีศาลโลก มาวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์มาบริหารราชการแผ่นดินต่อจากพรรคที่เป็นนอมินีของไทยรักไทย และก่อให้เกิดความสงสัยว่า 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น เราได้เสียพื้นที่ไปโดยพฤตินัยแล้ว เพราะฉะนั้นถึงจะอ้างว่าโดยนิตินัยยังไม่เสีย คุณอภิสิทธิ์ต้องแสดงความเป็นภาวะผู้นำ ใช้ทุกวิถีทางที่จะให้คนเขมรออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร จึงจะเจรจากับเขมร ไม่ใช่เจรจาไปแล้วยังให้โครงสร้าง แล้วสร้างชุมชนในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ถ้าอย่างนี้บอกว่า ไม่เสียดินแดนโดยพฤตินัยแล้วจะบอกว่าอย่างไร อันนี้คือการแสดงความเป็นภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี

ต่อไปเป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ เรื่องรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีต้องพูดให้ชัด ว่าในขณะที่ประเทศไทยมีภาวะในเรื่องเศรษฐกิจ และเรื่องการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ตั้งมั่นในแผ่นดินนี้ได้ และเพื่อการสร้างการเมืองใหม่และขจัดการเมืองเก่า และนักการเมืองเก่า รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่ต้องการตรวจสอบพฤติกรรมของนักการเมือง ในการทุจริตคอร์รัปชั่น ในการบริหารราชการแผ่นดิน ในการทำประโยชน์เพื่อตัวเอง เพราะฉะนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น นายกรัฐมนตรีต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า จะไม่แก้ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอยืนยันว่า สิ่งที่เราต่อสู้มาตั้งแต่วันที่ 7 ตุลา สิ่งที่เราต่อสู้มาใน 193 วันนั้น ทั้งหมดเพื่อให้ไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นประโยชน์กับนักการเมือง

เพราะฉะนั้น ยืนยันที่จะต่อสู้ต่อไป ตามกระบวนการเป็นลำดับ เริ่มตั้งแต่การเข้าชื่อ ในการถอดถอน ส.ว.และ ส.ส. ที่เข้าชื่อกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจะถือฤกษ์ดี มีชัย วันที่ 7 ตุลา เราจะนำ 20,000 กว่าชื่อ ไปยื่นต่อประธานวุฒิสภา เพื่อชี้ให้เห็นว่า ดวงวิญญาณของวีรชนผู้เสียสละร่างกายจะยอมไม่ได้ ที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นประโยชน์นักการเมืองเก่า อันนี้ชัดเจนว่า พันธมิตรฯมีจุดยืนเรื่องนี้ และการต่อสู้ในการที่จะพยายามมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เราจะยืนหยัดต่อสู้ไม่มีที่สิ้นสุด

อันที่ 2 ความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆ ทั้งสิ้น ปัญหาขณะนี้เกิดจากปัญหานักการเมืองเก่า และข้าราชการประจำที่เอาแต่ฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ใช้อำนาจบาดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาฯ มาเพราะฉะนั้น คุณอภิสิทธิ์จะต้องแก้ไขที่ปัญหานักการเมือง ไม่ใช่ไปสนับสนุนให้นักการเมืองมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อตัวเอง ครับนี่เป็นจุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

สมศักดิ์ โกศัยสุข

ครับ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเราสู้กันมาแล้วครับคือ เราทำกฎหมายให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เช่น เราต่อต้านระบบทักษิณ และใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ฉะนั้นการแก้รัฐธรรมนูญขณะนี้ มันผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 122 ชัดเจน ซึ่งบัญญัติไว้ว่า ผมจะอ่านให้ฟัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ย่อมเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ชัดเจนว่าทั้งหลายทั้งปวงที่มาแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ก็เพื่อตัวเอง แล้วก็ผิดรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ขอเตือน ส.ส. , ส.ว. เอาไว้ และเราจะใช้สิทธิ์ของเราในการที่จะช่วยกันลงนาม 20,000 ชื่อวันที่ 7 ซึ่งเราจะจัดกิจกรรมรำลึกถึงวีรชน ที่เขาบริสุทธิ์ เขาอยากจะเห็นสิ่งใหม่ๆ อยากเห็นการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่อยากเห็นนักการเมืองเก่าๆที่ทำอะไรเพื่อตนเอง ฉะนั้นวันที่ 7 ก็อยากจะขอเชิญชวนพันธมิตรฯ ศิษย์เก่าราชดำเนิน ตั้งแต่ปี 48 , 49 จนกระทั่งวันสุดท้าย 3 ธันวาคม 2551 ก็มาร่วมชุมนุมกันได้อย่างเต็มที่ และวันนั้นเราจะนำรายชื่อไปยื่นให้ชัดเจน เมื่อเขาทำไม่ถูกต้องเราก็มีสิทธิ์จะถอดถอนพวก ส.ส.,ส.ว.พวกนี้ให้พ้นไปจากตำแหน่ง เพราะได้กระทำการเพื่อประโยชน์ของตนเอง ไม่ใช่ประโยชน์ของประชาชนแต่อย่างใด

ดังนั้น เรื่องเขาพระวิหารก็เหมือนกัน ที่คุณกษิต เพื่อนเราทั้งหลาย ที่เคารพทั้งหลาย ตอนนี้ ฯพณฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปแล้ว อย่ามาพูดเรื่องนิตินัย พฤตินัย ผมฟังไม่ได้ เพราะว่ามันอาณาเขตระหว่างประเทศนั้น ถ้าใคร ประเทศใดรุกล้ำ ถือว่าเราไม่ได้ปกป้องอธิปไตยอาณาเขตบูรณภาพแห่งอาณาเขตของประเทศตามรัฐธรรมนูญเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องดูแล ที่ต้องปกป้องไม่ให้ใครรุกล้ำเข้ามาแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็ต้องไม่ใช่บอกว่ายังไม่เสียอะไร

เรื่อง ป.ป.ช. เมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว ผมฟังคุณกล้านรงค์ ออกมาบอกว่าจะส่งภายใน 14 วัน ผมคิดว่าทำไมต้อง 14 วัน น่าจะส่งภายใน 5 วัน หรือสัปดาห์นี้ได้แล้ว และเมื่อคุณอภิสิทธิ์รับไป ก็ต้องดำเนินการทันที ถ้าคุณอภิสิทธิ์ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ไม่มีใครแล้ว ไม่ดำเนินการ คุณก็จะถูกความผิดตามมาตรา 93 แห่ง ป.ป.ช. คุณก็จะได้รับ 157 ไปเองได้ ฉะนั้น ผมไม่ได้คิดว่าเป็นความกล้าหาญอะไร ถึงแม้จะกล้าทำตรงนี้ เพราะถ้าเป็นความกล้าหาญต้องปลดไปก่อนที่ ป.ป.ช.จะชี้มูลแล้ว ดังนั้นก็อยากให้พี่น้องพันธมิตรฯ ทุกท่านได้ตระหนักว่า สิ่งที่เราทำมาถูกพิสูจน์ด้วยกระบวนการยุติธรรมครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเราเดินทางมาถูกต้อง เราปกป้องกระบวนการยุติธรรม และรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติไว้โดยตลอด

และในวันที่ 8 เมื่อมีกิจกรรมวันที่ 7 แล้ว วันที่ 8 ก็จะมีการประชุมใหญ่ครั้งแรกของพรรคการเมืองใหม่ คนที่เป็นสมาชิกพรรค กกต.รับรองเรียบร้อยแล้วก็ขอเชิญมาโดยพร้อมเพรียงกันนะครับ เพราะว่ามาครั้งเดียวแล้วจะได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายไปในทีเดียวกัน ผมก็อยากจะฝากบอกพี่น้องประชาชนไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เรื่องปราสาทพระวิหารเมื่อวานนี้หลังจากที่คุณกษิตได้แถลงข่าวและให้สัมภาษณ์นั้น ก็เป็นที่น่าผิดหวังต่อประชาชนที่ร่วมชุมนุมการต่อสู้เมื่อปีที่แล้ว ตลอด 193 วัน เหตุการณ์นี้เคยมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม เมื่อภริยานายกรัฐมนตรีฮุน เซน แห่งกัมพูชา และคณะ ได้เดินทางบุกรุกเข้ามาในพื้นที่บริเวณวัดแก้วสิกขคีรีศวร ซึ่งปัจจุบันก็เป็นพื้นที่ที่ถูกรุกล้ำอยู่ เพื่อทำพิธีทางศาสนาในเวลาตอนนั้น วันเดียวกันพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 18/2551 ในการยืนหยัด เรื่องของการมีจุดยืนถึง 3 ประการ คือ 1 ยืนหยัดว่า วัดแก้วสิขาคีรีสะวารา และพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นของคนไทย และประณามภริยาของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ที่กระทำการดังกล่าว

ประการที่ 2 เราเรียกร้องให้รัฐบาลชุดนั้น ดำเนินการประท้วงต่อรัฐบาลกัมพูชา ที่รุกล้ำอธิปไตยของไทย และประการที่ 3 เราเรียกร้องให้กองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ดำเนินการผลักดันชาวกัมพูชา ผู้บุกรุกอธิปไตยแห่งราชอาณาจักรไทยออกจากเขตแดนของประเทศไทยโดยเร็ว

แสดงว่า จุดยืนดังกล่าว เป็นจุดยืนที่ไม่ใช่เพิ่งเริ่มต้นในวันนี้ แต่เราเคยแถลงการณ์ออกมาแล้ว ในวันที่ 1 สิงหาคม 2551 ซึ่งเวลานั้น คุณกษิต ภิรมย์ ก็อยู่ในกระบวนการเดียวกันกับพันธมิตรฯ และเรียกร้องในสิ่งเดียวกัน คือ ให้มีการประท้วงทันที แต่สิ่งที่พูดเมื่อวานนี้ เท่ากับว่า คุณกษิต กำลังหลงลืมว่า การรุกล้ำอธิปไตย ที่เราเคยประท้วงและประณามฝ่ายกัมพูชานั้น ผิด แปลก แตกต่าง จากที่คุณกษิตแถลงข่าวเมื่อวานนี้

คุณกษิต ภิรมย์ อ้างหลายครั้งว่า นโยบายการสมานฉันท์ และสันติวิธีเป็นเรื่องของผู้นำทั้ง 2 ประเทศ นั่นหมายถึง ผู้ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ต้องเป็น คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องแสดงภาวะความกล้าหาญของตัวเอง ในการปกป้องอธิปไตย การที่คุณกษิต ภิรมย์ ยังยืนยันเช่นเคยว่า จะใช้กรอบการเจรจาที่จะขออนุมัติจากรัฐสภา เพื่อไปตกลงเจรจากับฝ่ายกัมพูชา เท่ากับว่า ยอมรับข้อตกลงที่จะถอนทหารทั้ง 2 ฝ่าย ออกจากพื้นที่ฝั่งไทย แต่ยังคงให้ชาวกัมพูชาอยู่ที่นั่นต่อไปเรื่อยๆ ยังคงให้มีสิ่งปลูกสร้างอยู่ ยังให้มีทหารที่เป็นชาวกัมพูชาอยู่ที่นั่น เท่ากับว่า เราถูกรุกล้ำอธิปไตยอย่างไม่มีกำหนด

โดยเฉพาะตอนท้าย คุณกษิต บอกว่า การเจรจาอาจจะยังยาวนาน และยกตัวอย่างที่สิงคโปร์ ที่อาจยาวนานกว่า 30 ปี เท่ากับว่า ไม่มีทิศทาง ที่จะทวงคืนอธิปไตยกลับคืนมา เมื่อถึงเวลานี้ ต้องยอมรับว่า การถูกรุกล้ำอธิปไตยได้เกิดขึ้นแล้ว และยังไม่มีท่าทีชัดเจนจากรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งต้องรับผิดชอบโดยตรงกับการถูกรุกล้ำอธิปไตยครั้งนี้ เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น