xs
xsm
sm
md
lg

ความมั่งคั่งของไทยให้ใครใช้?

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

คำพังเพยที่มีลักษณะประชดประชันบทหนึ่งที่ว่า “เศรษฐีก็คือยาจกถ้าหากไม่รู้จักใช้เงิน” และ “ยาจกก็คือเศรษฐีถ้าหากมีปัญญาที่จะใช้เงิน” โดยคำพังเพยนี้ความเป็นเศรษฐีหรือความเป็นยาจกจึงไม่ได้อยู่ที่การมีเงิน แต่อยู่ที่อำนาจและความสามารถในการใช้เงินต่างหาก

บางคนรวยล้นฟ้าแต่ไม่มีปัญญาใช้เงิน หรือไม่รู้จักใช้เงิน จะกิน จะอยู่ ก็ล้วนลำบากยากเข็ญไปทั้งสิ้น จนบางครั้งถูกประชดว่าเป็นเศรษฐีแต่ไม่มีไม้ขีดไฟ

บางคนยากจนไม่มีทรัพย์สมบัติพัสถาน แต่มีชีวิตความเป็นอยู่หรูเลิศ ที่เป็นอย่างนั้นได้ก็เพราะรู้จักใช้และมีปัญญาที่จะหาเงินมาใช้ และใช้เงินไปราวกับว่าเป็นเศรษฐีโดยมีกองหนี้เป็นพะเนินอยู่เบื้องหลัง

ดังนั้นการดำเนินชีวิตตามวิถีทางสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อน โดยมีเหตุมีผลโดยพอประมาณ จึงเป็นการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตรงแท้ อันจะนำความสุขให้บังเกิดขึ้นแก่ตนและแก่ท่าน

ความจริงประเทศไทยของเราไม่ได้ยากจน เพราะมีทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ มีความมั่งคั่งมาตั้งแต่บรรพกาล จนได้ชื่อว่าเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ ที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยของที่มีคุณค่าควรทองทั้งสิ้น

แผ่นดินไทยนี้หลายประเทศเขาเรียกว่าแผ่นดินทอง หรือ Golden Land เรียกกันมาอย่างนี้ช้านานแล้ว เรามีภูเขาทอง เรามีหลายท้องที่หลายท้องถิ่นที่มีทรัพยากรเป็นทองคำแท้ และหลายท้องที่ก็มีทรัพยากรที่มีมูลค่ามหาศาลยิ่งกว่าทองคำเสียอีก

เรามีทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์และล้นค่ามหาศาล ไม่ว่าก๊าซ น้ำมัน ทองคำ หรือทรัพยากรสินแร่มีค่าอื่นๆ แต่ไม่เคยทำให้เกิดประโยชน์หรือเป็นสิทธิหรือบังเกิดเป็นรายได้แก่ประเทศชาติและประชาชน เพราะเอาไปให้สัมปทานให้ต่างชาติหรือนักธุรกิจการเมืองเอาไปเป็นสิทธิ โดยจ่ายค่าสัมปทานเพียงไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้น

หากเอาก๊าซ เอาน้ำมันและทรัพยากรทั้งหลายที่เป็นของชาติมาเป็นของชาติและประชาชน ในวันนี้ประเทศไทยของเราไม่ต้องเก็บภาษีเอากับผู้ใดก็ยังมั่งคั่งร่ำรวยมหาศาล

ในอวกาศเราก็มีสิทธิในวงโคจรของดาวเทียม ในอากาศก็มีคลื่นต่างๆ มากมาย แต่เราไม่ได้ใช้ความมั่งคั่งนั้นให้บังเกิดประโยชน์แก่ชาติ กลับไปบรรณาการให้สัมปทานแก่นักธุรกิจแล้วเอาไปขายให้กับต่างชาติ จนคนไทยกลายเป็นทาสการสื่อสารและเป็นทาสสื่อไปสิ้นทั้งแผ่นดิน

ประเทศไทยและคนไทยมีเงินฝากกว่า 10 ล้านล้านบาท มากกว่าผลผลิตมวลรวมทั้งประเทศเกือบเท่าตัว หรือมีมูลค่ากว่า 5 เท่าของงบประมาณแผ่นดินในแต่ละปี ในขณะที่หลายชาติเขาเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว

ไม่ยกเว้นแม้แต่สหรัฐอเมริกา ที่หลายคนหลงใหลได้ปลื้มว่าเป็นต้นแบบของการพัฒนาหรือการปกครองหรือในการครองชีวิต แต่แท้จริงแล้วก็คือลูกหนี้ตัวเอ้ของโลก เป็นแบบอย่างความเหลวไหลเลอะเทอะที่สุดของสังคมมนุษย์ในยุคนี้

มายาภาพของระบบทุนทำให้สหรัฐอเมริกาซึ่งยากจนจนมีหนี้สินล้นพ้นตัวกลายเป็นชาติมหาอำนาจ และมีอำนาจทางเศรษฐกิจที่จะชี้นิ้วบงการใครที่ไหนก็ได้

ในขณะที่ประเทศไทยและคนไทยมีความมั่งคั่งสมบูรณ์ กลับกลายเป็นประเทศที่ถูกเขาบ่งชี้กดหัวลงเป็นทาส และปล้นสะดมเอาความมั่งคั่งของประเทศชาติไปใช้อย่างมันมือ

ประชาชนไทยทั้งประเทศมีเงินฝากรวมกันนอนนิ่งอยู่ในระบบสถาบันการเงินร่วม 10 ล้านล้านบาท แต่บรรดาผู้ฝากเงินทั้งประเทศกลับต้องเดือดร้อนทุกข์เข็ญ เพราะถูกผู้รับฝากเงินกดขี่ข่มเหงเอาตามอำเภอใจ ถึงขั้นให้ดอกเบี้ยต่ำกว่า 1% ต่อปีไปแล้ว

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติเราที่ผู้มีเงินฝากต้องได้รับความเดือดร้อนถึงปานนี้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยถูกกดขี่ข่มเหงให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำต้อยถอยหลังถึงเพียงนี้เลย แม้ในกฎหมายแพ่งก็ยังบัญญัติเป็นบรรทัดฐานเอาไว้ว่า ถ้าไม่ตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยกันไว้ และมีการผิดนัดผิดสัญญา ก็ให้คิดค่าดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

คนฝากเงินทั้งประเทศพากันเดือดร้อน แต่ในขณะเดียวกันคนกู้เงินทั้งประเทศก็เดือดร้อนหนักกว่า เพราะถูกคิดเอาดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าชาติไหนในโลก มิหนำซ้ำยังข่มเหงน้ำใจไม่ยอมปล่อยกู้ หรือปล่อยกู้เอาตามอำเภอใจ ตามแรงสินบาทแรงสินบนที่บรรณาการให้ ซึ่งว่ากันว่าในวันนี้มีการชักเปอร์เซ็นต์กันถึง 30% กันแล้ว

หมายความว่าใครกู้เงินในระบบที่ว่านี้ก็เป็นอันไม่ต้องใช้หนี้ ปล่อยให้ชาติบ้านเมืองต้องเอาเงินภาษีประชาชนไปใช้แทนด้วยมาตรการอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนของเหล่าเทคโนแครตทางการเงิน

กลายเป็นว่าความมั่งคั่งของประชาชนชาวไทยที่สั่งสมกันมา กลับไม่มีใครได้ประโยชน์ รัฐบาลก็ไม่กู้เงินจากประชาชนเอาไปใช้ ภาคธุรกิจหรือประชาชนจะกู้เงินมาใช้เองเขาก็ไม่ให้ และเมื่อเงินมีต้นทุนนอนนิ่งๆ อยู่ถึงกว่า 10 ล้านล้านบาทเช่นนี้ จึงเป็นที่มาของการกดหัวข่มเหงในการให้ดอกเบี้ยอันสุดต่ำแค่ไม่ถึง 1%

รัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินมาใช้จ่ายอยู่เสมอ แทนที่จะนำเอาความมั่งคั่งของชาติมาพัฒนาชาติบ้านเมือง โดยออกพันธบัตรกู้ยืมเงินจากประชาชนโดยตรงในอัตราดอกเบี้ยที่สูงสักหน่อย กลับเกรงว่าสถาบันการเงินจะขาดทุนเพราะจะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งหากเพิ่มเพียง 1% เท่านั้น บรรดาผู้ฝากเงินก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 100,000 ล้านบาทต่อปี

จึงได้ใช้วิธีกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินแทน ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมไม่ให้มีการปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่า หรือไม่เมื่อเกรงข้อครหาก็ไปทำสัญญากู้เงินมาจากต่างประเทศไปเสียเลย ซึ่งต้องเสียทั้งค่าธรรมเนียมเงินกู้และดอกเบี้ยที่สูงกว่า มิหนำซ้ำยังต้องยอมทำตามเงื่อนไขที่เจ้าหนี้กำหนด ทำราวกับว่าประเทศไทยเป็นขี้ข้าของต่างชาติฉะนั้น

เป็นอันว่าเราไม่ได้ใช้ความมั่งคั่งของชาติมาพัฒนาประเทศของเรา ปล่อยให้ผู้ฝากเงินต้องเดือดร้อนและเสียหาย ในขณะเดียวกันกลับบากหน้าไปกู้เงินคนอื่นมาใช้โดยมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า และยอมรับเงื่อนไขในลักษณะยอมตนลงเป็นทาสอีกด้วย

เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นในชาติไหนในโลกนี้ บังเกิดมีขึ้นก็เฉพาะแต่ประเทศไทย ภายใต้นักการเมืองผู้ชาญฉลาดในการทำนุบำรุงประเทศชาติที่ดีแต่การฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดินเท่านั้น

เมื่อประชาชนผู้ฝากเงินถูกกดขี่ข่มเหงมากเข้า และมีความเดือดร้อนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำต้อยเช่นนั้นก็พากันสุ่มเสี่ยงลงทุนในประเภทต่างๆ จนเป็นเหตุให้ถูกต้มตุ๋นฉ้อฉลจนเดือดร้อนกันเป็นอันมาก นี่ก็เป็นผลโดยตรงอย่างหนึ่งจากการดำเนินนโยบายของเทคโนแครตหมาจิ้งจอกทางการเงินของประเทศไทย

ในวันนี้มีการตั้งกองทุนมากหลายเพื่อระดมทุนจากบรรดาผู้ฝากเงินในประเทศเอาไปให้ต่างชาติใช้สอย โดยการไปลงทุนซื้อตราสารหนี้ในต่างประเทศ ซึ่งประหนึ่งว่ามีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า โดยหามีผู้ใดกล่าวเตือนถึงความเสี่ยงภัยในการลงทุนนั้นตามความเป็นจริงเลย ปล่อยให้พี่น้องร่วมชาติต้องเผชิญหน้าชะตากรรมที่เสี่ยงต่อทรัพย์สินของตนอย่างน่าเวทนายิ่ง

เงินฝากของคนไทย ทรัพย์สินของคนไทย แต่ไม่ได้คิดอ่านนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง กลับนำเอาไปให้ต่างชาติใช้สอย แล้วรัฐบาลก็ไปกู้เงินต่างชาติกลับมาพัฒนาประเทศจนเป็นเหตุให้ถูกกำหนดเงื่อนไขบังคับประเทศไทยให้กลายเป็นประหนึ่งข้าทาส จึงเป็นเรื่องน่าอนาถใจนัก

ในระยะนี้รัฐบาลมีโครงการกู้เงินมาใช้จ่ายถึง 800,000 ล้านบาท และได้เริ่มนำร่องไปบ้างแล้ว โดยการออกพันธบัตรกู้เงินจากประชาชนจำนวน 50,000 ล้านบาท และให้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.8% ต่อปี ทำให้บรรดาประชาชนผู้ฝากเงินค่อยมีประกายสายตาสุกใสขึ้นมาบ้าง แต่มันยังไม่พอ

ดังนั้นในวันนี้จึงขอสะกิดมายังคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาว่ามีทางที่จะกันวงเงินกู้ดังกล่าวสัก 200,000-300,000 ล้านบาท มาเป็นการกู้เงินในประเทศ โดยการออกพันธบัตรขายแก่ประชาชน และให้อัตราดอกเบี้ย 3.8-4% ต่อปี ก็น่าจะดีกว่าข้อแนะนำของเหล่าเทคโนแครตหมาจิ้งจอกทางการเงินไม่ใช่หรือ?

ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของคนไทยเพียงเท่านี้ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่บังเกิดอาณาประโยชน์มากมายหลายสถานนัก.
กำลังโหลดความคิดเห็น