เป้าหมายสูงสุดของอำนาจเก่าในปัจจุบันนี้มีสามประการคือ การกลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอน การได้รับนิรโทษกรรมและได้ทรัพย์สินที่ถูกยึดอายัดไว้ และการมีอำนาจปกครองบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง บรรดาการเคลื่อนไหวทั้งปวงในขณะนี้ ไม่ว่านอกและในประเทศ ล้วนเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดดังกล่าวทั้งสิ้น
วันเวลาที่คาดหมายว่าจะบรรลุความปรารถนาสามประการนั้น เคยถูกกำหนดมาแล้วหลายครั้ง
ครั้งล่าสุดก็คือห้วงเวลาที่เกิดจลาจลเลือดในเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ซึ่งมีการเตรียมการถึงขนาดกำหนดที่ทางยกพลขึ้นบก หรือจุดแรกเหยียบแดนประเทศไทยอย่างพร้อมพรั่ง ทั้งแผนงาน กำลังคน และกลวิธีเคลื่อนไหว
คงจะจำกันได้ว่ามีการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนทางโทรทัศน์ ถึงมวลชนที่เข้าร่วมว่า ทุกคนจะต้องไม่กลับบ้านด้วยมือเปล่า แต่จะมีอะไรติดมือไปบ้างก็ไม่รู้ และในที่สุดทุกคนก็กลับบ้านในอาการต่างๆ กัน
บ้างมีคดีติดมือ บ้างมีเลือดติดมือ บ้างก็มีลมติดมือ ในขณะที่หัวขบวนบางคนมีทรัพย์สินเงินทองติดมือจนมั่งคั่งร่ำรวยมหาศาล กระทั่งถูกกล่าวขานว่าเป็นขบวนการยิ่งสู้ยิ่งรวยไปแล้ว
หลังจากแผนการและเวลาที่กำหนดไว้ล้มเหลวลงแล้ว ก็ซบเซาเงียบเหงาเศร้าใจไปพักหนึ่ง แต่มาถึงระยะนี้ก็มีการกำหนดห้วงเวลาครั้งใหม่แล้ว แต่ยังดูสับสนอยู่มาก
เพราะบ้างก็ว่าในอีก 1 เดือน บ้างก็ว่าอีก 3 เดือน บ้างก็ว่าในเดือนตุลาคม ปีนี้ แต่ก็พออนุมานได้ว่ามีการประมาณการและกำหนดห้วงเวลาบรรลุถึงเป้าหมายทั้งสามประการในห้วงเวลาช่วงเดือนตุลาคม 2552 นี้ หรือก่อนหลังก็คงไม่มากนัก
คราวนี้มีความมั่นใจมากกว่าทุกครั้ง จึงเก็บอาการและความพลุ่งพล่านดีใจไว้ไม่ได้ หลายคนในวงศาคณาญาติและหลายคนในหมู่ผู้ใกล้ชิดถึงกับให้สัมภาษณ์หรือบอกกล่าวกับคนอื่นแม้สื่อมวลชนว่าการกลับมาครั้งนี้จะเป็นการกลับมาแบบไร้มลทินใดๆ ติดตัว และพร้อมอโหสิกรรมให้กับทุกคน รวมทั้งจะมาถวายงานรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย
จะเป็นจริงหรือจะเพ้อฝันหรือจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ก็ไม่มีใครรู้ได้ แต่การกล่าวในลักษณะที่ว่านั้นมันได้เผยนัยอันเป็นสัญญาณของความคิดและการกระทำบางอย่างให้ปรากฏ
ประดุจดั่งกิ่งไม้ใบหญ้าพลิ้วโยกไหวจากตะวันออกไปตะวันตก ย่อมแสดงว่ามีแรงลมพัดจากตะวันออกไปตะวันตก แม้ลมไร้สภาพและไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่ก็สามารถเห็นได้ด้วยอาการอย่างนั้น คำพูดเหล่านั้นก็ไม่ต่างอันใดกับกิ่งไม้ใบหญ้าพลิ้วโยกไหวนั่นเอง
มันบ่งสัญญาณว่ามีการคิด มีการวางแผน และมีการเตรียมการที่จะกระทำการบางสิ่งบางอย่างในลักษณะที่ทำให้อำนาจรัฐปัจจุบัน รวมทั้งการปกครองปัจจุบันล่มสลายลง แล้วมีการเข้าครองอำนาจรัฐเป็นรัฏฐาธิปัตย์ใหม่ขึ้นมา
มิฉะนั้นแล้วจะกลับมาโดยไร้มลทินทางคดีได้อย่างไร ไม่มีวิสัยทางอื่นที่จะเป็นไปได้ นอกจากทางนี้ทางเดียวเท่านั้น เพราะคดีที่มีอยู่นั้นไม่ได้มีแค่คดีที่ศาลฎีกาตัดสินถึงที่สุดให้จำคุก 2 ปีเท่านั้น ยังมีคดีเกี่ยวพันอยู่นับสิบเรื่อง และคดีเหล่านั้นไม่มีทางที่จะขาดอายุความหรือสิ้นสลายไปเองได้ นอกจากการใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ยกเลิกเพิกถอนเสีย
ดังนั้นจึงสามารถมองต่อไปได้อีกว่า เมื่อจะเข้ามาเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แล้วจะเข้ามาทางไหนได้บ้าง ก็เห็นอยู่แต่ 3 ทางคือโดยการเลือกตั้งทางหนึ่ง โดยการปฏิวัติรัฐประหารทางหนึ่ง และโดยการใช้พลังมวลชนเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกทางหนึ่ง
ซึ่งจะได้อำนาจโดยการเลือกตั้งนั้น ดูไปแล้วยังห่างไกลนักเพราะไม่มีทีท่าว่าจะมีการเลือกตั้งในปีนี้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงเวลาเดือนตุลาคม 2552
ส่วนการปฏิวัติรัฐประหารเล่า? แม้ไม่มีใครยืนยันได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น แต่การจะทำรัฐประหารเสียเองนั้นเห็นเกินวิสัยนัก เพราะแม้ครั้งยังครองอำนาจรัฐ มีกฤษดานุภาพมากก็ยังไม่สามารถควบคุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จ และต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้ไปก็ด้วยการรัฐประหาร มาบัดนี้มีฐานะเป็นแค่นักโทษหนีคดี พำนักพักกายอยู่ในแดนไกล จึงเหินห่างกว้างไกลออกไปจากวิสัยที่จะเกิดขึ้นได้ แม้จะเทียบกับเมื่อครั้งถืออำนาจรัฐเองก็ยังไม่ได้
ดังนั้นหนทางสายนี้จึงเหลือแต่ความหวังที่จะอาศัยยืมมือคนอื่นกระทำรัฐประหารให้ ซึ่งไม่ใช่วิสัยโลกที่จะเป็นไปได้อีก เพราะธรรมดาอำนาจนั้นมีบทเรียนมีมาในประวัติศาสตร์มากหลายว่าไม่เคยมีใครช่วงชิงยึดอำนาจมาแล้วเอาไปบรรณาการให้กับคนอื่น
ความจริงความหวังเช่นนี้ก็เป็นลมเป็นแล้งมาบ้างแล้ว มันเป็นความหวังแบบคนพี้กัญชาที่ได้แต่ครวญเพลงว่า “เฝ้าชะแง้เหลียวแลสร้างสวรรค์ เฝ้าฝันแล้วก็คอย แล้วก็คอย แล้วก็คอย” เท่านั้น ไม่มีทางที่จะได้อำนาจมาเพราะคนอื่นปฏิวัติรัฐประหารมาบรรณาการให้ได้เลย
ทั้งสถานการณ์ในวันนี้ก็ยังไม่มีเงื่อนไขที่จะเกิดการรัฐประหาร ปัญหาความขัดแย้งเฉพาะคนเฉพาะกลุ่มแม้มีอยู่บ้างก็เป็นเรื่องส่วนตัวและวงแคบ ไม่อาจอ้างอาศัยเป็นเหตุก่อรัฐประหารได้ หากใครทำก็ไม่ต่างกับคนเสียสติ ที่เอาเชือกมาผูกคอตัวเองแล้วแขวนคอตาย เพราะถ้าทำก็ยากจะสำเร็จ แม้สำเร็จก็อยู่ไม่ได้ ซึ่งไม่มีใครโง่เขลาเบาปัญญาถึงขนาดนั้น
ในสามหนทางเป็นอันพ้นวิสัยไปถึงสองทางแล้ว จึงคงเหลืออยู่แต่ทางเดียวเท่านั้นคือการใช้พลังมวลชนเข้ายึดอำนาจ ซึ่งอาจถือแบบอย่างมาจากบางประเทศแล้วใช้เป็นเหตุในการกำหนดแผน ดังนั้นเมื่อดูจากการเคลื่อนไหวและการจัดตั้งมวลชนที่เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ก็บ่งชี้ค่อนข้างชัดเจนว่าหนทางสายนี้คือหนทางที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด และกำลังขับเคลื่อนกันอยู่อย่างเต็มกำลัง และอย่างแยบคาย ภายหลังได้สรุปบทเรียนความผิดพลาดในเทศกาลสงกรานต์แล้ว
ศึกถวายฎีกาจึงน่าจะเป็นเพียงกลยุทธ์หนึ่งของการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้มาซึ่งความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ โดยการปฏิวัติที่ใช้พลังมวลชน และดูไปแล้วก็ช่างสอดคล้องกับห้วงเวลาที่ประมาณการขึ้น คือเดือนตุลาคม หรือก่อนหลังไม่นานนัก
เนื้อหาของการถวายฎีกาจะผิดหรือถูกกฎหมาย ไม่ใช่ข้อที่ต้องการหรือสนใจ สิ่งที่ต้องการคือต้องการใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการระดมพลเท่านั้น ดังนั้นในวันนี้แม้ความจริงจะประจักษ์ชัดว่าฎีกานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นทั้งฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ และฎีกาขอบรรเทาทุกข์ ทั้งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่จะนำขึ้นกราบบังคมทูลได้เลย ก็เห็นได้ชัดว่ามิได้ใส่ใจหรือแยแสในเรื่องนี้แต่ประการใด
ยังคงใช้เรื่องการล่ารายชื่อถวายฎีกาเดินหน้าเคลื่อนไหวมวลชนต่อไป การจะได้รายชื่อไม่ถึงล้านหรือ 3 ล้าน หรือ 5 ล้านคนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะต่อให้ได้รายชื่อ 5 ล้านคนดังที่โอ่ไว้ ก็เป็นสัญญาณหมายแค่ว่าล้มเหลวในงานมวลชน จนผู้นิยมชมชอบได้ลดลงจากครั้งล่าสุดถึง 5 ล้านคน และยังบ่งชี้อีกว่าคนไทยร่วม 60 ล้านคนไม่เอาด้วย
การคุยโวเรื่องจำนวนรายชื่อทำให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลงทาง และจมปลักอยู่กับการค้าน การต้าน หรือการถอนรายชื่อ โดยลืมไปว่าจำนวนรายชื่อนั้นไม่มีความหมาย ไม่มีเนื้อหาสาระ และไม่ใช่ผลจริงที่หวัง
สิ่งที่หวังแท้จริงในศึกถวายฎีกาคือการระดมคนไปยื่นถวายฎีกา ซึ่งมีการประกาศว่าจะไปยื่นกันที่สำนักพระราชวัง ในขณะที่ข่าวบางกระแสได้ระบุว่าจะไปยื่นที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
นึกภาพดูเอาเองเถิด ถ้ามีฝูงชนตั้งแต่ระดับ 30,000-50,000 คน ไปถึง 100,000-200,000 คน รายล้อมอยู่หน้าพระบรมมหาราชวังก็ดี หรือหน้าพระตำหนักจิตรลดารโหฐานก็ดี เหตุการณ์และความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนและต่อสายตานานาชาติจะเป็นอย่างไร?
เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน ผู้ใดจะละเมิดในทางใดๆ มิได้ ไม่ว่าโดยการกดดัน ข่มขู่ คุกคาม ข่มขวัญก็ตามที การเกิดภาพและสภาพเช่นนั้นขึ้น แม้จะพูดว่าไปขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง แต่เนื้อแท้ที่รู้แก่ใจกันดีคืออะไรเล่า?
อย่างน้อยก็คือการกดดันพระมหากษัตริย์ อย่างกลางก็เป็นสัญญาณแสดงให้ปรากฏว่ามีประชาชนเท่านั้นเท่านี้ที่ต้องการกดดันต่อพระมหากษัตริย์ และถ้าอย่างมากก็คือคุกคามต่อพระมหากษัตริย์นั่นเอง เพราะใครจะประกันได้เล่าว่าเหตุร้ายหรือสิ่งที่ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้
กรุงศรีอยุธยาเสียแก่ข้าศึกนั้นก็เพราะมัวคิดตั้งทัพรับศึกอยู่ในกรุง ดังนั้นรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงจะต้องตั้งสติ และพิจารณาให้จงดีว่าจะตั้งทัพรับศึกที่ไหน และจะหยุดยั้งเหตุร้ายไม่ให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองได้อย่างไร
มาร์คเอย! อย่ามัวเดินสายปาฐกถา เปิดสัมมนาอยู่เลย เวลามีไม่มากแล้ว!
วันเวลาที่คาดหมายว่าจะบรรลุความปรารถนาสามประการนั้น เคยถูกกำหนดมาแล้วหลายครั้ง
ครั้งล่าสุดก็คือห้วงเวลาที่เกิดจลาจลเลือดในเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ซึ่งมีการเตรียมการถึงขนาดกำหนดที่ทางยกพลขึ้นบก หรือจุดแรกเหยียบแดนประเทศไทยอย่างพร้อมพรั่ง ทั้งแผนงาน กำลังคน และกลวิธีเคลื่อนไหว
คงจะจำกันได้ว่ามีการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนทางโทรทัศน์ ถึงมวลชนที่เข้าร่วมว่า ทุกคนจะต้องไม่กลับบ้านด้วยมือเปล่า แต่จะมีอะไรติดมือไปบ้างก็ไม่รู้ และในที่สุดทุกคนก็กลับบ้านในอาการต่างๆ กัน
บ้างมีคดีติดมือ บ้างมีเลือดติดมือ บ้างก็มีลมติดมือ ในขณะที่หัวขบวนบางคนมีทรัพย์สินเงินทองติดมือจนมั่งคั่งร่ำรวยมหาศาล กระทั่งถูกกล่าวขานว่าเป็นขบวนการยิ่งสู้ยิ่งรวยไปแล้ว
หลังจากแผนการและเวลาที่กำหนดไว้ล้มเหลวลงแล้ว ก็ซบเซาเงียบเหงาเศร้าใจไปพักหนึ่ง แต่มาถึงระยะนี้ก็มีการกำหนดห้วงเวลาครั้งใหม่แล้ว แต่ยังดูสับสนอยู่มาก
เพราะบ้างก็ว่าในอีก 1 เดือน บ้างก็ว่าอีก 3 เดือน บ้างก็ว่าในเดือนตุลาคม ปีนี้ แต่ก็พออนุมานได้ว่ามีการประมาณการและกำหนดห้วงเวลาบรรลุถึงเป้าหมายทั้งสามประการในห้วงเวลาช่วงเดือนตุลาคม 2552 นี้ หรือก่อนหลังก็คงไม่มากนัก
คราวนี้มีความมั่นใจมากกว่าทุกครั้ง จึงเก็บอาการและความพลุ่งพล่านดีใจไว้ไม่ได้ หลายคนในวงศาคณาญาติและหลายคนในหมู่ผู้ใกล้ชิดถึงกับให้สัมภาษณ์หรือบอกกล่าวกับคนอื่นแม้สื่อมวลชนว่าการกลับมาครั้งนี้จะเป็นการกลับมาแบบไร้มลทินใดๆ ติดตัว และพร้อมอโหสิกรรมให้กับทุกคน รวมทั้งจะมาถวายงานรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย
จะเป็นจริงหรือจะเพ้อฝันหรือจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ก็ไม่มีใครรู้ได้ แต่การกล่าวในลักษณะที่ว่านั้นมันได้เผยนัยอันเป็นสัญญาณของความคิดและการกระทำบางอย่างให้ปรากฏ
ประดุจดั่งกิ่งไม้ใบหญ้าพลิ้วโยกไหวจากตะวันออกไปตะวันตก ย่อมแสดงว่ามีแรงลมพัดจากตะวันออกไปตะวันตก แม้ลมไร้สภาพและไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่ก็สามารถเห็นได้ด้วยอาการอย่างนั้น คำพูดเหล่านั้นก็ไม่ต่างอันใดกับกิ่งไม้ใบหญ้าพลิ้วโยกไหวนั่นเอง
มันบ่งสัญญาณว่ามีการคิด มีการวางแผน และมีการเตรียมการที่จะกระทำการบางสิ่งบางอย่างในลักษณะที่ทำให้อำนาจรัฐปัจจุบัน รวมทั้งการปกครองปัจจุบันล่มสลายลง แล้วมีการเข้าครองอำนาจรัฐเป็นรัฏฐาธิปัตย์ใหม่ขึ้นมา
มิฉะนั้นแล้วจะกลับมาโดยไร้มลทินทางคดีได้อย่างไร ไม่มีวิสัยทางอื่นที่จะเป็นไปได้ นอกจากทางนี้ทางเดียวเท่านั้น เพราะคดีที่มีอยู่นั้นไม่ได้มีแค่คดีที่ศาลฎีกาตัดสินถึงที่สุดให้จำคุก 2 ปีเท่านั้น ยังมีคดีเกี่ยวพันอยู่นับสิบเรื่อง และคดีเหล่านั้นไม่มีทางที่จะขาดอายุความหรือสิ้นสลายไปเองได้ นอกจากการใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ยกเลิกเพิกถอนเสีย
ดังนั้นจึงสามารถมองต่อไปได้อีกว่า เมื่อจะเข้ามาเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แล้วจะเข้ามาทางไหนได้บ้าง ก็เห็นอยู่แต่ 3 ทางคือโดยการเลือกตั้งทางหนึ่ง โดยการปฏิวัติรัฐประหารทางหนึ่ง และโดยการใช้พลังมวลชนเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกทางหนึ่ง
ซึ่งจะได้อำนาจโดยการเลือกตั้งนั้น ดูไปแล้วยังห่างไกลนักเพราะไม่มีทีท่าว่าจะมีการเลือกตั้งในปีนี้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงเวลาเดือนตุลาคม 2552
ส่วนการปฏิวัติรัฐประหารเล่า? แม้ไม่มีใครยืนยันได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น แต่การจะทำรัฐประหารเสียเองนั้นเห็นเกินวิสัยนัก เพราะแม้ครั้งยังครองอำนาจรัฐ มีกฤษดานุภาพมากก็ยังไม่สามารถควบคุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จ และต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้ไปก็ด้วยการรัฐประหาร มาบัดนี้มีฐานะเป็นแค่นักโทษหนีคดี พำนักพักกายอยู่ในแดนไกล จึงเหินห่างกว้างไกลออกไปจากวิสัยที่จะเกิดขึ้นได้ แม้จะเทียบกับเมื่อครั้งถืออำนาจรัฐเองก็ยังไม่ได้
ดังนั้นหนทางสายนี้จึงเหลือแต่ความหวังที่จะอาศัยยืมมือคนอื่นกระทำรัฐประหารให้ ซึ่งไม่ใช่วิสัยโลกที่จะเป็นไปได้อีก เพราะธรรมดาอำนาจนั้นมีบทเรียนมีมาในประวัติศาสตร์มากหลายว่าไม่เคยมีใครช่วงชิงยึดอำนาจมาแล้วเอาไปบรรณาการให้กับคนอื่น
ความจริงความหวังเช่นนี้ก็เป็นลมเป็นแล้งมาบ้างแล้ว มันเป็นความหวังแบบคนพี้กัญชาที่ได้แต่ครวญเพลงว่า “เฝ้าชะแง้เหลียวแลสร้างสวรรค์ เฝ้าฝันแล้วก็คอย แล้วก็คอย แล้วก็คอย” เท่านั้น ไม่มีทางที่จะได้อำนาจมาเพราะคนอื่นปฏิวัติรัฐประหารมาบรรณาการให้ได้เลย
ทั้งสถานการณ์ในวันนี้ก็ยังไม่มีเงื่อนไขที่จะเกิดการรัฐประหาร ปัญหาความขัดแย้งเฉพาะคนเฉพาะกลุ่มแม้มีอยู่บ้างก็เป็นเรื่องส่วนตัวและวงแคบ ไม่อาจอ้างอาศัยเป็นเหตุก่อรัฐประหารได้ หากใครทำก็ไม่ต่างกับคนเสียสติ ที่เอาเชือกมาผูกคอตัวเองแล้วแขวนคอตาย เพราะถ้าทำก็ยากจะสำเร็จ แม้สำเร็จก็อยู่ไม่ได้ ซึ่งไม่มีใครโง่เขลาเบาปัญญาถึงขนาดนั้น
ในสามหนทางเป็นอันพ้นวิสัยไปถึงสองทางแล้ว จึงคงเหลืออยู่แต่ทางเดียวเท่านั้นคือการใช้พลังมวลชนเข้ายึดอำนาจ ซึ่งอาจถือแบบอย่างมาจากบางประเทศแล้วใช้เป็นเหตุในการกำหนดแผน ดังนั้นเมื่อดูจากการเคลื่อนไหวและการจัดตั้งมวลชนที่เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ก็บ่งชี้ค่อนข้างชัดเจนว่าหนทางสายนี้คือหนทางที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด และกำลังขับเคลื่อนกันอยู่อย่างเต็มกำลัง และอย่างแยบคาย ภายหลังได้สรุปบทเรียนความผิดพลาดในเทศกาลสงกรานต์แล้ว
ศึกถวายฎีกาจึงน่าจะเป็นเพียงกลยุทธ์หนึ่งของการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้มาซึ่งความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ โดยการปฏิวัติที่ใช้พลังมวลชน และดูไปแล้วก็ช่างสอดคล้องกับห้วงเวลาที่ประมาณการขึ้น คือเดือนตุลาคม หรือก่อนหลังไม่นานนัก
เนื้อหาของการถวายฎีกาจะผิดหรือถูกกฎหมาย ไม่ใช่ข้อที่ต้องการหรือสนใจ สิ่งที่ต้องการคือต้องการใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการระดมพลเท่านั้น ดังนั้นในวันนี้แม้ความจริงจะประจักษ์ชัดว่าฎีกานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นทั้งฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ และฎีกาขอบรรเทาทุกข์ ทั้งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่จะนำขึ้นกราบบังคมทูลได้เลย ก็เห็นได้ชัดว่ามิได้ใส่ใจหรือแยแสในเรื่องนี้แต่ประการใด
ยังคงใช้เรื่องการล่ารายชื่อถวายฎีกาเดินหน้าเคลื่อนไหวมวลชนต่อไป การจะได้รายชื่อไม่ถึงล้านหรือ 3 ล้าน หรือ 5 ล้านคนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะต่อให้ได้รายชื่อ 5 ล้านคนดังที่โอ่ไว้ ก็เป็นสัญญาณหมายแค่ว่าล้มเหลวในงานมวลชน จนผู้นิยมชมชอบได้ลดลงจากครั้งล่าสุดถึง 5 ล้านคน และยังบ่งชี้อีกว่าคนไทยร่วม 60 ล้านคนไม่เอาด้วย
การคุยโวเรื่องจำนวนรายชื่อทำให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลงทาง และจมปลักอยู่กับการค้าน การต้าน หรือการถอนรายชื่อ โดยลืมไปว่าจำนวนรายชื่อนั้นไม่มีความหมาย ไม่มีเนื้อหาสาระ และไม่ใช่ผลจริงที่หวัง
สิ่งที่หวังแท้จริงในศึกถวายฎีกาคือการระดมคนไปยื่นถวายฎีกา ซึ่งมีการประกาศว่าจะไปยื่นกันที่สำนักพระราชวัง ในขณะที่ข่าวบางกระแสได้ระบุว่าจะไปยื่นที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
นึกภาพดูเอาเองเถิด ถ้ามีฝูงชนตั้งแต่ระดับ 30,000-50,000 คน ไปถึง 100,000-200,000 คน รายล้อมอยู่หน้าพระบรมมหาราชวังก็ดี หรือหน้าพระตำหนักจิตรลดารโหฐานก็ดี เหตุการณ์และความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนและต่อสายตานานาชาติจะเป็นอย่างไร?
เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน ผู้ใดจะละเมิดในทางใดๆ มิได้ ไม่ว่าโดยการกดดัน ข่มขู่ คุกคาม ข่มขวัญก็ตามที การเกิดภาพและสภาพเช่นนั้นขึ้น แม้จะพูดว่าไปขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง แต่เนื้อแท้ที่รู้แก่ใจกันดีคืออะไรเล่า?
อย่างน้อยก็คือการกดดันพระมหากษัตริย์ อย่างกลางก็เป็นสัญญาณแสดงให้ปรากฏว่ามีประชาชนเท่านั้นเท่านี้ที่ต้องการกดดันต่อพระมหากษัตริย์ และถ้าอย่างมากก็คือคุกคามต่อพระมหากษัตริย์นั่นเอง เพราะใครจะประกันได้เล่าว่าเหตุร้ายหรือสิ่งที่ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้
กรุงศรีอยุธยาเสียแก่ข้าศึกนั้นก็เพราะมัวคิดตั้งทัพรับศึกอยู่ในกรุง ดังนั้นรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงจะต้องตั้งสติ และพิจารณาให้จงดีว่าจะตั้งทัพรับศึกที่ไหน และจะหยุดยั้งเหตุร้ายไม่ให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองได้อย่างไร
มาร์คเอย! อย่ามัวเดินสายปาฐกถา เปิดสัมมนาอยู่เลย เวลามีไม่มากแล้ว!