xs
xsm
sm
md
lg

คลังเตรียมปรับเป้าจีดีพีใหม่ ห่วงการเมืองฉุดไทยเข้มแข็ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - สศค.เตรียมประกาศจีดีพีไตรมาส 3 คาดติดลบ 3-4% พร้อมปรับประมาณการทั้งปีใหม่ เหลือลบ 2.5-3% หลังจากได้ปัจจัยบวกหนุนเพียบ ห่วงเบิกจ่ายงบล่าช้ากระทบการลงทุนและปัจจัยการเมืองอาจทำให้ไทยเข้มแข็งสะดุด

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า วันที่ 28 ก.ย. สศค.จะประกาศประมาณการเศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงลบ 3-4% และจะปรับประมาณการทั้งปีใหม่ให้อยู่ในช่วงลบ 2.5-3.5 % ซึ่งจะสูงกว่าประมาณการเดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2552 จะติดลบ 3% จากที่ประมาณการไว้ในช่วงติดลบ 3 - 3.5% เนื่องจากขณะนี้เริ่มมีปัจจัยบวกต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า เช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซียและเวียดนาม ฟื้นตัวดีขึ้นมาก ซึ่งส่งผลต่อการส่งออกของไทย

นอกจากนั้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศมหาอำนาจเก่าก็เริ่มดีขึ้น จากแนวโน้มที่ติดลบน้อยลง และยังเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนจากยอดซื้อรถยนต์และจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้มากขึ้นเป็น 3.6 หมื่นล้านบาทต่อเดือนจากช่วงต้นปี 3.1-3.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะสะท้อนการบริโภคที่หดตัวน้อยลง ขณะที่จากการจ้างงานมากขึ้น โดยอัตราการว่างงานลดเหลือ 1.2% จากต้นปีที่อยู่ที่ 2.1% หรือมีจำนวนคนว่างงานไม่ถึง 5 แสนคนจากต้นปี 8 แสนคน ซึ่งจากเดิมเคยประมาณการว่า การว่างงานอาจจะถึง 1-2 ล้านคน

อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายการคลังที่การเบิกจ่ายอาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แม้ว่าจะดีขึ้นจากปีก่อน แต่ต้องเร่งเบิกจ่ายให้มากขึ้นและต่อเนื่อง เพราะจะเห็นว่าในงบกลางปี 1.16 แสนล้านที่สามารถเบิกจ่ายได้ 77-78% นั้น ส่วนใหญ่เป็นโครงการโอนเงินเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ทั้งโครงการเช็คช่วยชาติ หรือเงินผู้สูงอายุ แต่ที่เบิกจ่ายช้าคือ งบลงทุนที่จะมีการจ้างงาน ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงและเป็นปัจจัยที่ต้องเร่งดำเนินการต่อเนื่องให้ถึงไตรมาส 4 เพื่อให้เป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย

“เราเห็นด้วยกับธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบีว่า นโยบายการคลังยังต้องดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ และไม่สามารถถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็วได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจชะงักลง แต่สิ่งที่เป็นห่วงและเห็นตรงกันคือ ความไม่มั่นคงทางการเมือง อาจจะทำให้การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งได้ไม่เต็มที่และจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยลง”

นายเอกนิติกล่าวต่อว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 น่าจะเป็นตัวบอกชัดที่สุดว่า นโยบายการคลังตัวเดียวที่ทำให้การหดตัวของเศรษฐกิจลดลง เหลือเพียงลบ 4.9% จากไตรมาสแรกที่ติดลบถึง 7.1% และน่าจะต่อเนื่องถึงไตรมาส 3 ที่หดตัวน้อยลงเช่นกัน และในไตรมาสที่ 4 แม้ว่าจะไม่ดีเท่ากับไตรมาส 3 แต่จะเป็นบวกเกือบ 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ติดลบถึง 4.2% และเชื่อว่ามีโอกาสที่จะเป็นบวกสูง หากไม่เจอปัญหาการเมืองรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออกเหมือนช่วงสงกรานต์

นายเอกนิติกล่าวถึงการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยของเอดีบีว่า ประมารการเดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 2% นั้นเป็นการประมาณการในเดือนมีนาคม ก่อนเกิดเหตุการณ์ในช่วงสงกรานต์ และแม้ว่าจะปรับประมาณการลงมาอยู่ที่ระดับ 3.2% ก็ไม่ได้แตกต่างจากหน่วยงานของไทยที่ประมาณการก่อนหน้านั้น เช่น สศค.และสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศค.)ประมาณการไว้ 3-3.5% ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประมาณการไว้ 3-4.5% ส่วนการมองว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์นั้นเชื่อว่าประเทศไทยจะเกิดขึ้นน้อยกว่าประเทศอื่นแน่นอน ชัดเจนจากตัวเลขซื้อบ้าน ที่ยังไม่เพิ่มขึ้น ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนยังติดลบ และดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังอยู่ที่ 1.25% สูงกว่าหลายประเทศที่อยู่ที่ 0-0.5% เชื่อว่าเอดีบีน่าจะเป็นห่วงประเทศอื่นที่ฉีดเงินเข้าระบบมากกว่าไทย

สำหรับข้อกังวลของนักวิชาการที่เกรงว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะไม่เพียงพอต่อภาระการชำระหนี้ในอนาคตนายเอกนิติกล่าว่า ศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะอยู่ที่ 5-5.5% แต่ปี 2553 สศค.ใช้การประมาณการเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 2.5% แต่หากจะมีความยั่งยืนในการชำระหนี้ ในภาวะที่ภาระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะอยู่ที่ 3.8-3.9% นั้น อัตราการเติบโตเฉลี่ยของเศรษฐกิจไทยในช่วง 3 ปี จะอยู่ที่ 4% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2% และรายได้ของประเทศควรจะขยายตัว 6.5% ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญว่า รัฐบาลจะต้องขับเคลื่อนเติบโตให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาในการชำระหนี้ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น