เอเจนซี- เอดีบี ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีน ขึ้นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 8.2 จากเดิม ที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 7
พร้อมเตือนผู้นำมังกรว่าการดำเนินมาตรการเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการขยายตัว ได้แก่ แพคเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ และยอดปล่อยกู้ที่สูงเป็นประวัติการณ์นั้น อาจเป็นอุปสรรค์ต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่จีนกำลังผลักดันอยู่คือ การส่งเสริมการบริโภคภาคเอกชนขึ้นมามีบทบาทหลักในการดันตัวเลขการเติบโต แทนการลงทุนและการส่งออกดังเช่นแต่ก่อน
ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี แถลงรายงานปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตเศรษฐกิจจีนในวันอังคาร(22 ก.ย.) โดยเศรษฐกิจจีนปีนี้ จะโตร้อยละ 8.2 จากการประเมินก่อนหน้าที่ร้อยละ 7 นอกจากนี้ ยังเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ฯของปี 2553 เท่ากับร้อยละ 8.9 จากระดับร้อยละ 8
ขณะเดียวกันกลุ่มผู้นำโลกก็กำลังเรียกร้องให้จีนปรับทิศทางเศรษฐกิจ โดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา และกลุ่มผู้นำ 20 ประเทศ หรือ จี 20 กำลังเปิดประชุมกันที่เมืองพิตต์สเบิร์กในสัปดาห์นี้ เพื่อถกเถียงนโยบายลดความไม่สมดุลในการใช้จ่ายและการบริโภคของโลก อันเป็นปัจจัยกระตุ้นวิกฤตการเงินโลก และจีนก็เป็นประเทศหนึ่งที่ถูกเรียกร้องให้มีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ปลายปีที่แล้ว จีนดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยตั้งงบฯก้อนใหญ่ยักษ์ถึง 4 ล้านล้านหยวน (586,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อแก้ปัญหาซบเซาในภาคส่งออกที่โดนพิษความต้องการโลกหดตัวฮวบฮาบ แต่มาตรการฯดังกล่าวก็ทำให้จีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลก พึ่งพิงการลงทุนมากขึ้น
“นโยบายการเงินการคลังแบบขยายได้บรรเทาผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ปัญหาท้าทายของรัฐบาลคือ จะต้องหันมาสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ”
รายงานของเอดีบีระบุว่า ในครึ่งแรกของปีนี้ การลงทุนจีน มีสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 6.2 ของการขยายตัวเศรษฐกิจจีนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 7.1 ขณะที่การบริโภคมีสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 3.8 ส่วนยอดเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 2.9
ประธานาธิบดีโอบามา ให้สัมภาษณ์กับ CNN ซึ่งออกอากาศในวันที่ 20 ก.ย. ว่า “เราไม่สามารถหวนหลับสู่ยุคที่จีน หรือเยอรมนี หรือประเทศใดก็ตาม จะมาขายทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา เราได้จ่ายสินเชื่อ หนี้บัตรเครดิตไปมหาศาล แต่เราก็ไม่สามารถขายอะไรแก่พวกเขาเลย” ประธานาธิบดีโอบามาครวญ และเผยว่าการพูดคุยในพิตต์สเบิร์ก จะพุ่งเป้าไปที่ “การสร้างหลักประกันเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่สมดุลมากขึ้น”
ด้านเอดีบีเทศนาต่อว่า รัฐบาลจีนจะต้องสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นการขยายตัว และความเสี่ยงที่ว่าการปล่อยกู้มากเกินไปอาจกระตุ้นการเก็งกำไรในการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น บ่อนทำลายคุณภาพสินทรัพย์ธนาคาร และโหมกระพือเงินเฟ้อ
“แนวโน้มดังกล่าวอาจกระตุ้นการคุมเข้มทางการเงินอย่างสาหัสอีกรอบในระยะกลาง และฉุดการเติบโตดิ่งเหวลงไปอีก” เอดีบีเตือน
เอดีบียังได้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อแดนมังกร จะไต่ขึ้นถึงร้อยละ 3 ในปี 2553 หลังจากที่ราคาตกลงร้อยละ 0.5 ในปีนี้ และยอดเกินดุลกาค้าจะตกต่ำลงไปอีกในปีนี้
สำหรับรัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าอัตราเติบโตปีนี้ ไว้ที่ระดับร้อยละ 8 ซึ่งเป็นระดับที่อาจกระตุ้นการจ้างงานเพียงพอและลดความเสี่ยงต่อการเกิดความวุ่นวายในสังคมจีนซึ่งมีประชากรมากที่สุดในโลก 1,300 ล้านคน นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่ากล่าวเมื่อวันที่ 10 ก.ย. ว่าการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนยังเปราะบาง จึงยังไม่อาจถอยจากมาตรการกระตุ้นด้านการเงินและการคลัง
ด้านเอดีบีชี้ความเสี่ยงในจีนว่า กลุ่มแรงงานอพยพที่ตกงานอาจดิ่วเหวสู่ความยากจนเพราะไร้สิทธิรับประโยชน์จากโครงการประกันสังคม
แรงงานนับล้านในจีนต้องสูญเสียงานสืบเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ และในปีนี้จะมีกลุ่มผู้หางานราว 24 ล้านคน เข้าสู่ตลาดแรงงาน .