xs
xsm
sm
md
lg

ความลังเลล่าช้า : หายนะที่มากับกาลเวลา

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

“กาลเวลา ย่อมกินตัวมันเอง และอายุของสรรพสัตว์” นี่คือพุทธพจน์ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา

โดยนัยแห่งพุทธพจน์ดังกล่าวข้างต้น หมายความว่ากาลเวลาย่อมเปลี่ยนไปตลอดเวลา จากหน่วยย่อยไปหาหน่วยใหญ่ กล่าวคือ จากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็นชั่วโมง เป็นต้น จนกระทั่งเป็นปี โดยไม่มีการย้อนกลับ จึงทำให้หน่วยย่อยของกาลเวลาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกาลเวลาผ่านไป

จากการผ่านไปของกาลเวลานี้เอง ทำให้สรรพสัตว์และสรรพสิ่งมีอันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา โดยมีลักษณะที่เหมือนๆ กัน คือ มีการเกิดขึ้น มีการเปลี่ยนแปลง และแตกดับในที่สุด ทั้งในสรรพสัตว์ และสรรพสิ่ง จะแตกต่างกันก็เพียงระยะเวลาเท่านั้น

ด้วยเหตุที่ชีวิตคนขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้กาลเวลาทุกๆ วินาทีที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่กระทำได้

ในทางกลับกัน ถ้ามีความลังเลหรือรอช้าจะทำให้โอกาสที่ผ่านเข้ามาล่วงเลยไป โดยที่เราไม่ได้อะไรจากกาลเวลาซึ่งเป็นปัจจุบัน และในที่สุดกาลเวลาก็กลายเป็นอดีตที่ไม่มีค่า หรือไม่มีผลตอบแทนใดๆ และที่ยิ่งกว่านี้ ถ้าการกระทำใดๆ อันเกิดจากการลังเลหรือรอคอยมีความผิดพลาด และก่อความเสียหายแก่ตนเองและสังคมรอบข้างด้วยแล้ว ถือเป็นความหายนะที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับกาลเวลาที่เปลี่ยนจากปัจจุบันเป็นอดีต ดังที่ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทยและคนไทยภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในขณะนี้

อะไรที่ทำให้อนุมานได้ว่า ประเทศไทยและสังคมไทยมีความหายนะจากกาลเวลา

เพื่อให้ท่านผู้อ่านมองเห็นประเด็นอันเป็นเหตุแห่งหายนะอันเกิดจากความลังเล และรอคอยไม่กล้าตัดสินใจ ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านลองมองย้อนไปถึงบทบาทของผู้นำรัฐบาลในกรณีดังต่อไปนี้

1. รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ขสมก. อันเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม ที่มีการทบทวนแล้วทบทวนอีก จนในที่สุดแขวนไว้ในรูปของการตั้งกรรมการพิจารณาในความรับผิดชอบของสภาพัฒน์ ไม่มีเวลาที่แน่นอนว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จเมื่อใด และจบลงด้วยการกระทำหรือไม่กระทำ จึงเท่ากับดองโครงการไว้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ และการดำเนินการในทำนองนี้ ทำให้สังคมโดยรวมเสียโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างคุ้มค่า

2. การปรับโครงสร้างของการรถไฟฯ จนป่านนี้ไม่มีวี่แววว่าจะทำหรือไม่ทำ เป็นเหตุให้ผู้คนไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการที่ว่านี้เท่าที่ควรจะเป็น

3. ล่าสุดความลังเลในการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ที่มีทีท่าว่าจะไม่จบลงก่อนสิ้นเดือนกันยายนนี้ ทั้งๆ ที่ถ้าดูจากลักษณะงานและความยากง่ายของงานแล้วไม่มีอะไร เพียงนายกฯ เลือกผู้ที่ควรจะได้รับแต่งตั้งและเรียกประชุม ก.ต.ช. แล้วเสนอชื่อคนใดคนหนึ่งที่เห็นว่ามีความรู้ ความสามารถ และมีคุณธรรมที่จะทำให้สังคมโดยรวมยอมรับ ทุกอย่างก็จะจบได้อย่างง่ายดายตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น

แต่ในความเป็นจริงที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ต.ช.ไม่สามารถดำเนินการแต่งตั้งได้ และที่หนักกว่านี้ได้ประสบความล้มเหลวมาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งเท่ากับว่านายกรัฐมนตรีไม่มีภาวะผู้นำ

ส่วนว่าในความเป็นจริง นายกฯ พยายามอย่างเต็มที่แต่ไม่สามารถแหวกวงล้อมการแอบอ้างข่าวลือ จนทำให้การแต่งตั้ง ผบ.ตร.ดำเนินการต่อไปไม่ได้

จากการประชุม ก.ต.ช.ที่ล้มเหลวและมีข่าวแพร่ออกมาว่ามีกระแสข่าวพิเศษเกิดขึ้น และกลายเป็นอุปสรรคในการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ตามที่นายกฯ ต้องการทั้ง 2 ครั้ง จึงเป็นบทพิสูจน์การเชื่อคำแอบอ้าง และทำแนวร่วมเพื่อหาประโยชน์ร่วมกันมีอยู่จริง และเป็นข่าวลือที่ไม่มีใครหาข้อพิสูจน์ได้ โดยการสาวถึงต้นตอแห่งข่าวลือได้ จึงเท่ากับทำให้น้ำหนักในการอ้างมากขึ้นด้วย และนี่เองน่าจะเป็นสาเหตุแห่งความล่าช้า และก่อความเสียหายแก่ส่วนรวม

อย่างไรก็ตาม วันนี้และเวลานี้ประเทศไทยและผู้คนในสังคมไทยคงได้เห็นและรับรู้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากความลังเล และไม่กล้าตัดสินใจของนายกฯ ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ทั้งนี้อนุมานได้จากภาวะแวดล้อม และเหตุปัจจัยเกื้อหนุนดังต่อไปนี้

1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนมีทุนทางสังคมสูง เนื่องจากมีความเพียบพร้อมในทุกด้าน เริ่มตั้งแต่รูปร่างหน้าตา การศึกษา และพฤติกรรมที่เห็นได้ชัดเลยว่าอยู่ในกรอบแห่งคุณธรรม จึงไม่น่าจะมีปัญหาในการแสวงหาการยอมรับจากบุคลากรทางการเมือง ทั้งในพรรคของตัวเอง คือ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาล

2. ถึงแม้จะเป็นรัฐบาลผสมที่พรรคแกนนำมีอำนาจต่อรองต่ำในแง่ของการเมืองในสภาซึ่งตัดสินกันด้วยการยกมือ แต่ถ้าดูให้ลึกลงไปพรรคประชาธิปัตย์เมื่อเทียบกับพรรคร่วมอื่นๆ แล้วได้เปรียบในแง่ของภาพลักษณ์ ความรู้ ความสามารถของปัจเจกบุคคลที่มีให้เลือกมากกว่าพรรคอื่น ที่ทั้งมีแผลและขาดความรู้ ความสามารถ และที่สำคัญคือ ขาดคุณธรรม อย่างเห็นได้ชัดเจน

3. ถ้าจะใช้เครื่องมือหรือกลไกทางด้านรัฐสภาในการบริหารประเทศแล้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคและในฐานะหัวหน้ารัฐบาล น่าจะควบคุมทิศทางให้เป็นไปในทางที่ตนเองต้องการได้ไม่ยาก

แต่ในความเป็นจริงที่ปรากฏในกรอบที่เห็นได้ชัด เช่น การแต่งตั้ง ผบ.ตร. เป็นต้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้า ไม่สามารถชี้นำนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ซึ่งเป็นลูกพรรคให้คล้อยตามได้ จึงไม่ต้องพูดถึงบทบาทของผู้นำรัฐบาลที่จะชี้นำรัฐมนตรีจากพรรคอื่นให้คล้อยตามด้วยได้

จากปัจจัยและภาวะแวดล้อมดังกล่าวข้างต้น นายกรัฐมนตรีน่าจะใช้เป็นโอกาสในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ได้ดีกว่าที่เป็นมาแล้ว

แต่เมื่อความลังเลเกิดขึ้น และก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาวะผู้นำไปแล้ว ทางแก้ก็มีอยู่ทางเดียวคือ ถ้าไม่แน่ใจก็รอ และรอไปจนกว่าจะแน่ใจ จบเรื่องนี้แล้วขอให้ทบทวนมองหาเหตุและขจัดเหตุให้หมดไป ก็พอจะเรียกคะแนนคืนได้บ้าง
กำลังโหลดความคิดเห็น