“พัชรวาท” เผยภายในสัปดาห์หน้ารู้ผลมาตรการจับกุม 9 แกนนำพันธมิตรฯ ส่วนคดี “เจ๊เพ็ญ” หมิ่นเบื้องสูงเป็นสิทธิผู้ต้องหาร้องขอสอบพยานเพิ่มเติมได้ ด้าน “สมพงษ์” เล็งส่งคนกลางเคลียร์ปัญหาพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบ ย้ำแม้ไม่ให้โอกาสรัฐบาลก็ขอให้รอดูแนวทางการทำงานก่อนประท้วง
วันนี้ (18 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายสมัคร เชาวภานันท์ ประธานคณะกรรมธิการการยุติธรรมและกิจการตำรวจ วุฒิสภา พร้อมคณะ เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมกิจการตำรวจ โดยมี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และข้าราชการตำรวจระดับสูงให้การต้อนรับ
ภายหลังการตรวจเยี่ยม พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมงานตำรวจและให้คำแนะนำการทำงาน รวมทั้งดูโครงสร้างตำรวจภารกิจต่างๆ และปัญหาอุปสรรคของตำรวจที่ต้องให้ความช่วยเหลือ โดยมี 2 เรื่องหลักที่ได้มีการหารือ คือ เรื่องการกลั่นกรองกฎหมาย เรื่องการ้องทุกข์ในส่วนของตำรวจเมื่อถูกร้องเรียน ซึ่งได้เสนอกฎหมาย 2 ฉบับ เรื่องพระราชบัญญัติไกล่เกลี่ยในชั้นพนักงานสอบสวน กับพระราชบัญญัติควบคุมการชุมนุมในที่สาธารณะ
“ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ก็ได้รับปากว่าจะช่วยสนับสนุนการออกกฎหมายควบคุมการชุมนุมในที่สาธารณะ พรบ.ไกล่เกลี่ยในชั้นพนักงานสอบสวน เพราะในส่วนการออกกฎหมายคณะกรรมาธิการฯ มีหน้าที่ในการกลั่นกรอง” พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าว
พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวยังกล่าวการให้ความช่วยเหลือกรณีที่เกิดอุทกภัยในหลายจังหวัดว่า ภารกิจในการช่วยเหลือประชาชนเป็นหน้าที่ของตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ซึ่งได้มีการสั่งการกำชับไปแล้วในการนำของพระราชทานที่มีอยู่ในคลังให้ไปดูแลประชาชนที่เดือดร้อน ส่วนอาชญากรรมที่มาภายหลังน้ำท่วม ก็ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เข้มงวดในการดูแลกวดขัน ซึ่งก็ได้สั่งการให้กองพัฒนาการป้องกันและควบคุมอาชญากรรม (กพป.) ไปดูแลและทำการร่างคำสั่งเพื่อสั่งการมาตราการภายหลังน้ำลดไป
ส่วนกรณีภายหลังประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และได้มอบหมายให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ดูแลนั้น พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ในส่วนของตำรวจก็มีหน้าที่ในการปฏิบัติเหมือนเดิม ดูแลความปลอดภัยของประชาชน และบังคับใช้กฎหมายปกติ โดยในส่วนของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) ซึ่งมี พล.อ.อนุพงษ์ เป็นประธาน ก็จะมีหน้าที่ติดตามอาจจะเสนอแนะรวมถึงกำหนดมาตรการต่างๆ ซึ่งมีกฏหมายรองรับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติตามได้
ส่วนเรื่องการติดตามจับกุม 9 แกนนำพันธมิตรฯ ข้อหากบฏ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ก็ได้มีการหารือในคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เป็นประธาน โดยรายละเอียดขณะนี้ พล.อ.อนุพงษ์ กำลังวางมาตรการอยู่ โดยภายในสัปดาห์หน้าจะมีคำตอบเรื่องนี้ออกมา
ส่วนกรณีความคืบหน้าการดำเนินคดีกรณีนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ตามมาตรา 112 ซึ่งได้ยื่นขอสอบพยานเพิ่มอีก 18 ปาก พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ตนเองได้ลงนามในคำสั่งสั่งฟ้องคาดว่าเรื่องได้ส่งไปให้อัยการแล้ว ส่วนสิทธิในการสอบพยานเพิ่ม 18 ปาก ตามสิทธิผู้ต้องหานั้นก็สามารถกระทำได้ คงเป็นขั้นตอนในของอัยการไปแล้ว ส่วนของตำรวจก็ถือได้ว่าเสร็จสิ้นไปแล้ว
ในวันเดียวกัน นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึงกระแสข่าวจะถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า เป็นเพียงข่าวลือ ซึ่งลือมาโดยตลอดตั้งแต่มีชื่อตนเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งยืนยันว่าตนยังมีความสุขกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสามารถทำงานโดยได้รับความร่วมมือที่ดีจากข้าราชการ ซึ่งทุกตำแหน่งในโควต้าของพรรคพลังประชาชนยังคงต้องมีการหารือภายในกรรมการบริหารพรรค ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งใดบ้าง คาดว่าจะมีความชัดเจนในวันจันทร์ที่ 22 ก.ย.นี้ สำหรับนโยบายของรัฐบาลจะนำนโยบายเดิมมาปรับใช้ และจะเน้นนโยบายดำเนินการด้านเศรษฐกิจที่เป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งการแก้ปัญหาความขัดแย้งกันในสังคม ซึ่งจะต้องทำให้เกิดความปรองดองกัน โดยรัฐบาลมีแนวทางจะส่งคนกลางที่มีความสนิทสนมกับทั้ง 2 ฝ่าย ไปนัดเจรจาพูดคุยกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้พันธมิตรเจรจาบนหลักเหตุผล
“ถ้ารัฐบาลเป็นฝ่ายขอเจรจาแล้วพันธมิตรฯ ไม่ยอม ไม่เอาอะไรซักอย่าง ความสงบจะเกิดขึ้นได้อย่างไร สังคมก็ต้องตั้งคำถามว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรก็ต้องคุยเพื่อจบเรื่องให้ได้ เพราะจะปล่อยให้ยึดทำเนียบฯ อยู่อย่างนี้ไม่ได้ แม้พันธมิตรฯ จะวางหลักเอาไว้แข็ง แต่ก็ควรให้โอกาสรัฐบาลได้ทำงาน อย่างน้อยก็ควรรอดูแนวทางการทำงานของรัฐบาลก่อน ขณะนี้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่าที่นายกฯ ยังไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เรื่องความเป็นเครือญาตินั้นคงปฏิเสธไม่ได้” นายสมพงษ์ กล่าว