วิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก
สังคมมนุษย์เกิดขึ้นเนื่องจากมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม โดยลักษณะอุปนิสัยและจิตใจโดยธรรมชาติมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้น การอยู่รวมกันเป็นสังคมจึงเป็นปรากฏการณ์ตามปกติ นอกเหนือจากธรรมชาติที่ต้องอยู่รวมกันแล้ว การอยู่รวมกันเป็นสังคมของมนุษย์ยังมาจากเหตุผลหลายประการ การรวมกันเป็นกลุ่มทำให้สามารถผนึกกำลังกันเพื่อทำการที่มนุษย์คนเดียวไม่สามารถจะทำได้ เช่น การล่าสัตว์ใหญ่ สิ่งก่อสร้างที่ต้องใช้กำลังคนผสานกัน นอกจากนั้นการพึ่งพาอาศัยกัน การต่อสู้เพื่อป้องกันเผ่าพันธุ์ หรือการรุกรานของสัตว์ร้าย ก็เป็นเหตุผลสำคัญของการอยู่ร่วมกันเพื่อรักษาไว้ซึ่งการอยู่รอดของเผ่า
แต่การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ย่อมหนีไม่พ้นที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งจะมีความขัดแย้งในเรื่องอาหาร การแย่งคู่ จนถึงเรื่องสถานะทางสังคม และอำนาจในการจัดการทรัพยากร นอกจากนั้นยังมีประเด็นเกี่ยวกับสังคมที่จะต้องมีการจัดระเบียบ เช่น เรื่องครอบครัวซึ่งจะต้องเป็นสิทธิของแต่ละครอบครัว จะเข้าไปรุกรานโดยเข้าไปเอาลูกเมียคนอื่นมาโดยพละการไม่ได้ หรือการเคารพในสิทธิทรัพย์สินของผู้อื่น
แต่การที่จะจัดระเบียบสังคมดังกล่าวนี้จะต้องกระทำโดยผู้ซึ่งมีอำนาจ ซึ่งในตอนเริ่มต้นของมนุษย์ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่แข็งแรงที่สุด หรือผู้ที่มีความสามารถในการแก้ปัญหา เช่น เก่งกาจในการล่าสัตว์ ในการรบ จีนโบราณนั้นมีตำนานเกี่ยวกับจักรพรรดิองค์แรกๆ ที่คัดสรรมาจากบุคคลที่สามารถทดน้ำแม่น้ำหวงโฮไม่ให้ท่วมบ้านท่วมเมืองได้ก็จะได้รับการสถาปนาเป็นผู้ปกครองสูงสุด
การสถาปนาอำนาจรัฐเช่นนั้นทำให้บุคคลกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งมีอำนาจรัฐ และใช้อำนาจดังกล่าวจัดระเบียบการเมือง ระเบียบสังคม และระเบียบเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความขัดแย้ง แบ่งปันทรัพยากรเพื่อให้เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย ใช้ทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติในการแก้ปัญหาและการพัฒนา และสูงสุดคือการใช้ทรัพยากรต่อสู้ป้องกันการรุกรานจากเผ่าอื่น หรือชนชาติอื่น
นอกเหนือจากที่กล่าวมา ผู้ใช้อำนาจรัฐยังต้องทำตัวเป็นแบบอย่างของคนที่มีความรู้ความสามารถในการปกครองบริหาร การจัดการปัญหาสังคมและการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ มีศีลธรรมและจริยธรรม มีหลักการในการปกครองให้บ้านเมืองผาสุก เกิดความยุติธรรมโดยทั่วหน้า เพื่อเสริมกับภารกิจดังกล่าวก็มีบทบาทในทางพิธีกรรม ทั้งพิธีกรรมที่เป็นของรัฐและของราษฎร ซึ่งในอดีตสังคมเกษตรก็จะมีพิธีกรรมเรื่องการขอฝน การปัดเป่าเคราะห์ร้าย การบวงสรวงเทพและเทวะต่างๆ การบวงสรวงและพิธีกรรมจึงเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการปกครองบริหารบ้านเมืองตั้งแต่สมัยโบราณ
แต่คนที่อยู่ในสังคมทุกสังคมมีสิ่งที่พึงประสงค์เดียวกัน นั่นคือความศานติสุขปลอดจากภัยจากภายในและภายนอก แคล้วคลาดจากภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด มีชีวิตอยู่อย่างผาสุกโดยอยู่ร่วมกันภายใต้วัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำมาหากินโดยสุจริต มีความสุขกายสบายใจ สามารถดูแลครอบครัวให้เจริญเติบโต มีอนาคตตามวัฒนธรรมที่กำหนดขึ้นในสังคม
แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งก็คือ ทรัพยากรในทุกสังคมมักจะมีจำกัด ดังนั้นจึงต้องจัดระบบการแบ่งปันทรัพยากรอย่างทั่วถึง เริ่มต้นจากที่ดินทำกินในสังคมเกษตร และน้ำที่ต้องแบ่งปันใช้กันอย่างยุติธรรม การเก็บภาษีของรัฐก็ต้องอยู่ในระดับที่ไม่สร้างปัญหาให้แก่ประชาชน นอกเหนือจากนั้น การออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการจัดระเบียบสังคม เช่น การกำหนดสถานะทางสังคมก็ต้องเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ ไม่ให้นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรงของชนชั้นจนเปิดโอกาสให้มีการข่มเหงรังแกคนชั้นล่างโดยคนที่มีฐานะสูงกว่า แต่ที่สำคัญที่สุดอำนาจรัฐจะต้องมีความชอบธรรมด้วยกติกาอันเป็นที่ยอมรับของประชาชน และด้วยคุณลักษณะของตัวบุคคลที่ต้องมีความรู้ความสามารถ มีศีลธรรมและจริยธรรม และมีความยุติธรรม
เมื่อใดก็ตามที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นจะต้องมีกลไกที่จะแก้ไขความขัดแย้งนั้น โดยการแก้ไขนั้นเป็นที่ยอมรับของสังคมโดยรวม เมื่อไหร่ก็ตามกลไกการแก้ไขความขัดแย้งไม่เป็นที่ยอมรับเนื่องจากมีความอยุติธรรมที่เห็นเด่นชัด กลไกดังกล่าวก็จะล้มเหลว เมื่อความขัดแย้งถึงจุดๆ หนึ่งและไม่สามารถแก้ไขได้ในกลไกของระบบ มนุษย์ก็จะหันไปแก้ไขความขัดแย้งด้วยการใช้ความรุนแรง
กล่าวโดยสรุป เมื่อกลไกของสังคมทั้งในทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ ไม่สามารถจะแก้ไขความขัดแย้งได้โดยสันติและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย กลไกดังกล่าวหรือระบบดังกล่าวก็จะหมดความชอบธรรม ไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ดุลยภาพของสังคมก็จะสั่นคลอน ความชอบธรรมของระบบก็เริ่มจะล่มสลาย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการนำไปสู่สภาวะของอนาธิปไตย
กรณีตัวอย่างที่เห็นได้ในประวัติศาสตร์ก็คือ กรณีของสังคมจีนโบราณ ในยุคปลายราชวงศ์แมนจูเมื่อมีการกบฏเกิดขึ้นหลายแห่งในประเทศจีน ที่รุนแรงที่สุดก็ได้แก่กบฏไต้เผ็งและกบฏชาวมุสลิม จากนั้นก็มีขบวนการปฏิรูปการเมืองนำโดยคังอยู่เหวย และขบวนการปฏิวัติเพื่อล้มระบบนำโดยนายแพทย์ซุนยัดเซ็น หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน ค.ศ. 1911 สังคมจีนก็ตกอยู่ในสภาวะของความขัดแย้งระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งนำโดยเหมา เจ๋อตุง และฝ่ายประชาธิปไตยหรือจีนคณะชาติซึ่งนำโดยนายพลเจียง ไคเช็ค จีนตกอยู่ในสภาวะของอนาธิปไตยจนกระทั่งเกิดความสงบลงเมื่อเหมา เจ๋อตุง ยึดแผ่นดินใหญ่ใน ค.ศ. 1949 แต่สังคมจีนก็ยังตกอยู่ในความปั่นป่วนจนกระทั่งรุนแรงที่สุดเมื่อมีปฏิวัติวัฒนธรรมซึ่งกินเวลาถึง 10 ปีเต็ม
ญี่ปุ่นก่อนสมัยเมจิก็เกิดความปั่นป่วนเช่นเดียวกัน ในยุค 260 ปีภายใต้รัฐบาลโตกุกาวะมีกบฏชาวนาถึง 2,800 กว่าครั้ง นอกจากนั้นยังมีการลุกฮือขึ้นในเมืองต่างๆ หลายร้อยครั้งด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวเนื่องจากความไม่พอใจการบริหารที่ล้มเหลว และการเก็บภาษีที่กระทำโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของชาวนา จนเมื่อมีการสถาปนาการฟื้นฟูเมจิ สังคมญี่ปุ่นจึงเริ่มเข้ารูปเข้ารอย แต่ต่อมาไม่นานก็มีนโยบายสงครามโดยรบกับจีนและรัสเซียเรื่อยไปจนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง ในขณะนั้นดุลยภาพสังคมญี่ปุ่นก็ถูกกระทบ และยิ่งหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สองดุลยภาพของสังคมญี่ปุ่นดั้งเดิมก็ถูกสั่นคลอน จนมาสู่สภาวะปัจจุบันก็กลับสู่ความมีเสถียรภาพอีกครั้งหนึ่งในภาพรวม
การรักษาดุลยภาพของสังคมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย แต่ขณะเดียวกันถ้าระบบแข็งพอสังคมก็จะมีดุลยภาพโดยพิจารณาจากการต่อเนื่องระยะยาว กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีสังคมใดที่จะมีดุลยภาพอย่างแน่นิ่ง สังคมจะมีการพัฒนา จากนั้นก็จะสะดุดด้วยปัญหา และก็จะขยับตัวขึ้นมาใหม่โดยจะมีลักษณะเหมือนลูกคลื่นขึ้นลง แต่ตราบที่ยังเป็นคลื่นที่ขึ้นลงในแบบกระสวนเดียวไม่เหวี่ยงขึ้นลงอย่างสุดโต่งก็ต้องถือว่าสังคมนั้นมีดุลยภาพแบบพลวัต (dynamic equilibrium)
แต่เมื่อใดก็ตามที่มีความขัดแย้งถึงขนาดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างพื้นฐานที่เรียกว่าการปฏิวัติพลิกแผ่นดิน ก็ต้องถือว่าสังคมนั้นเสียดุลยภาพอย่างหนัก จนระบบการเมืองเดิมสิ้นสลาย เช่น การปฏิวัติในจีนเมื่อ ค.ศ. 1911 และการปฏิวัติในรัสเซีย ค.ศ.1917 เป็นต้น
ถ้าสัจธรรมของมนุษย์ตามหลักศาสนาพุทธคือความเป็นอนิจจัง สังคมมนุษย์ก็มีลักษณะใกล้เคียงกันอันเห็นได้จากการล่มสลายของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ และอาณาจักรที่รุ่งเรืองจำนวนไม่น้อย จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิมองโกล จักรวรรดิอังกฤษ จักรวรรดิรัสเซีย ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เคยเจริญรุ่งเรืองมาแล้วทั้งสิ้น หลักการเรื่องสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ที่มีความไม่แน่นอนและความเป็นอนิจจังเป็นฐาน ก็น่าจะใช้การวิเคราะห์สังคมมนุษย์ได้ แม้สังคมมนุษย์จะมีความมั่นคงกว่ามนุษย์ที่เป็นปัจเจกบุคคลเพราะมีการจัดตั้งสถาบันอย่างแข็งขัน แต่ก็คงหนีไม่พ้นหลักการสูงสุดคือความไม่แน่นอน
สังคมมนุษย์เกิดขึ้นเนื่องจากมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม โดยลักษณะอุปนิสัยและจิตใจโดยธรรมชาติมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้น การอยู่รวมกันเป็นสังคมจึงเป็นปรากฏการณ์ตามปกติ นอกเหนือจากธรรมชาติที่ต้องอยู่รวมกันแล้ว การอยู่รวมกันเป็นสังคมของมนุษย์ยังมาจากเหตุผลหลายประการ การรวมกันเป็นกลุ่มทำให้สามารถผนึกกำลังกันเพื่อทำการที่มนุษย์คนเดียวไม่สามารถจะทำได้ เช่น การล่าสัตว์ใหญ่ สิ่งก่อสร้างที่ต้องใช้กำลังคนผสานกัน นอกจากนั้นการพึ่งพาอาศัยกัน การต่อสู้เพื่อป้องกันเผ่าพันธุ์ หรือการรุกรานของสัตว์ร้าย ก็เป็นเหตุผลสำคัญของการอยู่ร่วมกันเพื่อรักษาไว้ซึ่งการอยู่รอดของเผ่า
แต่การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ย่อมหนีไม่พ้นที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งจะมีความขัดแย้งในเรื่องอาหาร การแย่งคู่ จนถึงเรื่องสถานะทางสังคม และอำนาจในการจัดการทรัพยากร นอกจากนั้นยังมีประเด็นเกี่ยวกับสังคมที่จะต้องมีการจัดระเบียบ เช่น เรื่องครอบครัวซึ่งจะต้องเป็นสิทธิของแต่ละครอบครัว จะเข้าไปรุกรานโดยเข้าไปเอาลูกเมียคนอื่นมาโดยพละการไม่ได้ หรือการเคารพในสิทธิทรัพย์สินของผู้อื่น
แต่การที่จะจัดระเบียบสังคมดังกล่าวนี้จะต้องกระทำโดยผู้ซึ่งมีอำนาจ ซึ่งในตอนเริ่มต้นของมนุษย์ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่แข็งแรงที่สุด หรือผู้ที่มีความสามารถในการแก้ปัญหา เช่น เก่งกาจในการล่าสัตว์ ในการรบ จีนโบราณนั้นมีตำนานเกี่ยวกับจักรพรรดิองค์แรกๆ ที่คัดสรรมาจากบุคคลที่สามารถทดน้ำแม่น้ำหวงโฮไม่ให้ท่วมบ้านท่วมเมืองได้ก็จะได้รับการสถาปนาเป็นผู้ปกครองสูงสุด
การสถาปนาอำนาจรัฐเช่นนั้นทำให้บุคคลกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งมีอำนาจรัฐ และใช้อำนาจดังกล่าวจัดระเบียบการเมือง ระเบียบสังคม และระเบียบเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความขัดแย้ง แบ่งปันทรัพยากรเพื่อให้เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย ใช้ทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติในการแก้ปัญหาและการพัฒนา และสูงสุดคือการใช้ทรัพยากรต่อสู้ป้องกันการรุกรานจากเผ่าอื่น หรือชนชาติอื่น
นอกเหนือจากที่กล่าวมา ผู้ใช้อำนาจรัฐยังต้องทำตัวเป็นแบบอย่างของคนที่มีความรู้ความสามารถในการปกครองบริหาร การจัดการปัญหาสังคมและการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ มีศีลธรรมและจริยธรรม มีหลักการในการปกครองให้บ้านเมืองผาสุก เกิดความยุติธรรมโดยทั่วหน้า เพื่อเสริมกับภารกิจดังกล่าวก็มีบทบาทในทางพิธีกรรม ทั้งพิธีกรรมที่เป็นของรัฐและของราษฎร ซึ่งในอดีตสังคมเกษตรก็จะมีพิธีกรรมเรื่องการขอฝน การปัดเป่าเคราะห์ร้าย การบวงสรวงเทพและเทวะต่างๆ การบวงสรวงและพิธีกรรมจึงเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการปกครองบริหารบ้านเมืองตั้งแต่สมัยโบราณ
แต่คนที่อยู่ในสังคมทุกสังคมมีสิ่งที่พึงประสงค์เดียวกัน นั่นคือความศานติสุขปลอดจากภัยจากภายในและภายนอก แคล้วคลาดจากภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด มีชีวิตอยู่อย่างผาสุกโดยอยู่ร่วมกันภายใต้วัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำมาหากินโดยสุจริต มีความสุขกายสบายใจ สามารถดูแลครอบครัวให้เจริญเติบโต มีอนาคตตามวัฒนธรรมที่กำหนดขึ้นในสังคม
แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งก็คือ ทรัพยากรในทุกสังคมมักจะมีจำกัด ดังนั้นจึงต้องจัดระบบการแบ่งปันทรัพยากรอย่างทั่วถึง เริ่มต้นจากที่ดินทำกินในสังคมเกษตร และน้ำที่ต้องแบ่งปันใช้กันอย่างยุติธรรม การเก็บภาษีของรัฐก็ต้องอยู่ในระดับที่ไม่สร้างปัญหาให้แก่ประชาชน นอกเหนือจากนั้น การออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการจัดระเบียบสังคม เช่น การกำหนดสถานะทางสังคมก็ต้องเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ ไม่ให้นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรงของชนชั้นจนเปิดโอกาสให้มีการข่มเหงรังแกคนชั้นล่างโดยคนที่มีฐานะสูงกว่า แต่ที่สำคัญที่สุดอำนาจรัฐจะต้องมีความชอบธรรมด้วยกติกาอันเป็นที่ยอมรับของประชาชน และด้วยคุณลักษณะของตัวบุคคลที่ต้องมีความรู้ความสามารถ มีศีลธรรมและจริยธรรม และมีความยุติธรรม
เมื่อใดก็ตามที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นจะต้องมีกลไกที่จะแก้ไขความขัดแย้งนั้น โดยการแก้ไขนั้นเป็นที่ยอมรับของสังคมโดยรวม เมื่อไหร่ก็ตามกลไกการแก้ไขความขัดแย้งไม่เป็นที่ยอมรับเนื่องจากมีความอยุติธรรมที่เห็นเด่นชัด กลไกดังกล่าวก็จะล้มเหลว เมื่อความขัดแย้งถึงจุดๆ หนึ่งและไม่สามารถแก้ไขได้ในกลไกของระบบ มนุษย์ก็จะหันไปแก้ไขความขัดแย้งด้วยการใช้ความรุนแรง
กล่าวโดยสรุป เมื่อกลไกของสังคมทั้งในทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ ไม่สามารถจะแก้ไขความขัดแย้งได้โดยสันติและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย กลไกดังกล่าวหรือระบบดังกล่าวก็จะหมดความชอบธรรม ไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ดุลยภาพของสังคมก็จะสั่นคลอน ความชอบธรรมของระบบก็เริ่มจะล่มสลาย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการนำไปสู่สภาวะของอนาธิปไตย
กรณีตัวอย่างที่เห็นได้ในประวัติศาสตร์ก็คือ กรณีของสังคมจีนโบราณ ในยุคปลายราชวงศ์แมนจูเมื่อมีการกบฏเกิดขึ้นหลายแห่งในประเทศจีน ที่รุนแรงที่สุดก็ได้แก่กบฏไต้เผ็งและกบฏชาวมุสลิม จากนั้นก็มีขบวนการปฏิรูปการเมืองนำโดยคังอยู่เหวย และขบวนการปฏิวัติเพื่อล้มระบบนำโดยนายแพทย์ซุนยัดเซ็น หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน ค.ศ. 1911 สังคมจีนก็ตกอยู่ในสภาวะของความขัดแย้งระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งนำโดยเหมา เจ๋อตุง และฝ่ายประชาธิปไตยหรือจีนคณะชาติซึ่งนำโดยนายพลเจียง ไคเช็ค จีนตกอยู่ในสภาวะของอนาธิปไตยจนกระทั่งเกิดความสงบลงเมื่อเหมา เจ๋อตุง ยึดแผ่นดินใหญ่ใน ค.ศ. 1949 แต่สังคมจีนก็ยังตกอยู่ในความปั่นป่วนจนกระทั่งรุนแรงที่สุดเมื่อมีปฏิวัติวัฒนธรรมซึ่งกินเวลาถึง 10 ปีเต็ม
ญี่ปุ่นก่อนสมัยเมจิก็เกิดความปั่นป่วนเช่นเดียวกัน ในยุค 260 ปีภายใต้รัฐบาลโตกุกาวะมีกบฏชาวนาถึง 2,800 กว่าครั้ง นอกจากนั้นยังมีการลุกฮือขึ้นในเมืองต่างๆ หลายร้อยครั้งด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวเนื่องจากความไม่พอใจการบริหารที่ล้มเหลว และการเก็บภาษีที่กระทำโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของชาวนา จนเมื่อมีการสถาปนาการฟื้นฟูเมจิ สังคมญี่ปุ่นจึงเริ่มเข้ารูปเข้ารอย แต่ต่อมาไม่นานก็มีนโยบายสงครามโดยรบกับจีนและรัสเซียเรื่อยไปจนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง ในขณะนั้นดุลยภาพสังคมญี่ปุ่นก็ถูกกระทบ และยิ่งหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สองดุลยภาพของสังคมญี่ปุ่นดั้งเดิมก็ถูกสั่นคลอน จนมาสู่สภาวะปัจจุบันก็กลับสู่ความมีเสถียรภาพอีกครั้งหนึ่งในภาพรวม
การรักษาดุลยภาพของสังคมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย แต่ขณะเดียวกันถ้าระบบแข็งพอสังคมก็จะมีดุลยภาพโดยพิจารณาจากการต่อเนื่องระยะยาว กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีสังคมใดที่จะมีดุลยภาพอย่างแน่นิ่ง สังคมจะมีการพัฒนา จากนั้นก็จะสะดุดด้วยปัญหา และก็จะขยับตัวขึ้นมาใหม่โดยจะมีลักษณะเหมือนลูกคลื่นขึ้นลง แต่ตราบที่ยังเป็นคลื่นที่ขึ้นลงในแบบกระสวนเดียวไม่เหวี่ยงขึ้นลงอย่างสุดโต่งก็ต้องถือว่าสังคมนั้นมีดุลยภาพแบบพลวัต (dynamic equilibrium)
แต่เมื่อใดก็ตามที่มีความขัดแย้งถึงขนาดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างพื้นฐานที่เรียกว่าการปฏิวัติพลิกแผ่นดิน ก็ต้องถือว่าสังคมนั้นเสียดุลยภาพอย่างหนัก จนระบบการเมืองเดิมสิ้นสลาย เช่น การปฏิวัติในจีนเมื่อ ค.ศ. 1911 และการปฏิวัติในรัสเซีย ค.ศ.1917 เป็นต้น
ถ้าสัจธรรมของมนุษย์ตามหลักศาสนาพุทธคือความเป็นอนิจจัง สังคมมนุษย์ก็มีลักษณะใกล้เคียงกันอันเห็นได้จากการล่มสลายของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ และอาณาจักรที่รุ่งเรืองจำนวนไม่น้อย จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิมองโกล จักรวรรดิอังกฤษ จักรวรรดิรัสเซีย ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เคยเจริญรุ่งเรืองมาแล้วทั้งสิ้น หลักการเรื่องสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ที่มีความไม่แน่นอนและความเป็นอนิจจังเป็นฐาน ก็น่าจะใช้การวิเคราะห์สังคมมนุษย์ได้ แม้สังคมมนุษย์จะมีความมั่นคงกว่ามนุษย์ที่เป็นปัจเจกบุคคลเพราะมีการจัดตั้งสถาบันอย่างแข็งขัน แต่ก็คงหนีไม่พ้นหลักการสูงสุดคือความไม่แน่นอน