ASTVผู้จัดการรายวัน – ดัชนีหุ้นไทยยืนเหนือ 700 จุดแล้ว วานนี้ปิดที่ 703.09 จุด มูลค่าการซื้อขาย 3.6 หมื่นล้านบาท โบรกเกอร์ชี้มีผลจากกระแสเงินที่เข้าตลาดหุ้นในภูมิภาค โอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อยังมีสูง แต่ต้องระวังแรงเทขายจากวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แนะนำกลยุทธ์ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ด้าน “มนตรี”ปลื้มยอดปล่อยมาร์จิ้นโลนปีนี้พุ่งทำนิวไฮด์ จากเดิมสูงสุดทำได้ 2.4 พันล้านบาท ปี 2547 เหตุภาวะตลาดหุ้นไทยดีต่อเนื่อง เร่งเตรียยรียมเงินไว้รองรับถึง 4,000 ล้าน
ในที่สุดดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้(10ก.ย.) ก็สามารถยืนขึ้นมาอยู่เหนือ 700 จุดได้แล้ว โดยปิดที่ระดับ 703.09 จุด เพิ่มขึ้น 7.50 จุด หรือ 1.08% มูลค่าการซื้อขาย 36,680 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 710.62 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 699.70 จุด โดยหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 184 หลักทรัพย์ ลดลง 143 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 142 หลักทรัพย์
ด้านการซื้อขายแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 4,271.90 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 3,898.89 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ซื้อสุทธิ 373 ล้านบาท
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ยังเป็นกระแสจากเงินไหลเข้าต่อเนื่อง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ แม้ช่วงท้ายจะมีแรงเทขายทำกำไรช่วงสั้นออกมาบ้างก็ตาม
โดย 5 อันดับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 3,949.27 ล้านบาท ปิดที่ 264.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 3,091.53 ล้านบาท ปิดที่ 147.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท TOP มูลค่าการซื้อขาย 2,370.11 ล้านบาท ปิดที่ 47.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 2,343.81 ล้านบาท ปิดที่ 26.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท และ BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,298.39 ล้านบาท ปิดที่ 422.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
ขณะที่ ตลาดหุ้นต่างประเทศวานนี้ ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 21,069.56 จุด เพิ่มขึ้น 218.52 จุด หรือ 1.05% และดัชนี สเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,682.02 จุด เพิ่มขึ้น 31.54 จุด หรือ 1.19 %
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ค่อนข้างผันผวนในแดนบวก ขณะที่ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างหนาแน่น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นในต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ในช่วงระหว่างการซื้อขายดัชนีฯ สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะ 710 จุด แต่ไม่สามารถยืนได้ เนื่องจากเผชิญกับแรงขายทำกำไรออกมาบางส่วน ประกอบกับ ช่วงเปิดการซื้อขายช่วงบ่ายตลาดหุ้นฮ่องกงเผชิญกับแรงขายทำกำไรบ้าง ส่งผลกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มปตท.ที่ช่วยหนุนให้ดัชนีฯเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก
สำหรับแนวโน้มของดัชนีฯวันนี้ (11 ก.ย.)ประเมินว่าดัชนีมีโอกาสที่จะฟื้นตัวต่อเนื่อง เพราะคาดการณ์ทิศทางของราคาน้ำมันมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังพบว่าค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยน่าจะทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและช่วยผลักดันให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไร เพราะวันนี้เป็นวันทำการสุดท้ายก่อนหยุดเสาร์และอาทิตย์ จึงอาจจะทำให้นักลงทุนทนบางส่วนแบ่งขายหุ้นทำกำไร กลยุทธ์ แนะนำ รอซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยประเมินแนวต้านดัชนีฯ 710 จุด แนวรับ 700-698 จุด
ด้านนายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดยังเป็นกระแสจากเงินทุนที่ไหลเข้าในช่วงนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทำให้ตลาดสามารถผ่านแนวต้านจิตวิทยาที่ระดับ 700 จุด และขึ้นมาสูงสุดถึง 710 จุด แต่ช่วงท้ายเริ่มมีแรงเทขายทำกำไรออกมาช่วงสั้น
ส่วนแนวโน้มวันนี้(11ก.ย.) เนื่องจากเป็นสุดสัปดาห์ก็ต้องระวังแรงขายในช่วงสั้นๆ แต่ถ้าปรับตัวลงมาน่าจะเป็นจังหวะของการเข้าไปซื้อเล่นรอบใหม่ได้ เพราะสิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดว่าตลาดจะลงหรือจะขึ้นต่อไปให้ดูจำนวนซื้อสุทธิของต่างชาติเป็นหลักมากกว่า
***โบรกฯปลื้มมาร์จิ้นโลนพุ่ง
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน)ของบริษัทน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากขึ้น จากปัจจุบันที่มี 2,300 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวในระดับที่ดีต่อเนื่อง และนักลงทุนของบริษัทได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนทำให้ยังมีการขอมาร์จิ้นโลนจากบริษัทต่อเนื่อง
ทั้งนี้ยอดการปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทอยู่ที่2,300 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 5 ปี และเป็นอันดับ1 ของโบรกเกอร์ที่มียอดการปล่อยมาร์จิ้นสูงสุดหากไม่นับรวมการปล่อยมาร์จิ้นของบริษัทหลักทรัพย์เพิ่มธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน)หรือ TSFC และบริษัทได้มีการเตรียมวงเงินในการปล่อยมาร์จิ้นมากขึ้น โดยสามารถปล่อยได้ถึง 3-4 พันล้านบาท
“บริษัทมียอดปล่อยมาร์จิ้นโลนปัจจุบัน 2.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นอันดับ1 ที่มียอดการปล่อยมาร์จิ้นโลนสูงที่สุดในระบบ โดยไม่นับการปล่อยของบล.ทีเอสเอฟซี และแต่เดิมปีที่บริษัทมียอดการปล่อยสูงสุดของบริษัทคือ 2.4 พันล้านบาท ในปี 2547 โดยช่วงที่ตลาดเงียบสุด บริษัทมียอดปล่อยมาร์จิ้นที่ 800-900 ล้านบาท ฉ,ธช่วงภาวะระดับกลางมียอดปล่อย 1.2-1.3 พันล้านบาท ซึ่งจากภาวะตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น จึงคาดว่าธุรกรรมดังกล่าวน่าจะดีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นบริษัทจึงเตรียมวงเงินในการปล่อยมาร์จิ้นเพิ่ม ซึ่งสามารถปล่อยได้ถึง 4 พันล้านบาท ”นายมนตรี กล่าว
สำหรับการที่บริษัทมีการปล่อยมาร์จิ้นมากขึ้นนั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทเหมือนกับในปีที่ผ่านที่ได้รับความเสียหายจากปล่อยมาร์จิ้นโลน เพราะ บริษัทมีการควบคุมความเสี่ยงในการปล่อยมาร์จิ้นมากขึ้น และมีการเลือกหุ้นในการปล่อย จึงไม่น่าส่งผลกระทบเท่าใด และจากการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวดีขึ้นนั้น ทำให้มีนักลงทุนเข้ามาเปิดบัญชีกับบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเดือนมิถุนายน บริษัทมีลูกค้าเปิดบัญชีรวม 6.4 หมื่นบัญชี
ในที่สุดดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้(10ก.ย.) ก็สามารถยืนขึ้นมาอยู่เหนือ 700 จุดได้แล้ว โดยปิดที่ระดับ 703.09 จุด เพิ่มขึ้น 7.50 จุด หรือ 1.08% มูลค่าการซื้อขาย 36,680 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 710.62 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 699.70 จุด โดยหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 184 หลักทรัพย์ ลดลง 143 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 142 หลักทรัพย์
ด้านการซื้อขายแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 4,271.90 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 3,898.89 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ซื้อสุทธิ 373 ล้านบาท
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ยังเป็นกระแสจากเงินไหลเข้าต่อเนื่อง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ แม้ช่วงท้ายจะมีแรงเทขายทำกำไรช่วงสั้นออกมาบ้างก็ตาม
โดย 5 อันดับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 3,949.27 ล้านบาท ปิดที่ 264.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 3,091.53 ล้านบาท ปิดที่ 147.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท TOP มูลค่าการซื้อขาย 2,370.11 ล้านบาท ปิดที่ 47.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 2,343.81 ล้านบาท ปิดที่ 26.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท และ BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,298.39 ล้านบาท ปิดที่ 422.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
ขณะที่ ตลาดหุ้นต่างประเทศวานนี้ ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 21,069.56 จุด เพิ่มขึ้น 218.52 จุด หรือ 1.05% และดัชนี สเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,682.02 จุด เพิ่มขึ้น 31.54 จุด หรือ 1.19 %
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ค่อนข้างผันผวนในแดนบวก ขณะที่ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างหนาแน่น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นในต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ในช่วงระหว่างการซื้อขายดัชนีฯ สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะ 710 จุด แต่ไม่สามารถยืนได้ เนื่องจากเผชิญกับแรงขายทำกำไรออกมาบางส่วน ประกอบกับ ช่วงเปิดการซื้อขายช่วงบ่ายตลาดหุ้นฮ่องกงเผชิญกับแรงขายทำกำไรบ้าง ส่งผลกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มปตท.ที่ช่วยหนุนให้ดัชนีฯเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก
สำหรับแนวโน้มของดัชนีฯวันนี้ (11 ก.ย.)ประเมินว่าดัชนีมีโอกาสที่จะฟื้นตัวต่อเนื่อง เพราะคาดการณ์ทิศทางของราคาน้ำมันมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังพบว่าค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยน่าจะทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและช่วยผลักดันให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไร เพราะวันนี้เป็นวันทำการสุดท้ายก่อนหยุดเสาร์และอาทิตย์ จึงอาจจะทำให้นักลงทุนทนบางส่วนแบ่งขายหุ้นทำกำไร กลยุทธ์ แนะนำ รอซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยประเมินแนวต้านดัชนีฯ 710 จุด แนวรับ 700-698 จุด
ด้านนายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดยังเป็นกระแสจากเงินทุนที่ไหลเข้าในช่วงนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทำให้ตลาดสามารถผ่านแนวต้านจิตวิทยาที่ระดับ 700 จุด และขึ้นมาสูงสุดถึง 710 จุด แต่ช่วงท้ายเริ่มมีแรงเทขายทำกำไรออกมาช่วงสั้น
ส่วนแนวโน้มวันนี้(11ก.ย.) เนื่องจากเป็นสุดสัปดาห์ก็ต้องระวังแรงขายในช่วงสั้นๆ แต่ถ้าปรับตัวลงมาน่าจะเป็นจังหวะของการเข้าไปซื้อเล่นรอบใหม่ได้ เพราะสิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดว่าตลาดจะลงหรือจะขึ้นต่อไปให้ดูจำนวนซื้อสุทธิของต่างชาติเป็นหลักมากกว่า
***โบรกฯปลื้มมาร์จิ้นโลนพุ่ง
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน)ของบริษัทน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากขึ้น จากปัจจุบันที่มี 2,300 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวในระดับที่ดีต่อเนื่อง และนักลงทุนของบริษัทได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนทำให้ยังมีการขอมาร์จิ้นโลนจากบริษัทต่อเนื่อง
ทั้งนี้ยอดการปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทอยู่ที่2,300 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 5 ปี และเป็นอันดับ1 ของโบรกเกอร์ที่มียอดการปล่อยมาร์จิ้นสูงสุดหากไม่นับรวมการปล่อยมาร์จิ้นของบริษัทหลักทรัพย์เพิ่มธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน)หรือ TSFC และบริษัทได้มีการเตรียมวงเงินในการปล่อยมาร์จิ้นมากขึ้น โดยสามารถปล่อยได้ถึง 3-4 พันล้านบาท
“บริษัทมียอดปล่อยมาร์จิ้นโลนปัจจุบัน 2.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นอันดับ1 ที่มียอดการปล่อยมาร์จิ้นโลนสูงที่สุดในระบบ โดยไม่นับการปล่อยของบล.ทีเอสเอฟซี และแต่เดิมปีที่บริษัทมียอดการปล่อยสูงสุดของบริษัทคือ 2.4 พันล้านบาท ในปี 2547 โดยช่วงที่ตลาดเงียบสุด บริษัทมียอดปล่อยมาร์จิ้นที่ 800-900 ล้านบาท ฉ,ธช่วงภาวะระดับกลางมียอดปล่อย 1.2-1.3 พันล้านบาท ซึ่งจากภาวะตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น จึงคาดว่าธุรกรรมดังกล่าวน่าจะดีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นบริษัทจึงเตรียมวงเงินในการปล่อยมาร์จิ้นเพิ่ม ซึ่งสามารถปล่อยได้ถึง 4 พันล้านบาท ”นายมนตรี กล่าว
สำหรับการที่บริษัทมีการปล่อยมาร์จิ้นมากขึ้นนั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทเหมือนกับในปีที่ผ่านที่ได้รับความเสียหายจากปล่อยมาร์จิ้นโลน เพราะ บริษัทมีการควบคุมความเสี่ยงในการปล่อยมาร์จิ้นมากขึ้น และมีการเลือกหุ้นในการปล่อย จึงไม่น่าส่งผลกระทบเท่าใด และจากการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวดีขึ้นนั้น ทำให้มีนักลงทุนเข้ามาเปิดบัญชีกับบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเดือนมิถุนายน บริษัทมีลูกค้าเปิดบัญชีรวม 6.4 หมื่นบัญชี