xs
xsm
sm
md
lg

5เดือนตปท.ซื้อสุทธิ1.5หมื่นล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – เม็ดเงินต่างชาติทะลักเข้าตลาดหุ้นไทยไม่หยุด พบตั้งแต่ต้นปีซื้อสุทธิแล้ว 1.5 หมื่นล้าน ภาพรวมปรับตัวดีขึ้นมาตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา ดันวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยต่อวันขยับเข้าใกล้ 1.3 หมื่นล้านบาท จากความมั่นใจในทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โบรกเกอร์ยอมรับได้อานิสงส์ ยอดมาร์จิ้นโลนปรับเพิ่ม บล.ฟิลลิปและกิมเอ็ง โชว์พุ่งขึ้น 50-60% ตามความต้องการเม็ดเงินลงทุน ส่วนมิ.ย.นี้ยกปัจจัยราคาน้ำมัน และสถานการณ์โลกเป็นตัวบ่งชี้การขึ้นลงดัชนี
ตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา ได้ส่งสัญญาณปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากที่นักลงทุนต่างคาดการณ์ ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปเรียบร้อยแล้ว และยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เป็นดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น สืบเนื่องจากมาตรการสำคัญๆ ที่ทุกๆ ประเทศทั่วโลกร่วมกันนำออกมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ASTV ผู้จัดการรายวัน ได้สำรวจภาวการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นทั้งตั้งแต่ต้นปี 2552 พบว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น แม้ในช่วง 1-2 เดือนแรกของปี ยังได้รับกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องจากปลายปี 2551 แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยและมูลค่าการซื้อขายได้ปรับตัวดีขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2552
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นและปิดที่ 560.41 จุด (31 พ.ค. 52) เทียบกับสิ้นปี 2551 ที่ระดับ 449.96 จุด (31 ธ.ค.51) ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 110.45 จุด หรือคิดเป็น 24.55% ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ขยับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.45 ล้านล้านบาท จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 3.57 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 0.88 ล้านล้านบาท คิดเป็น 24.65%
หากพิจารณาจากมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันตั้งแต่ต้นปี 2552 พบมูลค่าการซื้อขายคึกคักมากขึ้นเช่นกัน คือมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมอยู่ที่ 12,848.27 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนตั้งแต่มกราคม – พฤษภาคม 2552 มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 10,575.86 ล้านบาท 7,233.25 ล้านบาท 8,149.70 ล้านบาท 15,472.57 ล้านบาท และ 24,418.50 ล้านบาท ตามลำดับ
จากบรรยากาศการซื้อขายที่คักคักนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากนักลงทุนต่างประเทศที่เริ่มเกิดความมั่นใจและกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ส่งผลให้เริ่มมียอดซื้อสุทธิกลับเข้ามาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 จากก่อนหน้าที่มียอดขายสุทธิมาตลอด โดยตั้งแต่ มกราคม – กุมภาพันธ์ นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิ 4,218.90 ล้านบาท และ 3,475.65 ล้านบาท ขณะที่ มีนาคม – พฤษภาคม มียอดซื้อสุทธิ 2,148.12 ล้านบาท 3,815.99 ล้านบาท และ 8,089.72 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ได้ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 6,359.28 ล้านบาท และส่งผลให้ล่าสุด (5 มิ.ย. 52) ยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นสูงกว่า 15,108.58 ล้านบาท

**มาร์จิ้นโลนขยับตามดัชนี
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ฟิลลิป(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ทำให้นักลงทุนมีความต้องการการเงินทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะการมาขอวงเงินสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) ทำให้ช่วงนี้บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์)ต่างๆมีการปล่อยมาร์จิ้นมากขึ้น
ทั้งนี้ยอดการปล่อยมาร์จิ้นของบล.ฟิลลิป มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 50-60% มาอยู่ที่ระดับ 500 ล้านบาท จากช่วงต้นปีที่อยู่ที่ระดับ 300 ล้านบาท โดยนักลงทุนเข้ามาขอวงเงินกู้มากขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน นี้ ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าที่เข้ามาขอมาร์จิ้นโลนนั้น จะเป็นลักษณะการซื้อขายรายวัน จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ดีกับบริษัททำให้มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าลูกค้าที่มีการขอวงเงินมาร์จิ้นซื้อหุ้นในพอร์ตนานๆ
อีกทั้งจากเรื่องดังกล่าว ทำให้บริษัทใช้เงินจำนวนไม่มากในการปล่อยมาร์จิ้น โลน เพราะ เม็ดเงินจะหมุนเวียน และลูกค้าของบริษัทมีการหมุนเวียนในการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้น แต่การที่นักลงทุนมีการเข้ามาขอมาร์จิ้นโลนในปริมาณที่สูงนั้น จะเกิดระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการทำธุรกิจของโบรกเกอร์ที่จะได้รับรายได้จากการปล่อยมาร์จิ้นมากขึ้นในช่วงไตรมาส2/52 นี้
“ในช่วงภาวะที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นทำให้นักลงทุนต้องการกำลังในการซื้อหุ้นมากขึ้น ทำให้บล.มีการปล่อยวงเงินมาร์จิ้นมากขึ้นในช่วง 1-2 เดือนนี้ แต่ลักษณะแบบนี้จะเกิดขึ้นปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น ทำให้ช่วงนี้การปล่อยมาร์จิ้นของโบรกเกอร์จะสูงขึ้น ซึ่งของบริษัทนั้นก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน 50-60% แต่วงเงินการปล่อยของบริษัทไม่มากจากการที่ลูกค้ามีการเทรดระยะสั้น ซื้อขายภายในวันเดียวกัน หรือซื้อวันนี้ขายพรุ่งนี้เป็นส่วนใหญ่” นายสุชาย กล่าว
ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วง 1-2 เดือนนี้ มูลค่าการปล่อยมาร์จิ้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่มีนักลงทุนมาขอวงเงินมาร์จิ้นน้อย เพียง 1,000 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจึงทำให้นักลงทุนมีความต้องการเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ โดยการที่บริษัทมีการปล่อยมาร์จิ้นมากขึ้น ไม่ได้เกี่ยวกับการที่บล.เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ หยุดในการปล่อยมาร์จิ้น แต่อย่างใด

**แนะติดตามเพื่อนบ้าน-ราคาน้ำมัน
ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันศุกร์ (5มิ.ย.)ที่ผ่านมา พบว่ายังปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 10 จุด เป็นวันที่ 3 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปิดที่ 604.57 จุด เพิ่มขึ้น 10.97 จุด หรือ 1.85% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 605.34 จุด ตำสุดที่ 595.47 จุด มูลค่าการซื้อขาย 31,493.58 ล้านบาท และนับเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 8 เดือนที่ดัชนีหุ้นไทยกลับมาแตะในระดับ 600 จุดได้อีครั้ง โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,131.56 ล้านบาท
นายโกสินท์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สัปดาห์ที่แล้ว (5มิ.ย.) ค่อนข้างสดใส ผลจากราคาน้ำโลกขยับขึ้นต่อเนื่องจนมาแตะ 69.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลล์ ส่วนความวุ่นวายของการเมืองนั้นไม่มีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของนักลงทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์แต่อย่างใด
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (8มิ.ย.) คาดว่าแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนควรจับตาดัชนีดาวโจนส์ รวมถึงราคาน้ำมันโลก ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรทยอยเทขายหุ้นทำกำไรระยะสั้นเมื่อดั ชนีเข้าใกล้แนวต้าน เพื่อป้องกันความเสี่ยงหลังราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายวัน ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 590-595 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 610 จุด
ด้านนายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทย เคลื่อนไหวด้านบวก หลังราคาน้ำมันโลกทะยานขึ้นเกือบแตะ 70 ดอลลาร์ต่อบาเรลล์จนทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น PTT PTTEP ตลอดทั้งวัน ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองในประเทศนั้นไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวต่อดัชนีมากนัก เนื่องจากไม่มีปัจจัยที่กระตุ้นหรือฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุน
“บรรยากาศซื้อขายหุ้นไทยวันนี้ เชื่อว่าจะเคลื่อนไหวกรอบแคบๆ แต่อย่างไรก็ดีควรรอดูราคาน้ำโลก และตลาดหุ้นเอเชีย และปัจจัยต่างประเทศ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะให้นักลงทุนควรทยอยขายหุ้นกลุ่มพลังงานหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นและทยอยเก็บหุ้นกลุ่มรับเหมาเมื่อดัชนีอ่อนตัวลงเข้าใกล้แนวรับ โดยให้กรอบแนวรับที่ 610-615 จุด ส่วนแนวต้านที่ 610 จุด
ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิถุนายน 52 คงต้องจับตาราคาน้ำมันโลกซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้การปรับขึ้นลงของดัชนีเพราะเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนค่อนข้างมากในตลาด รวมถึงปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯภายใต้การนำของนายบารัค โอบามา
ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS กล่าวว่า บรรยากาศการซื้อขายหุ้นไทยสัปดาห์ก่อน ทะยานขึ้นกว่า 10 จุด โดยมีแรงซื้อเขามาอย่างหนาแน่ในหุ้นกลุ่มธนาคารพณิชย์ พลังงาน และขนส่ง ตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียและสหรัฐฯ ทำให้คาดว่าดัชนีหุ้นไทยวันนี้น่าจะบวกต่อได้อีก แต่ก็ไม่ควรประมาทและต้องสังเกตการปรับขึ้นลงของตลาดหุ้นต่างประเทศและราคาน้ำมันโลก ด้วยดังนั้นจึงแนะนำในช่วงนี้ควรซื้อขายในระยะสั้นตามการเคลื่อนไหวต่างประเทศ ซึ่งมองแนวรับอยู่ที่ 595 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 630 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น