ASTV ผู้จัดการรายวัน – ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวตามตลาดหุ้นต่างประเทศ เพิ่มขึ้นเกือบ 13 จุด ไม่สนใจข่าวลบมูดี้ส์เล็งปรับลดเครดิต11แบงก์ไทย และการปรับครม.ในเร็วๆนี้ ภาพรวมต่างชาติซื้อสุทธิแล้วกว่า 5.6 พันล้านบาท ด้านโบรกเกอร์ชี้ปัจจัยภายนอก ความเชื่อมั่นนักลงทุน ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อเนื่องช่วยผลักดัน พร้อมเตือนอย่าชะล่าใจ ต้องติดตามบทสรุปพ.ร.ก.เงินกู้ และราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่าใกล้ชิด แนะนำกลยุทธ์ทยอยเก็บกลุ่มหลักพร้อมปล่อยราคาเมื่อราคาปรับขึ้น
ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯวานนี้ (27พ.ค.) ปิดตัวที่ระดับ 555.41 จุด เพิ่มขึ้น 12.72 จุด หรือ +2.34% ซึ่งการซื้อขายหุ้นวานนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 556.43 จุด และจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 548.94 จุด มูลค่าการซื้อขาย 18,017.14 ล้านบาท
ทั้งนี้ภาพรวมแล้ว หลายฝ่ายเชื่อว่า ดัชนีปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศ ซึ่งทำให้บรรยากาศการลงทุนถือว่าสดใส แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะเจอข่าวลบ กรณี มูดี้ส์ฯกำลังทบทวนอันดับเครดิตของหนี้สินและเงินฝากของธนาคารในประเทศไทย 11 แห่ง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลดอันดับความน่าเชื่อถือ อีกทั้งในช่วงปลายสัปดาห์ยังมีตัวเลขเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่จะออกมาเพิ่มเติม
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นในภูมิภาคพบว่า ตลาดหุ้นโซล ดัชนีคอมโพสิต (KOSPI) ปิดที่ระดับ 1,362.02 จุด ปรับลดลง -10.02 จุด เปลี่ยนแปลง -0.73% ตลาดอินเดีย ดัชนี BSE SENSEX 30 ปิดตลาดที่ระดับ 14,109.64 ปรับเพิ่มขึ้น 520.41 จุด เปลี่ยนแปลง 3.83% ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนีสเตรทไทม์ปิดที่ระดับ 2,306.08 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 67.29 จุด เปลี่ยนแปลง 3.0% ดัชนีหุ้นออลออดินารีส์ ปิดที่ระดับ 3,795.30 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 13.70 จุด เปลี่ยนแปลง 0.36%
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 293 หลักทรัพย์ ลดลง 58 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 89 หลักทรัพย์
ด้านหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,697.33 ล้านบาท ปิดที่ 218.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท PTTEPมูลค่าการซื้อขาย 1,382.81 ล้านบาท ปิดที่ 125.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,355.77 ล้านบาท ปิดที่ 19.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท TTA มูลค่าการซื้อขาย 1,032.37 ล้านบาท ปิดที่ 20.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท และ ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 979.48 ล้านบาท ปิดที่ 80.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
ขณะเดียวกัน เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 594.09 ล้านบาท เช่นเดียวกับ สถาบันที่กลับมาซื้อสุทธิ 100.75 ล้านบาท โดยมีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่วานนี้เน้นขายทำกำไร 694.83 ล้านบาท แต่เมื่อย้อนข้อมูลกลับไปถึงต้นปี (1ม.ค.2552) พบว่านักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิแล้ว 5,600.20 ล้านบาท สวนทางกลับสถาบันที่มีการขายสุทธิไปแล้วถึง 9,618.29 ล้านบาท
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีซิมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (27พ.ค.) ทะยานขึ้นกว่า 12 จุด ซึ่งสอดคล้องตลาดหุ้นดาวโจนส์ของสหรัฐที่เคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดวัน รวมทั้งราคาน้ำมันโลกระหว่างที่ปรับตัวขึ้นไปถึง 62.45 ดอลลาร์สหรัฐ/บาเรลล์
ทั้งนี้ จากการประเมินปัจจัยการเมืองในประเทศแม้ว่าจะประเด็นเรื่องการลาออกของนายชาติชาย พุคยากรณ์ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จนทำให้รัฐบาลต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) อีกครั้ง แต่ในเรื่องนี้ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีแต่อย่างใด
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ น่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก แต่นักลงทุนยังคงต้องรอดูการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศ ราคาน้ำโลก รวมถึงพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้จำนวน 4 แสนล้านบาทของรัฐบาลที่ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ ดั้งนั้นจึงแนะนำให้ควรทยอยเก็บหุ้นในกลุ่มหลักและเทขายเมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยให้กรอบแนวรับที่ 540 จุด และแนวต้านที่ 560-570 จุด
ขระที่ นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า วานนี้บรรยากาศซื้อขายหุ้นไทย ค่อนข้างสดใส หลังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำโลกที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน และดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวในแดนบวกตลอดเวลาทำการ
ส่วนกรณีที่มูดี้ส์เตรียมจะปรับลดดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์จำนวน 11 แห่งในประเทศไทย มองว่าเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะมีผลกระทบต่อราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์มากนัก โดยพบว่าราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นในภูมิภาค ที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้นักลงทุนไม่ได้ให้น้ำหนักการลงทุนไปยังประเด็นดังกล่าวมากนัก
“ตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่ายังปรับตัวในแดนบวก แต่อย่างไรก็ดีควรต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดขายบ้านมือสอง ราคาบ้าน รวมทั้งดัชนีดาวโจนส์ เพราะฉะนั้นแนะนักลงทุนควรเริ่มทยอยเก็บหุ้นในกลุ่มพลังงาน เช่น PTT, PTTAR ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 550 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 560-565 จุด” นาวสาวมยุรีกล่าว
ด้านนายมงคล พ่วงเกดรา ผู้ช่วยผู้จัดการ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS กล่าวว่า จากการที่ตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐของสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ประจำเดือนพฤษภาคมที่ปรากฏว่าพุ่งขึ้นเป็น 54.9 จุด จากเมษายนที่ 40.8 จุด ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 6 ปีจนมีผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวในทิศทางที่สดใส ราคาน้ำโลกที่ขยับเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ประเด็นเรื่องที่มูดี้ส์เล็งหั่นเครดิตแบงก์ไทยไม่มีผลต่อการ ปรับขึ้นลงของดัชนีมากนัก
“บรรยากาศซื้อขายหลักทรัพย์ของวันนี้น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยสิ่งสำคัญที่ต้องจับตาก่อนการตัดสินใจลงทุนคือ ยอดขายบ้านมือสอง ตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐของสำนักเอพีไอ และการปรับค.ร.ม.ของรัฐบาล ส่วนกลยุทธ์การลงทุนควรทยอยเก็บหุ้นเมื่อดัชนีเข้าใกล้ระดับ 458 จุด ซึ่งมองแนวรับที่ 548 จุด ขณะที่แนวต้านที่ 558 จุด” นายมงคลกล่าว
ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯวานนี้ (27พ.ค.) ปิดตัวที่ระดับ 555.41 จุด เพิ่มขึ้น 12.72 จุด หรือ +2.34% ซึ่งการซื้อขายหุ้นวานนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 556.43 จุด และจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 548.94 จุด มูลค่าการซื้อขาย 18,017.14 ล้านบาท
ทั้งนี้ภาพรวมแล้ว หลายฝ่ายเชื่อว่า ดัชนีปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศ ซึ่งทำให้บรรยากาศการลงทุนถือว่าสดใส แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะเจอข่าวลบ กรณี มูดี้ส์ฯกำลังทบทวนอันดับเครดิตของหนี้สินและเงินฝากของธนาคารในประเทศไทย 11 แห่ง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลดอันดับความน่าเชื่อถือ อีกทั้งในช่วงปลายสัปดาห์ยังมีตัวเลขเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่จะออกมาเพิ่มเติม
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นในภูมิภาคพบว่า ตลาดหุ้นโซล ดัชนีคอมโพสิต (KOSPI) ปิดที่ระดับ 1,362.02 จุด ปรับลดลง -10.02 จุด เปลี่ยนแปลง -0.73% ตลาดอินเดีย ดัชนี BSE SENSEX 30 ปิดตลาดที่ระดับ 14,109.64 ปรับเพิ่มขึ้น 520.41 จุด เปลี่ยนแปลง 3.83% ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนีสเตรทไทม์ปิดที่ระดับ 2,306.08 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 67.29 จุด เปลี่ยนแปลง 3.0% ดัชนีหุ้นออลออดินารีส์ ปิดที่ระดับ 3,795.30 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 13.70 จุด เปลี่ยนแปลง 0.36%
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 293 หลักทรัพย์ ลดลง 58 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 89 หลักทรัพย์
ด้านหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,697.33 ล้านบาท ปิดที่ 218.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท PTTEPมูลค่าการซื้อขาย 1,382.81 ล้านบาท ปิดที่ 125.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,355.77 ล้านบาท ปิดที่ 19.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท TTA มูลค่าการซื้อขาย 1,032.37 ล้านบาท ปิดที่ 20.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท และ ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 979.48 ล้านบาท ปิดที่ 80.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
ขณะเดียวกัน เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 594.09 ล้านบาท เช่นเดียวกับ สถาบันที่กลับมาซื้อสุทธิ 100.75 ล้านบาท โดยมีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่วานนี้เน้นขายทำกำไร 694.83 ล้านบาท แต่เมื่อย้อนข้อมูลกลับไปถึงต้นปี (1ม.ค.2552) พบว่านักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิแล้ว 5,600.20 ล้านบาท สวนทางกลับสถาบันที่มีการขายสุทธิไปแล้วถึง 9,618.29 ล้านบาท
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีซิมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (27พ.ค.) ทะยานขึ้นกว่า 12 จุด ซึ่งสอดคล้องตลาดหุ้นดาวโจนส์ของสหรัฐที่เคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดวัน รวมทั้งราคาน้ำมันโลกระหว่างที่ปรับตัวขึ้นไปถึง 62.45 ดอลลาร์สหรัฐ/บาเรลล์
ทั้งนี้ จากการประเมินปัจจัยการเมืองในประเทศแม้ว่าจะประเด็นเรื่องการลาออกของนายชาติชาย พุคยากรณ์ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จนทำให้รัฐบาลต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) อีกครั้ง แต่ในเรื่องนี้ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีแต่อย่างใด
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ น่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก แต่นักลงทุนยังคงต้องรอดูการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศ ราคาน้ำโลก รวมถึงพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้จำนวน 4 แสนล้านบาทของรัฐบาลที่ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ ดั้งนั้นจึงแนะนำให้ควรทยอยเก็บหุ้นในกลุ่มหลักและเทขายเมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยให้กรอบแนวรับที่ 540 จุด และแนวต้านที่ 560-570 จุด
ขระที่ นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า วานนี้บรรยากาศซื้อขายหุ้นไทย ค่อนข้างสดใส หลังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำโลกที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน และดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวในแดนบวกตลอดเวลาทำการ
ส่วนกรณีที่มูดี้ส์เตรียมจะปรับลดดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์จำนวน 11 แห่งในประเทศไทย มองว่าเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะมีผลกระทบต่อราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์มากนัก โดยพบว่าราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นในภูมิภาค ที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้นักลงทุนไม่ได้ให้น้ำหนักการลงทุนไปยังประเด็นดังกล่าวมากนัก
“ตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่ายังปรับตัวในแดนบวก แต่อย่างไรก็ดีควรต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดขายบ้านมือสอง ราคาบ้าน รวมทั้งดัชนีดาวโจนส์ เพราะฉะนั้นแนะนักลงทุนควรเริ่มทยอยเก็บหุ้นในกลุ่มพลังงาน เช่น PTT, PTTAR ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 550 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 560-565 จุด” นาวสาวมยุรีกล่าว
ด้านนายมงคล พ่วงเกดรา ผู้ช่วยผู้จัดการ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS กล่าวว่า จากการที่ตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐของสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ประจำเดือนพฤษภาคมที่ปรากฏว่าพุ่งขึ้นเป็น 54.9 จุด จากเมษายนที่ 40.8 จุด ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 6 ปีจนมีผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวในทิศทางที่สดใส ราคาน้ำโลกที่ขยับเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ประเด็นเรื่องที่มูดี้ส์เล็งหั่นเครดิตแบงก์ไทยไม่มีผลต่อการ ปรับขึ้นลงของดัชนีมากนัก
“บรรยากาศซื้อขายหลักทรัพย์ของวันนี้น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยสิ่งสำคัญที่ต้องจับตาก่อนการตัดสินใจลงทุนคือ ยอดขายบ้านมือสอง ตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐของสำนักเอพีไอ และการปรับค.ร.ม.ของรัฐบาล ส่วนกลยุทธ์การลงทุนควรทยอยเก็บหุ้นเมื่อดัชนีเข้าใกล้ระดับ 458 จุด ซึ่งมองแนวรับที่ 548 จุด ขณะที่แนวต้านที่ 558 จุด” นายมงคลกล่าว