บล. ฟิลลิปโอ่ประสบความสำเร็จหลังเปิดให้บริการซื้อขายหุ้นผ่านอินเตอร์เน็ตในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศครบปี ชี้เฉพาะครึ่งแรกปี 52 วอลุ่มเทรดเพิ่มทุกเดือน บางเดือนสูงกว่า 5.7 เท่า เผยลูกค้าที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ลงทุนคนรุ่นใหม่ เร่งขยายฐานรุกกลุ่มลูกค้าสถาบัน และเปิดบริการกองทุนส่วนบุคคลเพื่อลงทุนต่างประเทศ
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าหลังจากที่บริษัทเปิดให้บริการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นต่างประเทศ (ออฟชอร์) ผ่านระบบออนไลน์ของบริษัทประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา พบว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก โดย 6 เดือนแรกปีนี้มีปริมาณการซื้อขายหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกเดือน โดยเพิ่มจากสิ้นปี 2551 กว่า 7.28 เท่า ซึ่งบางเดือนเพิ่มขึ้นกว่า 5.7 เท่า และมีนักลงทุนเปิดบัญชีกับบริษัทฯ แล้วรวม 230 บัญชี ถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ คาดน่าจะได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวน 300 บัญชีภายในสิ้นปี 2552
โดยกลุ่มลูกค้าที่มาเปิดบัญชีและมีการซื้อขายต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ และติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจและกล้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง
" แนวทางการขยายฐานผู้ลงทุนของบริการออฟชอร์ จากนี้ไป บริษัทฯ จะเริ่มทำการตลาดเข้าหากลุ่มลูกค้าสถาบัน โดยเริ่มจากกลุ่มลูกค้าสถาบันที่ซื้อขายหุ้นในประเทศกับบริษัทฯอยู่แล้ว ขณะนี้มีลูกค้าสถาบันสนใจเปิดบัญชีแล้ว 2-3 ราย และบริษัทฯ ยังเปิดบริการกองทุนส่วนบุคคล เพื่อลงทุนต่างประเทศเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่สนใจแต่ไม่สะดวกบริหารพอร์ตลงทุนด้วยตนเอง โดยใช้ทีมผู้จัดการกองทุนของบริษัทแม่ในสิงคโปร์เป็นที่ปรึกษาการลงทุน ซึ่งมีประสบการณ์ลงทุนมาแล้วทั่วโลก " นายสุชายกล่าว
สำหรับการลงทุนออฟชอร์ผ่านอินเตอร์เน็ตที่ บล.ฟิลลิป เปิดให้บริการมี 6 ประเทศ คือสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สิงคโปร์ อังกฤษ ญี่ปุ่นและมาเลเซีย ปัจจุบันมีสัดส่วนลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาสูงเป็นอันดับหนึ่งกว่า 80% อันดับสองคือตลาดหุ้นฮ่องกง 17 % และที่เหลือ 1 % คือตลาดหุ้นสิงคโปร์และอังกฤษ
" ตลาดหุ้นอเมริกาได้รับความสนใจมากสุดเพราะนักลงทุนซื้อขายได้ถึง 3 ตลาด คือ NYSE, NASDAQ และ AMEX ส่วนใหญ่นักลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่รู้จักเป็นอย่างดี และตลาดหุ้นในอเมริกายังมีทางเลือกให้ลงทุนหลากหลายแต่ผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้ สัดส่วนการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาอาจจะลดลงเพราะความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ทั้งดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ที่ออกมาล่าสุดยังย้ำว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังดำเนินต่อไป ผู้ลงทุนน่าจะหันมาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงแทน เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนยังมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลาดหุ้นฮ่องกงมีบริษัทขนาดใหญ่ของจีนที่มีปัจจัยพื้นฐานดีจดทะเบียนอยู่หลายบริษัท และราคาหุ้นถือว่ายังถูก ทั้งยังมีการซื้อขายค่อนข้างเยอะ " นายสุชายกล่าว
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าหลังจากที่บริษัทเปิดให้บริการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นต่างประเทศ (ออฟชอร์) ผ่านระบบออนไลน์ของบริษัทประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา พบว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก โดย 6 เดือนแรกปีนี้มีปริมาณการซื้อขายหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกเดือน โดยเพิ่มจากสิ้นปี 2551 กว่า 7.28 เท่า ซึ่งบางเดือนเพิ่มขึ้นกว่า 5.7 เท่า และมีนักลงทุนเปิดบัญชีกับบริษัทฯ แล้วรวม 230 บัญชี ถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ คาดน่าจะได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวน 300 บัญชีภายในสิ้นปี 2552
โดยกลุ่มลูกค้าที่มาเปิดบัญชีและมีการซื้อขายต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ และติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจและกล้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง
" แนวทางการขยายฐานผู้ลงทุนของบริการออฟชอร์ จากนี้ไป บริษัทฯ จะเริ่มทำการตลาดเข้าหากลุ่มลูกค้าสถาบัน โดยเริ่มจากกลุ่มลูกค้าสถาบันที่ซื้อขายหุ้นในประเทศกับบริษัทฯอยู่แล้ว ขณะนี้มีลูกค้าสถาบันสนใจเปิดบัญชีแล้ว 2-3 ราย และบริษัทฯ ยังเปิดบริการกองทุนส่วนบุคคล เพื่อลงทุนต่างประเทศเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่สนใจแต่ไม่สะดวกบริหารพอร์ตลงทุนด้วยตนเอง โดยใช้ทีมผู้จัดการกองทุนของบริษัทแม่ในสิงคโปร์เป็นที่ปรึกษาการลงทุน ซึ่งมีประสบการณ์ลงทุนมาแล้วทั่วโลก " นายสุชายกล่าว
สำหรับการลงทุนออฟชอร์ผ่านอินเตอร์เน็ตที่ บล.ฟิลลิป เปิดให้บริการมี 6 ประเทศ คือสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สิงคโปร์ อังกฤษ ญี่ปุ่นและมาเลเซีย ปัจจุบันมีสัดส่วนลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาสูงเป็นอันดับหนึ่งกว่า 80% อันดับสองคือตลาดหุ้นฮ่องกง 17 % และที่เหลือ 1 % คือตลาดหุ้นสิงคโปร์และอังกฤษ
" ตลาดหุ้นอเมริกาได้รับความสนใจมากสุดเพราะนักลงทุนซื้อขายได้ถึง 3 ตลาด คือ NYSE, NASDAQ และ AMEX ส่วนใหญ่นักลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่รู้จักเป็นอย่างดี และตลาดหุ้นในอเมริกายังมีทางเลือกให้ลงทุนหลากหลายแต่ผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้ สัดส่วนการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาอาจจะลดลงเพราะความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ทั้งดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ที่ออกมาล่าสุดยังย้ำว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังดำเนินต่อไป ผู้ลงทุนน่าจะหันมาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงแทน เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนยังมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลาดหุ้นฮ่องกงมีบริษัทขนาดใหญ่ของจีนที่มีปัจจัยพื้นฐานดีจดทะเบียนอยู่หลายบริษัท และราคาหุ้นถือว่ายังถูก ทั้งยังมีการซื้อขายค่อนข้างเยอะ " นายสุชายกล่าว