บล.เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ แจง ไม่นำเงินลงทุนหุ้น เข็ดขาดทุนหนักซ้ำรอยอดีต หันลงทุนบอนด์ระยะสั้น คาด ทริสเรทติ้ง ปรับอันดับเครดิตสัปดาห์นี้ ตั้งเป้ายอดปล่อยมาร์จินโลนสิ้นปีแตะ 4 พันล้านบาท หวังปีหน้ากำไร 145 ล้านบาท แต่ปีนี้ขาดทุน เตรียมเจรจาขอวงเงินกู้แบงก์เพิ่มอีก 2 แห่ง ทำให้เพิ่มเป็น 3 พันล้านบาท
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และในฐานะประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSFC เปิดเผยว่า จากนี้ไปบริษัทจะไม่มีการนำเงินไปลงทุนในกองทุนหุ้นอีก หลังจากที่ผ่านมา TSFC ประสบปัญหาทางการเงินจนเกือบเลิกกิจการจากภาวะตลาดหุ้นไม่ดีผ่านมานั้นโดยจะมุ่งเน้นทำธุรกิจหลักในเรื่องการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) และดำเนินงานให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดี และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 3 ปี (2555) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นที่ใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ มีช่องทางในการขายหุ้นออกมาและได้ผลตอบแทนที่ดี
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะมีกำไรในปีหน้าประมาณ 50-60 ล้านบาท และหากมีการประกอบธุรกิจการซื้อคืนพันธบัตร (รีโป) คาดว่า จะมีกำไร 145 ล้านบาท โดยขณะนี้บริษัทมีวงเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ มูลค่า 2,500 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ และอยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคารพาณิชย์ อีก 2 แห่ง ทำให้คาดว่าจะมีวงเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์รวมประมาณ 3,000 ล้านบาท
สำหรับในเร็วๆ นี้ คาดว่ าบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตจากเดิมที่อยู่ในอันดับต่ำสุดของอันดับลงทุน คือ BBB- หลังจากที่ TSFC สามารถปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จและกลับมาดำเนินธุรกิจปกติได้ และทางทริสได้มีการเข้ามาสอบถามข้อมูลแล้ว ซึ่งอนาคตตั้งเป้าว่า TSFC จะมีอันดับเครดิตกับมาที่ระดับ A ได้เหมือนช่วงก่อนที่บริษัทจะประสบปัญหา
นางนภาภรณ์ ลัญฉน์ดี กรรมการผู้จัดาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSFC กล่าวว่า บริษัทเหลือมูลค่าหนี้ที่จะต้องมีการชำระอีก 2 งวด มูลค่ารวม 3,600 ล้านบาท แบ่งเป็นชำระในเดือนธันวาคมนี้ มูลค่า 2,000 ล้านบาท และงวดสุดท้ายในเดือนมิถุนายน 2553 มูลค่า 1,600 ล้านบาท ซึ่งเงินที่จะนำมาชำระหนี้จะมาจากการกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินเพิ่มทุนและวงเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ รวม 4,500 ล้านบาท แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีการเบิกวงเงินมาใช้
“ส่วนตัวหวังว่าทริสจะปรับเพิ่มอันดับเครดิตบริษัทเพิ่มมาอยู่ในระดับที่น่าลงทุน จากปัจจุบันที่อยู่ต่ำสุด และหากเรทติ้งของบริษัทมาอยู่ระดับที่ดีขึ้น บริษัทก็จะเริ่มทยอยระดมทุนจากสถาบันการเงินต่างๆ เพราะ มีต้นทุนที่ต่ำกว่าการกู้แบงก์ ทำให้บริษัทปล่อยสินเชื่อแก่โบรกเกอร์ในต้นทุนที่ต่ำเช่นกัน ซึ่งขณะนี้บริษัทจะต้องมีการสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนให้ดีขึ้น เพื่อจะระดมทุนได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งวานนี้เป็นวันแรกที่ประกอบธุรกิจ” นางนภาภรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดปล่อยมาร์จินโลน สิ้นปีนี้อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มียอดมูลค่าการปล่อยมาร์จินคงค้างอยู่ 1,900 ล้านบาท เนื่องจากหากภาวะตลาดหุ้นมีการปรับตัวดีขึ้นก็จะส่งผลให้มีนักลงทุนเข้ามาวงเงินสินเชื่อกับบริษัทมากขึ้น ซึ่งในเรื่องการปล่อยมาร์จินนั้นบริษัทมีระบบในการดูแลอย่างดีซึ่งจะไม่เกิดปัญหาการปล่อยมาร์จินแน่นอน
สำหรับในปีนี้ผลประกอบการของบริษัทจะมีผลขาดทุนเนื่องจาก บริษัทได้มีการชำระหนี้ และปรับโครงสร้างหนี้และทุนซึ่งใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดเดิมกว่า 1 เดือน ทำให้กลับมาเริ่มดำเนินธุรกิจตามปกติได้ช้า และจากการที่บริษัทจะไม่มีนโยบายในการลงทุนในหุ้นนั้น เม็ดเงินที่บริษัทมีอยู่จะนำไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เอกชน และฝากธนาคารพาณิชย์ แต่จะลงทุนระยะสั้นเท่านั้น
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และในฐานะประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSFC เปิดเผยว่า จากนี้ไปบริษัทจะไม่มีการนำเงินไปลงทุนในกองทุนหุ้นอีก หลังจากที่ผ่านมา TSFC ประสบปัญหาทางการเงินจนเกือบเลิกกิจการจากภาวะตลาดหุ้นไม่ดีผ่านมานั้นโดยจะมุ่งเน้นทำธุรกิจหลักในเรื่องการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) และดำเนินงานให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดี และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 3 ปี (2555) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นที่ใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ มีช่องทางในการขายหุ้นออกมาและได้ผลตอบแทนที่ดี
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะมีกำไรในปีหน้าประมาณ 50-60 ล้านบาท และหากมีการประกอบธุรกิจการซื้อคืนพันธบัตร (รีโป) คาดว่า จะมีกำไร 145 ล้านบาท โดยขณะนี้บริษัทมีวงเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ มูลค่า 2,500 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ และอยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคารพาณิชย์ อีก 2 แห่ง ทำให้คาดว่าจะมีวงเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์รวมประมาณ 3,000 ล้านบาท
สำหรับในเร็วๆ นี้ คาดว่ าบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตจากเดิมที่อยู่ในอันดับต่ำสุดของอันดับลงทุน คือ BBB- หลังจากที่ TSFC สามารถปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จและกลับมาดำเนินธุรกิจปกติได้ และทางทริสได้มีการเข้ามาสอบถามข้อมูลแล้ว ซึ่งอนาคตตั้งเป้าว่า TSFC จะมีอันดับเครดิตกับมาที่ระดับ A ได้เหมือนช่วงก่อนที่บริษัทจะประสบปัญหา
นางนภาภรณ์ ลัญฉน์ดี กรรมการผู้จัดาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSFC กล่าวว่า บริษัทเหลือมูลค่าหนี้ที่จะต้องมีการชำระอีก 2 งวด มูลค่ารวม 3,600 ล้านบาท แบ่งเป็นชำระในเดือนธันวาคมนี้ มูลค่า 2,000 ล้านบาท และงวดสุดท้ายในเดือนมิถุนายน 2553 มูลค่า 1,600 ล้านบาท ซึ่งเงินที่จะนำมาชำระหนี้จะมาจากการกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินเพิ่มทุนและวงเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ รวม 4,500 ล้านบาท แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีการเบิกวงเงินมาใช้
“ส่วนตัวหวังว่าทริสจะปรับเพิ่มอันดับเครดิตบริษัทเพิ่มมาอยู่ในระดับที่น่าลงทุน จากปัจจุบันที่อยู่ต่ำสุด และหากเรทติ้งของบริษัทมาอยู่ระดับที่ดีขึ้น บริษัทก็จะเริ่มทยอยระดมทุนจากสถาบันการเงินต่างๆ เพราะ มีต้นทุนที่ต่ำกว่าการกู้แบงก์ ทำให้บริษัทปล่อยสินเชื่อแก่โบรกเกอร์ในต้นทุนที่ต่ำเช่นกัน ซึ่งขณะนี้บริษัทจะต้องมีการสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนให้ดีขึ้น เพื่อจะระดมทุนได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งวานนี้เป็นวันแรกที่ประกอบธุรกิจ” นางนภาภรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดปล่อยมาร์จินโลน สิ้นปีนี้อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มียอดมูลค่าการปล่อยมาร์จินคงค้างอยู่ 1,900 ล้านบาท เนื่องจากหากภาวะตลาดหุ้นมีการปรับตัวดีขึ้นก็จะส่งผลให้มีนักลงทุนเข้ามาวงเงินสินเชื่อกับบริษัทมากขึ้น ซึ่งในเรื่องการปล่อยมาร์จินนั้นบริษัทมีระบบในการดูแลอย่างดีซึ่งจะไม่เกิดปัญหาการปล่อยมาร์จินแน่นอน
สำหรับในปีนี้ผลประกอบการของบริษัทจะมีผลขาดทุนเนื่องจาก บริษัทได้มีการชำระหนี้ และปรับโครงสร้างหนี้และทุนซึ่งใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดเดิมกว่า 1 เดือน ทำให้กลับมาเริ่มดำเนินธุรกิจตามปกติได้ช้า และจากการที่บริษัทจะไม่มีนโยบายในการลงทุนในหุ้นนั้น เม็ดเงินที่บริษัทมีอยู่จะนำไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เอกชน และฝากธนาคารพาณิชย์ แต่จะลงทุนระยะสั้นเท่านั้น