บลจ.อยุธยา ใกล้หลังบอร์ดตลาดทุนไฟเขียว "TSFC" กลับมาดำเนินธุรกิจตามปกติ มั่นใจ รายได้โต จ่ายคืนหนี้ได้ครบตามกำหนดปีหน้า ส่วนภาระที่ติดมากับ บลจ.พรีมาเวสท์ ไม่น่าห่วง ระบุกระบวนกาคืนหนี้ มาตรฐานเดียวกัน
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) เปิดเผยว่า ภายหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) สามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติ จะทำให้ TSFC กลับมามีรายได้ตามปกติ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้มีเงินมาจ่ายคืนเจ้าหนี้ได้เร็วขึ้นด้วย หลังจากไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตั้งแต่เกิดปัญหาในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
"เมื่อ TSFC สามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติ ก็จะสามารถกลับมาปล่อยสินเชื่อได้เหมือนเดิม ซึ่งการที่เขาลุกขึ้นได้ก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะได้มีเงินมาคืนหนี้เรา"
ทั้งนี้ เชื่อว่า TSFC จะยังได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน หลังจากกลับมาดำเนินธุรกิจได้ปกติแล้ว เพราะฐานะของเงินกองทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับ TSFC เองด้วยว่า จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องของระบบควบคุมความเสี่ยง ว่ามีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสถานการณ์อย่างไรบ้าง ขณะเดียวกัน หากมีการกำกับดูแลนโยบายทางธุรกิจที่ชัดเจน ก็เชื่อว่านักลงทุนจะมั่นใจได้อยู่แล้ว
ส่วนการจ่ายคืนหนี้ นายฉัตรพีกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กองทุนรวมของเราได้รับคืนหน้ามาแล้วในสัดส่วนครึ่งหนึ่ง เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เท่ากันระหว่างลูกหนี้ทั้งหมด โดยตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ คาดว่า TSFC จะสามารถจ่ายคืนหนี้ได้ทั้งหมดภายใน 15 เดือนหลังจากการจ่ายหนี้ครั้งแรก นั่นหมายความว่า เจ้าหนี้ทั้งหมดจะได้หนี้ส่วนที่เหลือประมาณปีหน้า
ส่วนยอดหนี้ TSFC ที่ติดมาจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด ซึ่งบริษัทได้เข้าไปซื้อกิจการไปเมื่อเร็วๆนี้ ในส่วนนี้ก็ไม่เป็นปัญหาหรือเป็นภาระแต่อย่างใด เนื่องจากแนวทางในการชำระหนี้คืนเป็นไปในลักษณะเดียวกันทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการกำกับตลาดทุนได้อนุญาตให้ TSFC กลับมาประกอบธุรกิจได้ตามปกติ หลังจาก ได้ทำการปรับโครงสร้างหนี้ รวมทั้งดำเนินการลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสมและจะทำการเพิ่มทุน โดยผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ได้ลงนามในสัญญาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้ว ซึ่งการเพิ่มทุนคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2552 และจะทำให้ TSFC มีเงินกองทุนเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 1,000 ล้านบาท
โดยคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ได้พิจารณาถึงความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของ TSFC ทั้งในส่วนการปรับโครงสร้างหนี้ การทยอยชำระหนี้ และการเพิ่มทุน ซึ่งหากเพิ่มทุนสำเร็จตามที่ TSFC แจ้ง TSFC จะมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงและภาระผูกพันประมาณร้อยละ 30 ซึ่งเพียงพอสำหรับรองรับการประกอบธุรกิจปกติและเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด (กฎหมายกำหนดไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8) คณะกรรมการกำกับตลาดทุนจึงอนุญาตให้ TSFC ประกอบธุรกิจได้ตามปกติ เมื่อบริษัทดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนกับกระทรวงพาณิชย์ และเมื่อสำนักงาน ก.ล.ต. เข้าตรวจบริษัทและเห็นว่ามีความพร้อมด้านระบบงานและบุคลากรในการดำเนินธุรกิจต่อไป
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) เปิดเผยว่า ภายหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) สามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติ จะทำให้ TSFC กลับมามีรายได้ตามปกติ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้มีเงินมาจ่ายคืนเจ้าหนี้ได้เร็วขึ้นด้วย หลังจากไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตั้งแต่เกิดปัญหาในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
"เมื่อ TSFC สามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติ ก็จะสามารถกลับมาปล่อยสินเชื่อได้เหมือนเดิม ซึ่งการที่เขาลุกขึ้นได้ก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะได้มีเงินมาคืนหนี้เรา"
ทั้งนี้ เชื่อว่า TSFC จะยังได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน หลังจากกลับมาดำเนินธุรกิจได้ปกติแล้ว เพราะฐานะของเงินกองทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับ TSFC เองด้วยว่า จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องของระบบควบคุมความเสี่ยง ว่ามีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสถานการณ์อย่างไรบ้าง ขณะเดียวกัน หากมีการกำกับดูแลนโยบายทางธุรกิจที่ชัดเจน ก็เชื่อว่านักลงทุนจะมั่นใจได้อยู่แล้ว
ส่วนการจ่ายคืนหนี้ นายฉัตรพีกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กองทุนรวมของเราได้รับคืนหน้ามาแล้วในสัดส่วนครึ่งหนึ่ง เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เท่ากันระหว่างลูกหนี้ทั้งหมด โดยตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ คาดว่า TSFC จะสามารถจ่ายคืนหนี้ได้ทั้งหมดภายใน 15 เดือนหลังจากการจ่ายหนี้ครั้งแรก นั่นหมายความว่า เจ้าหนี้ทั้งหมดจะได้หนี้ส่วนที่เหลือประมาณปีหน้า
ส่วนยอดหนี้ TSFC ที่ติดมาจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด ซึ่งบริษัทได้เข้าไปซื้อกิจการไปเมื่อเร็วๆนี้ ในส่วนนี้ก็ไม่เป็นปัญหาหรือเป็นภาระแต่อย่างใด เนื่องจากแนวทางในการชำระหนี้คืนเป็นไปในลักษณะเดียวกันทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการกำกับตลาดทุนได้อนุญาตให้ TSFC กลับมาประกอบธุรกิจได้ตามปกติ หลังจาก ได้ทำการปรับโครงสร้างหนี้ รวมทั้งดำเนินการลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสมและจะทำการเพิ่มทุน โดยผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ได้ลงนามในสัญญาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้ว ซึ่งการเพิ่มทุนคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2552 และจะทำให้ TSFC มีเงินกองทุนเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 1,000 ล้านบาท
โดยคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ได้พิจารณาถึงความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของ TSFC ทั้งในส่วนการปรับโครงสร้างหนี้ การทยอยชำระหนี้ และการเพิ่มทุน ซึ่งหากเพิ่มทุนสำเร็จตามที่ TSFC แจ้ง TSFC จะมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงและภาระผูกพันประมาณร้อยละ 30 ซึ่งเพียงพอสำหรับรองรับการประกอบธุรกิจปกติและเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด (กฎหมายกำหนดไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8) คณะกรรมการกำกับตลาดทุนจึงอนุญาตให้ TSFC ประกอบธุรกิจได้ตามปกติ เมื่อบริษัทดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนกับกระทรวงพาณิชย์ และเมื่อสำนักงาน ก.ล.ต. เข้าตรวจบริษัทและเห็นว่ามีความพร้อมด้านระบบงานและบุคลากรในการดำเนินธุรกิจต่อไป