บล.ทีเอสเอฟซี เริ่มฟื้นมีกำไรให้เห็น หลังภาวะตลาดหุ้นดี-ลูกหนี้ทยอยชำระคืน ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายต่ำลง หลังจ่ายคืนหนี้ให้เจ้าหนี้แล้ว 4.6 พันล้านบาท ด้านที่ปรึกษาฯ แจงผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิไม่ครบ 930 ล้านบาทไม่กระทบ เชื่อเพิ่มทุนครบ 1 พันล้านบาทได้แน่ เดินหน้าลุยธุรกิจปกติ ก.ค.นี้
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST และในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บล.เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน)หรือ TSFC เปิดเผยว่า ขณะนี้TSFC เริ่มกลับมามีกำไรแล้ว จากภาวะตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ลูกหนี้การปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน)ทยอยชำระหนี้ ทำให้ยอดหนี้จาก 3,000 ล้านบาท ลดลงเหลือ 2,100 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบัน TSFC มีเงินสดมูลค่า 1,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทได้ชำระหนี้คืนกับเจ้าหนี้ไปแล้ว 52% หรือ 4.5-4.6 พันล้านบาท ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา จากหนี้สิน 8.2 พันล้านบาท ทำให้บริษัทมีภาระในการชำระดอกเบี้ยลดลง และบริษัทมีรายได้จากดอกเบี้ยจากการที่ปล่อยมาร์จิ้นโลนไปก่อนหน้านี้ การที่ TSFC มีการปรับโครงสร้างหนี้นั้นได้รับส่วนลดในการชำระหนี้จากเจ้าหนี้ รวมถึงการที่บริษัทมีขาดทุนสะสมทำให้บริษัทลดภาระการจ่ายภาษีมูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ คาดว่าปีนี้ TSFC จะกลับมามีกำไรได้ หลังจากที่จะกลับมาดำเนินธุรกิจตามปกติภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะสามารถเพิ่มทุนของบริษัทกลับมาที่ระดับ 1,000 ล้านบาท หลังจากที่ลดทุนเหลือ 62.5 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้มีผู้ถือหุ้นเดิมแสดงความจำนงที่จะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้ว 700 ล้านบาท และอีก 300 ล้านบาท จากการจัดสรรหุ้นให้กับเจ้าหนี้เพื่อแปลงหนี้เป็นทุน
นายมนตรี กล่าวว่า จากการการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขอมติการเพิ่มทุน ซึ่งผู้ถือหุ้นมีมติเอกฉันท์ให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียน 123.75 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท เสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิม 93.75 ล้านหุ้น ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 15 หุ้นใหม่ และอีก 30 ล้านหุ้นจัดสรรให้กับเจ้าหนี้ ซึ่งหากแม้มีผู้ใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนไม่ครบ 93.75 ล้านหุ้น หรือ 930 ล้านบาทก็ไม่มีผล เพราะมีผู้แจ้งความจำนงจะใช้สิทธิเพิ่มทุน 700 ล้านบาท และได้จากเจ้าหนี้อีก 300 ล้านบาท
ทั้งนี้ ถือว่ามีทุนเพียงพอที่จะกลับมาทำธุรกิจปกติได้ โดย TSFC จะได้รับชำระเงินเพิ่มทุนใหม่ประมาณวันที่ 2-3 กรกฎาคมนี้ โดยจะทำให้บริษัทมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง เพิ่มเป็น 20% จากปัจจุบันที่มี 8% โดยบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจการปล่อยมาร์จิ้น และการลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่ดี และจะทำธุรกิจใหม่ คือการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL)และทำทำธุรกิจซื้อคืนพันธบัตร(รีโป)
" หากบริษัทเพิ่มทุนสำเร็จแล้วก็จะส่งหนังสือชี้แจงไปยังก.ล.ต. ซึ่งจากการหารือก่อนหน้านี้หาบริษัทสามารถเพิ่มทุนได้ มีกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามเกณฑ์ก็จะสามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้ และหลังจากได้เงินเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทจะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้อีกครั้งประมาณปลายปีนี้ และอีกครั้งกลางปีหน้า " นายมนตรีกล่าว
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST และในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บล.เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน)หรือ TSFC เปิดเผยว่า ขณะนี้TSFC เริ่มกลับมามีกำไรแล้ว จากภาวะตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ลูกหนี้การปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน)ทยอยชำระหนี้ ทำให้ยอดหนี้จาก 3,000 ล้านบาท ลดลงเหลือ 2,100 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบัน TSFC มีเงินสดมูลค่า 1,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทได้ชำระหนี้คืนกับเจ้าหนี้ไปแล้ว 52% หรือ 4.5-4.6 พันล้านบาท ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา จากหนี้สิน 8.2 พันล้านบาท ทำให้บริษัทมีภาระในการชำระดอกเบี้ยลดลง และบริษัทมีรายได้จากดอกเบี้ยจากการที่ปล่อยมาร์จิ้นโลนไปก่อนหน้านี้ การที่ TSFC มีการปรับโครงสร้างหนี้นั้นได้รับส่วนลดในการชำระหนี้จากเจ้าหนี้ รวมถึงการที่บริษัทมีขาดทุนสะสมทำให้บริษัทลดภาระการจ่ายภาษีมูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ คาดว่าปีนี้ TSFC จะกลับมามีกำไรได้ หลังจากที่จะกลับมาดำเนินธุรกิจตามปกติภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะสามารถเพิ่มทุนของบริษัทกลับมาที่ระดับ 1,000 ล้านบาท หลังจากที่ลดทุนเหลือ 62.5 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้มีผู้ถือหุ้นเดิมแสดงความจำนงที่จะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้ว 700 ล้านบาท และอีก 300 ล้านบาท จากการจัดสรรหุ้นให้กับเจ้าหนี้เพื่อแปลงหนี้เป็นทุน
นายมนตรี กล่าวว่า จากการการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขอมติการเพิ่มทุน ซึ่งผู้ถือหุ้นมีมติเอกฉันท์ให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียน 123.75 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท เสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิม 93.75 ล้านหุ้น ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 15 หุ้นใหม่ และอีก 30 ล้านหุ้นจัดสรรให้กับเจ้าหนี้ ซึ่งหากแม้มีผู้ใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนไม่ครบ 93.75 ล้านหุ้น หรือ 930 ล้านบาทก็ไม่มีผล เพราะมีผู้แจ้งความจำนงจะใช้สิทธิเพิ่มทุน 700 ล้านบาท และได้จากเจ้าหนี้อีก 300 ล้านบาท
ทั้งนี้ ถือว่ามีทุนเพียงพอที่จะกลับมาทำธุรกิจปกติได้ โดย TSFC จะได้รับชำระเงินเพิ่มทุนใหม่ประมาณวันที่ 2-3 กรกฎาคมนี้ โดยจะทำให้บริษัทมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง เพิ่มเป็น 20% จากปัจจุบันที่มี 8% โดยบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจการปล่อยมาร์จิ้น และการลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่ดี และจะทำธุรกิจใหม่ คือการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL)และทำทำธุรกิจซื้อคืนพันธบัตร(รีโป)
" หากบริษัทเพิ่มทุนสำเร็จแล้วก็จะส่งหนังสือชี้แจงไปยังก.ล.ต. ซึ่งจากการหารือก่อนหน้านี้หาบริษัทสามารถเพิ่มทุนได้ มีกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามเกณฑ์ก็จะสามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้ และหลังจากได้เงินเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทจะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้อีกครั้งประมาณปลายปีนี้ และอีกครั้งกลางปีหน้า " นายมนตรีกล่าว