ASTV ผู้จัดการรายวัน – บล.ทีเอสเอฟซี มั่นใจ 5 มิ.ย. นี้ ผู้ถือหุ้นไฟเขียวเพิ่มทุน 1.2 พันล้านบาท แบ่งขายหุ้นถือหุ้นเดิม 93 ล้านหุ้น ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 15 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 10 บาท ส่วนหุ้นที่เหลือ 30 ล้านหุ้นจัดสรรแปลงหนี้เป็นทุนให้เจ้าหนี้การเงิน ด้านผู้บริหาร คาดการณ์ได้รับเงินเพิ่มทุนภายในต้นเดือนก.ค.นี้ ก่อนจะเดินหน้าตามแผนธุรกิจต่อไป
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSFC เปิดเผยว่า ทีเอสเอฟซีจะจัดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2552 ในวันที่ 5 มิถุนายน 52 นี้ โดยจะมีวาระที่สำคัญคือ การเสนอให้มีการพิจารณาอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 1,237.50 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 62.50 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวน 123,750,047 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 10 บาท ส่งผลทำให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 1,300 ล้านบาท
สำหรับรายละเอียดการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน 123,750,047 หุ้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 93,750,045 หุ้น จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่มีรายชื่อปรากฎอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2552 ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นซึ่งผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Right Offering) ในอัตรา 1 หุ้นเดิม ต่อ 15 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 10 บาท
ขณะที่ส่วนที่เหลือหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 30,000,002 หุ้น บริษัทจะเสนอจัดสรรให้แก่เจ้าหนี้ทางการเงิน ของบริษัทตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน
อย่างไรก็ตาม หากมีหุ้นเพิ่มทุนเหลือจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นเดิมแต่ละรายถืออยู่ ให้นำหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เหลือไปจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมทุกรายที่จองซื้อเกินสิทธิตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละราย ส่วนกรณีที่มีหุ้นเพิ่มทุนเหลือจากการจัดสรรดังกล่าวแล้ว ให้นำหุ้นเพิ่มทุนที่เหลือดังกล่าวเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด ในราคาหุ้นละ 10 บาท
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีบริษัทหลักทรัพย์ให้ความสนใจที่จะเข้ามาถือหุ้นทีเอสเอฟซีรวมทั้งสิ้นจำนวน 27 ราย เพิ่มขึ้นอีก 8 ราย จากเดิมมี บล. ที่เป็นผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 19 ราย ส่วนผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นธนาคารพาณิชย์ ยังไม่ได้ให้คำยืนยันการเข้าร่วมทุนอีก 1-2 ราย
“แม้จะมีผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นแบงก์บางราย ยังไม่ได้ให้คำยืนยันที่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน แต่จากการหารือนอกรอบกับผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น แสดงความสนใจที่จะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วน ซึ่งทำให้คาดว่าการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งนี้ผู้ถือหุ้นจะอนุมัติวาระการเพิ่มทุน และการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน”
สำหรับกระบวนการต่อไปหลังจากผู้ถือหุ้นอนุมัติวาระในการประชุมวันที่ 5 มิถุนายนนี้ ที่เอสเอฟซีจะดำเนินการลงนามสัญญาร่วมทุนกับทางบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ และผู้สนใจที่จะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน และจากนั้นบริษัทจะมีการส่งหนังสือแจ้งสิทธิในการลงทุนให้กับผู้ร่วมทุนตอบกลับมาว่าต้องการใช้สิทธิ เพื่อให้กรรมการ บริษัทดำเนินการจัดสรรหุ้นต่อไป
สำหรับระยะเวลาในการชำระราคาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนนั้นจะเป็นประมาณต้นเดือนกรกฎาคม ทำให้บริษัทมีเงินเพิ่มทุนเข้ามา ซึ่งบริษัทจะมีการจดทะเบียนในการเพิ่มทุน และจัดการประชุมผู้ถือหุ้นอีกครั้งเพื่อเลือกคณะกรรมการบริษัท ทำให้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้บริษัทจะออกจากแผนได้ และสามารถกลับมาประกอบธุรกิจตามปกติตามแผนดำเนินธุรกิจที่ได้เสนอต่อบรรดาผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ทีเอสเอฟซี ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นกรรมการทีเอสเอฟซี คือ นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการทีเอสเอฟซี
ด้านโครงสร้างผู้ถือหุ้นปัจจุบัน (ตั้งแต่ 21 เมษายน 2552) ประกอบด้วย 1. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 33.691% 2. บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทเงินทุน 17.986% 3. ธนาคารพาณิชย์ 10.864% 4. กระทรวงการคลัง 10.734% 5. ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) 6.725% 6. ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) 6.625% 7. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 6.125% 8. ธนาคารออมสิน 5.000% 9. ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) 2.250%
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSFC เปิดเผยว่า ทีเอสเอฟซีจะจัดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2552 ในวันที่ 5 มิถุนายน 52 นี้ โดยจะมีวาระที่สำคัญคือ การเสนอให้มีการพิจารณาอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 1,237.50 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 62.50 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวน 123,750,047 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 10 บาท ส่งผลทำให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 1,300 ล้านบาท
สำหรับรายละเอียดการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน 123,750,047 หุ้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 93,750,045 หุ้น จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่มีรายชื่อปรากฎอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2552 ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นซึ่งผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Right Offering) ในอัตรา 1 หุ้นเดิม ต่อ 15 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 10 บาท
ขณะที่ส่วนที่เหลือหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 30,000,002 หุ้น บริษัทจะเสนอจัดสรรให้แก่เจ้าหนี้ทางการเงิน ของบริษัทตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน
อย่างไรก็ตาม หากมีหุ้นเพิ่มทุนเหลือจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นเดิมแต่ละรายถืออยู่ ให้นำหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เหลือไปจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมทุกรายที่จองซื้อเกินสิทธิตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละราย ส่วนกรณีที่มีหุ้นเพิ่มทุนเหลือจากการจัดสรรดังกล่าวแล้ว ให้นำหุ้นเพิ่มทุนที่เหลือดังกล่าวเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด ในราคาหุ้นละ 10 บาท
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีบริษัทหลักทรัพย์ให้ความสนใจที่จะเข้ามาถือหุ้นทีเอสเอฟซีรวมทั้งสิ้นจำนวน 27 ราย เพิ่มขึ้นอีก 8 ราย จากเดิมมี บล. ที่เป็นผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 19 ราย ส่วนผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นธนาคารพาณิชย์ ยังไม่ได้ให้คำยืนยันการเข้าร่วมทุนอีก 1-2 ราย
“แม้จะมีผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นแบงก์บางราย ยังไม่ได้ให้คำยืนยันที่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน แต่จากการหารือนอกรอบกับผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น แสดงความสนใจที่จะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วน ซึ่งทำให้คาดว่าการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งนี้ผู้ถือหุ้นจะอนุมัติวาระการเพิ่มทุน และการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน”
สำหรับกระบวนการต่อไปหลังจากผู้ถือหุ้นอนุมัติวาระในการประชุมวันที่ 5 มิถุนายนนี้ ที่เอสเอฟซีจะดำเนินการลงนามสัญญาร่วมทุนกับทางบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ และผู้สนใจที่จะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน และจากนั้นบริษัทจะมีการส่งหนังสือแจ้งสิทธิในการลงทุนให้กับผู้ร่วมทุนตอบกลับมาว่าต้องการใช้สิทธิ เพื่อให้กรรมการ บริษัทดำเนินการจัดสรรหุ้นต่อไป
สำหรับระยะเวลาในการชำระราคาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนนั้นจะเป็นประมาณต้นเดือนกรกฎาคม ทำให้บริษัทมีเงินเพิ่มทุนเข้ามา ซึ่งบริษัทจะมีการจดทะเบียนในการเพิ่มทุน และจัดการประชุมผู้ถือหุ้นอีกครั้งเพื่อเลือกคณะกรรมการบริษัท ทำให้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้บริษัทจะออกจากแผนได้ และสามารถกลับมาประกอบธุรกิจตามปกติตามแผนดำเนินธุรกิจที่ได้เสนอต่อบรรดาผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ทีเอสเอฟซี ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นกรรมการทีเอสเอฟซี คือ นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการทีเอสเอฟซี
ด้านโครงสร้างผู้ถือหุ้นปัจจุบัน (ตั้งแต่ 21 เมษายน 2552) ประกอบด้วย 1. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 33.691% 2. บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทเงินทุน 17.986% 3. ธนาคารพาณิชย์ 10.864% 4. กระทรวงการคลัง 10.734% 5. ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) 6.725% 6. ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) 6.625% 7. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 6.125% 8. ธนาคารออมสิน 5.000% 9. ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) 2.250%
