ผู้จัดการกองทุนประสานเสียง ดัชนีหุ้นไทยวิ่งต่อ บลจ.กรุงไทย ประเมิน 4 เดือนที่เหลือ ขยับแตะระดับ 680-700 จุด เเนะจับตามาตรการคุมสินเชื่อของจีนอาจกระทบต่อการปรับฐานราคาหุ้น ของภูมิภาคเอเชียเเละไทย
นายวีระ วุฒิคงศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บรรยกาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังมีความผันผวนอยู่บ้างซึ่งโดยรวมนั้นยังดีกว่าที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากนโยบายเเละมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นของประเทศไทย หรือต่างประเทศ โดยตั้งเเต่ต้นปีที่ผ่านเรามองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปเเล้ว ซึ่งช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่หุ้นทยอยปรับฐาน คาดว่าดัชนีน่าจะอยู่ที่ 500-600 จุด อย่างไรก็ตามนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เคยโยกเงินลงทุนไปอยู่ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็เริ่มกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นหลังจากนักลงทุนมีมุมมองว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง
อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศจีนออกมาตรการเเละนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจมีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อตามมา ขณะเดียวกัน จีนเองก็มีการคุมเข้มกฎระเบียบด้านเงินทุนของธนาคารในจีน พยายามหลีกเหลี่ยงการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น จะเป็นสัญญาณส่งผลต่อการปรับฐานของราคาหุ้นจีน และหุ้นกลุ่มเอเชียหรือประเทศอื่นๆ
สำหรับบรรยากาศการไปลงทุนต่างประเทศของนักลงทุนนั้น เรามองว่า การลงทุนดังกล่าวเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี ซึ่งจะช่วยลดเเรงกระเเทกจากการลงทุนหุ้นเพียงประเทศไทยอย่างเดียว สำหรับราคาน้ำมันในช่วงนี้อาจะมีการปรับฐานบ้างเล็กน้อยหลังจากที่ราคาเริ่มขยับขึ้นมาเกือบ 30 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล
"คาดว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะอยู่ที่ 680-700 จุดในช่วง 4 เดือนที่เหลือ ซึ่งอาจจะมีปัจจัยภายในประเทศหรือปัจจัยภายนอกมากดดันอยู่บ้าง เเต่เชื่อว่าจากนี้ไปตลาดหุ้นไทยน่าจะดีกว่าต้นปีที่ผ่านมา" นายวีระ กล่าว
นายออเสน การบริสุทธิ์ ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล - ไชนีสเอ็คควิตี้ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนแม่ในต่างประเทศที่ลงทุนในประเทศจีน ล่าสุด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 25502 กองทุนมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ 40.79% เทียบกับดัชนี MSCI Zhong Hua อยู่ที่ 34.46% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 60.12% เทียบกับดัชนี MSCI Zhong Huaอยู่ที่ 61.68% และย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 57.22% เทียบกับดัชนี MSCI Zhong Hua อยู่ที่ 53.06% โดยผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ากองทุนมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างมากเมื่อเทียบกับตั้งแต่ต้นปีนี้ที่เกิดวิกฤต
สำหรับสถานการณ์ของตลาดหุ้นจีนที่มีความผันผวนในช่วงนี้ นายออเสน กล่าวว่า การแกว่งตัวของตลาดที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นผลมาจากในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นแต่อย่างใด แต่เป็นผลมาจากความวิตกกังวลและข่าวลือที่นักลงทุนพากันคาดการณ์ไปเองว่า รัฐบาลจีนจะเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนได้ดำเนินการปล่อยกู้ในประเทศเป็นจำนวนมากเพื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ทางผู้นำของประเทศเองยังไม่ได้ออกมายืนยันในเรื่องนี้แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามการลงทุนในประเทศจีนผ่านกองทุนรวมนั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนได้ในระยะยาว เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนที่ดีได้ สำหรับกองทุนของ อเบอร์ดีน ที่ลงทุนในประเทศจีนผ่านตลาดหุ้นฮ่องกง (H SHARE) นั้น มีราคาที่สมเหตุสมผลกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น A SHARE และ B SHARE เพราะตลาดหุ้น A SHARE มีราคาหุ้นที่สูงกว่า หุ้นในตลาด H SHARE ถึง 90% ขณะเดียวกันตลาด A SHARE นั้นไม่อนุญาติ ให้นักลงทุนหรือสถาบันการเงินต่างประเทศเข้าไปลงทุนได้ มีเพียงนีกลงทุนรายย่อยในประเทศเท่านั้นที่ลงทุนได้
"ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ทำให้กองทุนของ บลจ. อเอบร์ดีนที่ลงทุนในจีนนั้น ลงทุนในตลาด H SHARE และในพอร์ตการลงทุนไม่มี หุ้นที่อยู่ตลาด A SHARE และ B SHARE เลย" ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน กล่าว
ด้านนายเจิดพันธ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านการจัดการลงทุน บลจ. บีที จำกัด กล่าว่า การลงทุนในหุ้นช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน นี้ ตลาดหุ้นยังมีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นเองมีการต่อสู้กันอยู่ในเรื่องของการทำกำไร โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ประเทศจีนเองจะมีการทำการตลาดค่อนข้างแพง
ทั้งนี้ บริษัทเองมีความสนใจที่จะออกกองทุนหุ้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม การออกกองทุนใหม่ ๆ บริษัทต้องดูถึงจังหวะและความเหมาะสมในการออกกองทุนเป็นหลัก ทั้งนี้ ในส่วนของภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมองว่า ยังมีความน่าสนใจอยู่มาก เนื่องจากว่าราคาไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป อีกทั้งจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยเคยอยู่ในระดับ 900จุด ก่อนที่จะปรับตัวลงมาและดัชนีก็ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันนักลงทุนในตลาดต่างมีมุมมองในเชิงบวกต่อข่าวต่างๆ ที่เข้ามา
นอกจากนี้ นักลงทุนจะให้ความสนใจและเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ได้ทำประมาณการไว้ค่อนข้างจะระมัดระวังตัวเลขจริงที่ออกมาจึงดีกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ซึ่งในไตรมาส 3 นี้คาดว่าตลาดหุ้นเองน่าจะมีการทรงตัวกับความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน
"ปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแนวโน้มมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากที่นักลงทุนเอง เกิดความมั่นใจต่อการลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้โอกาสที่ดัชนีจะทะลุขึ้นไป 680 จุด แล้วลงมาอยู่ในระดับที่ 640 จุด ก็มี ซึ่งถือเป็นแนวโน้มในเชิงบวกต่อตลาดโดยรวม" นายเจิดพันธ์กล่าว
นายวีระ วุฒิคงศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บรรยกาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังมีความผันผวนอยู่บ้างซึ่งโดยรวมนั้นยังดีกว่าที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากนโยบายเเละมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นของประเทศไทย หรือต่างประเทศ โดยตั้งเเต่ต้นปีที่ผ่านเรามองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปเเล้ว ซึ่งช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่หุ้นทยอยปรับฐาน คาดว่าดัชนีน่าจะอยู่ที่ 500-600 จุด อย่างไรก็ตามนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เคยโยกเงินลงทุนไปอยู่ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็เริ่มกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นหลังจากนักลงทุนมีมุมมองว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง
อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศจีนออกมาตรการเเละนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจมีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อตามมา ขณะเดียวกัน จีนเองก็มีการคุมเข้มกฎระเบียบด้านเงินทุนของธนาคารในจีน พยายามหลีกเหลี่ยงการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น จะเป็นสัญญาณส่งผลต่อการปรับฐานของราคาหุ้นจีน และหุ้นกลุ่มเอเชียหรือประเทศอื่นๆ
สำหรับบรรยากาศการไปลงทุนต่างประเทศของนักลงทุนนั้น เรามองว่า การลงทุนดังกล่าวเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี ซึ่งจะช่วยลดเเรงกระเเทกจากการลงทุนหุ้นเพียงประเทศไทยอย่างเดียว สำหรับราคาน้ำมันในช่วงนี้อาจะมีการปรับฐานบ้างเล็กน้อยหลังจากที่ราคาเริ่มขยับขึ้นมาเกือบ 30 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล
"คาดว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะอยู่ที่ 680-700 จุดในช่วง 4 เดือนที่เหลือ ซึ่งอาจจะมีปัจจัยภายในประเทศหรือปัจจัยภายนอกมากดดันอยู่บ้าง เเต่เชื่อว่าจากนี้ไปตลาดหุ้นไทยน่าจะดีกว่าต้นปีที่ผ่านมา" นายวีระ กล่าว
นายออเสน การบริสุทธิ์ ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกองทุนเปิด อเบอร์ดีน โกลบอล - ไชนีสเอ็คควิตี้ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนแม่ในต่างประเทศที่ลงทุนในประเทศจีน ล่าสุด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 25502 กองทุนมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ 40.79% เทียบกับดัชนี MSCI Zhong Hua อยู่ที่ 34.46% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 60.12% เทียบกับดัชนี MSCI Zhong Huaอยู่ที่ 61.68% และย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 57.22% เทียบกับดัชนี MSCI Zhong Hua อยู่ที่ 53.06% โดยผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ากองทุนมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างมากเมื่อเทียบกับตั้งแต่ต้นปีนี้ที่เกิดวิกฤต
สำหรับสถานการณ์ของตลาดหุ้นจีนที่มีความผันผวนในช่วงนี้ นายออเสน กล่าวว่า การแกว่งตัวของตลาดที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นผลมาจากในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นแต่อย่างใด แต่เป็นผลมาจากความวิตกกังวลและข่าวลือที่นักลงทุนพากันคาดการณ์ไปเองว่า รัฐบาลจีนจะเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนได้ดำเนินการปล่อยกู้ในประเทศเป็นจำนวนมากเพื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ทางผู้นำของประเทศเองยังไม่ได้ออกมายืนยันในเรื่องนี้แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามการลงทุนในประเทศจีนผ่านกองทุนรวมนั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนได้ในระยะยาว เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนที่ดีได้ สำหรับกองทุนของ อเบอร์ดีน ที่ลงทุนในประเทศจีนผ่านตลาดหุ้นฮ่องกง (H SHARE) นั้น มีราคาที่สมเหตุสมผลกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น A SHARE และ B SHARE เพราะตลาดหุ้น A SHARE มีราคาหุ้นที่สูงกว่า หุ้นในตลาด H SHARE ถึง 90% ขณะเดียวกันตลาด A SHARE นั้นไม่อนุญาติ ให้นักลงทุนหรือสถาบันการเงินต่างประเทศเข้าไปลงทุนได้ มีเพียงนีกลงทุนรายย่อยในประเทศเท่านั้นที่ลงทุนได้
"ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ทำให้กองทุนของ บลจ. อเอบร์ดีนที่ลงทุนในจีนนั้น ลงทุนในตลาด H SHARE และในพอร์ตการลงทุนไม่มี หุ้นที่อยู่ตลาด A SHARE และ B SHARE เลย" ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน กล่าว
ด้านนายเจิดพันธ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านการจัดการลงทุน บลจ. บีที จำกัด กล่าว่า การลงทุนในหุ้นช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน นี้ ตลาดหุ้นยังมีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นเองมีการต่อสู้กันอยู่ในเรื่องของการทำกำไร โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ประเทศจีนเองจะมีการทำการตลาดค่อนข้างแพง
ทั้งนี้ บริษัทเองมีความสนใจที่จะออกกองทุนหุ้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม การออกกองทุนใหม่ ๆ บริษัทต้องดูถึงจังหวะและความเหมาะสมในการออกกองทุนเป็นหลัก ทั้งนี้ ในส่วนของภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมองว่า ยังมีความน่าสนใจอยู่มาก เนื่องจากว่าราคาไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป อีกทั้งจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยเคยอยู่ในระดับ 900จุด ก่อนที่จะปรับตัวลงมาและดัชนีก็ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันนักลงทุนในตลาดต่างมีมุมมองในเชิงบวกต่อข่าวต่างๆ ที่เข้ามา
นอกจากนี้ นักลงทุนจะให้ความสนใจและเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ได้ทำประมาณการไว้ค่อนข้างจะระมัดระวังตัวเลขจริงที่ออกมาจึงดีกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ซึ่งในไตรมาส 3 นี้คาดว่าตลาดหุ้นเองน่าจะมีการทรงตัวกับความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน
"ปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแนวโน้มมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากที่นักลงทุนเอง เกิดความมั่นใจต่อการลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้โอกาสที่ดัชนีจะทะลุขึ้นไป 680 จุด แล้วลงมาอยู่ในระดับที่ 640 จุด ก็มี ซึ่งถือเป็นแนวโน้มในเชิงบวกต่อตลาดโดยรวม" นายเจิดพันธ์กล่าว