จากผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นที่ออกมาอย่างโดดเด่น ในช่วงย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เชื่อว่าคงทำให้หลายๆ คนที่ไม่ได้ลงทุนตั้งแต่ต้นปี เสียดายอยู่ไม่น้อย ก็จะไม่เสียดายได้อย่างไร เมื่อการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นจีนให้ผลตอบแทนไปแล้วถึง 80% กว่าๆ ในขณะที่หุ้นไทยเอง ผลตอบแทนสูงสุดอยู่ถึง 50% กว่า...คิดกันง่ายๆ คือ ถ้ามีเงินอยู่ 100 บาททิ้งไว้ในหุ้นจีน ก็ได้กำไรไปถึง 80 บาท หรือทิ้งไว้ในหุ้นไทยก็กำไรถึง 50 บาท แต่อย่างว่าละครับ วิกฤตหนักขนาดนี้ โอกาสเป็นของคนใจกล้าเท่านั้น
หลายคนเห็นแบบนี้แล้วเกิดคำถามขึ้นมาว่า "ถ้าจะลงทุนตอนนี้ จะสายเกินไปหรือไม่ เพราะผลตอบแทนก็พุ่งเกินครึ่งร้อยไปแล้ว"...คนที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด คงต้องเป็นผู้จัดการกองทุน ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการลงทุนและมีข้อมูลในมือดีพอสมควร...เอาเป็นว่า ไปฟังคำแนะนำจากผู้จัดการกองทุนกันดีกว่า
พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตอนนี้ ยังเป็นเป็นขาขึ้นได้อยู่ เพราะเงินทุนต่างชาติจากสหรัฐฯ และยุโรป ยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีปรับขึ้นค่อนข้างเร็ว และก็มีโอกาสลงเร็วจากการขายทำกำไรหลังจากราคาเป็นไปตามเป้าหมายแล้วเช่นกัน ดังนั้น ในระยะนี้ จึงอาจจะเห็นการปรับฐานอยู่บ้าง แต่ก็เชื่อว่าจะไม่แรงมากนัก
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการลงทุนเช่นนี้ ยังเป็นจังหวะที่นักลงทุนยังสามารถลงทุนได้อยู่ แม้ราคาจะขยับขึ้นไปสูงแล้ว โดยสามารถจัดพอร์ตลงทุนในหุ้นได้มากกว่า 80% ของพอร์ตลงทุนในหุ้น
"ตอนนี้ ตัวเลขพื้นฐานหลายๆ ตัว ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ใช่สัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจน ซึ่งการที่มีเงินไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากความกลัวเริ่มลดลงและสามารถเสี่ยงได้สูงขึ้น รวมถึงนักลงทุนบางกลุ่มที่มองว่าเป็นการฟื้นตัวในระยะยาวแล้ว"
สำหรับการลงทุนต่างประเทศ "พิชิต" มองว่าโอกาสการลงทุนยังมีอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย ทั้งนี้ เนื่องจากเงินลงทุนในโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ไม่มีทางไป ดังนั้น การออกไปลงทุนในต่างประเทศจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งตลาดหุ้นเอเชียตอบโจทย์ดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังว่าเศรษฐกิจเอเชียจะฟื้นตัวได้เร็ว ก็ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก เพียงแต่ไม่ตกต่ำไปมากกว่านี้เท่านั้น แต่หากมีตัวเลขพื้นฐานออกมายืนยันว่าดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อนั้นก็เชื่อว่าจะมีเงินลงทุนไหลเข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา แนะนำว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นตอนนี้ ใครที่ไม่เคยลงทุนมาก่อน แน่นอนว่ามีความเสี่ยงสูงทีเดียว เพราะ P/E บ้านเรา ปรับขึ้นไปสูงแล้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนหุ้นอยู่แล้ว ช่วงนี้ยังเป็นโอกาสให้ลงทุนได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าราคาจะปรับขึ้นไปสูงแล้ว โดยแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่ P/E ต่ำๆ แทน เพราะถ้าเราประเมินผิด จะทำให้เราขาดทุนไม่เยอะ
นอกจากนี้ การเลือกลงทุนในหุ้นดีเฟนซีฟ หรือหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูงก็เป็นโอกาสเช่นกัน เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยงหากราคาหุ้นปรับฐาน ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเข้ามาชดเชยอีกทาง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะเลือกลงทุนแบบไหน ต้องระมัดระวังเพราะตลาดมีโอกาสปรับฐานเช่นกัน
"ถึงแม้ว่าขณะนี้ราคาหุ้นจะปรับขึ้นไปพอสมควรแล้ว แต่ยังเป็นจังหวะที่สามารถเข้าไปลงทุนได้ และด้วยความเสี่ยงที่ราคาอาจจะปรับฐาน จึงแนะนำว่าให้ลงทุนประมาณ 50% ของเงินลงทุน แล้วค่อยลงทุนเพิ่มหลังจากดัชนีปรับฐานลงมาประมาณ 10-20% ในทางกลับกัน หากลงทุนไปแล้วดัชนีวิ่งขึ้นไปอีก 10-20% ก็แนะนำให้ขายทำกำไออกมา แต่สำหรับใครที่มองเป็นการลงทุนระยะยาว จังหวะนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการรับผลตอบแทนอีก 2-3 ปีข้างหน้า"
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ "ประภาส" แนะนำว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นเอเชียยังไปได้ดีต่อเนื่อง แต่ก็อาจจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาเป็นระยะๆ เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่า นักลงทุนจะมั่นใจว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นหลายประเทศในกลุ่มเอเชีย ปรับตัวขึ้นไปเยอะแล้ว ดังนั้น จึงแนะนำว่าการลงทุนในช่วงนี้ ให้หลีกเสี่ยงประเทศที่ราคาหุ้นปรับขึ้นไปเยอะแล้ว โดยให้หันไปเลือกลงทุนในหุ้นที่ปรับขึ้นไม่มากแทนเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งตลาดหุ้นไทยเอง ก็ถือเป็นตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ราคายังปรับขึ้นไปไม่มาก เมื่อเทียบกับฟิลิฟินส์ที่ปรับขึ้นไปแล้วกว่า 50% ตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่ขึ้นไปแล้ว 60-70% หรือตลาดหุ้นจีน ที่ปรับขึ้นไปแล้วกว่า 80%
พิพัฒน์ พิศณุวงรักษ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.ทหารไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาสูงมากจากต้นปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมี P/E สูงกว่า 30 เท่า ดังนั้น การจะเข้าไปลงทุนตอนนี้ คงต้องรอดูสถาณการณ์เศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 ของจีนก่อนว่า จะออกมาเป็นอย่างไร และโตได้จริงหรือไม่หลังจากตัวเลขไตรมาสที่ 2 ออกมาค่อนข้างดี ขยายตัวในระดับ 7-8% ซึ่งหากตัวเลขออกมาดี ก็รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไปได้อีก 6 เดือน
"ถ้าจะเข้าไปลงทุนหุ้นจีนตอนนี้ อาจจะได้ราคาที่สูงเกินไป ดังนั้น คงต้องรอดูความชัดเจนของตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หากหลังจากนี้ มีการปรับฐานลงมา ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุน ซึ่งขณะนี้เอง ต้องบอกว่าหุ้นจีนยังฟื้นตัวได้ไม่เท่าช่วงก่อนโอลิมปิก ที่ทุกอย่างสวยงามไปหมด"นายพิพัฒน์กล่าว
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีมุมมองเช่นเดียวกันว่า ขณะนี้ราคาหุ้นไทยปรับขึ้นไปสูงมากแล้ว ซึ่งปัจจัยหลักมาจากเงินทุนไหลเข้า โดยไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริง เนื่องจากจีดีพีของไทยเองยังติดลบอยู่และมีการคาดการณ์ว่าทั้งปีจะติดลบด้วยเช่นกัน ซึ่งจากเงินทุนไหลที่เข้าเร็วออกเร็วนี่เอง ทำให้การลงทุนในช่วงนี้จับทางลำบาก อย่างไรก็ตาม หากตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐาน ก็เป็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน ก็ต้องดูแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาดด้วยว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน โดยเฉพาะจีนกับอินเดีย ที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาค ซึ่งหาก 2 ประเทศขยายตัวได้ดี ก็จะสามารถฉุดเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกฟื้นได้
แชมป์ผลตอบแทนสูงสุด
สำหรับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พอสรุปได้ว่า ส่งสัญญาณดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสนับสนุนหลักอยู่ที่ความคาดหมายว่า ในไม่ช้านี้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบของรัฐบาลทั่วโลก ซึ่งความคาดหวังดังกล่าวสะท้อนออกมาจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ที่ได้ผลดี ล่าสุด จีดีพีไตรมาส 2 เป็นบวกกว่า 7% และจากสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของจีนนี้เอง ทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นไปค่อนข้างมาก ส่งผลถึงตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในเอเชียรวมถึงไทยด้วย
ทั้งนี้ สัญญาณการฟื้นตัวดังกล่าว ส่งผลดีต่อกองทุนรวมต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่ออกไปลงทุนในหุ้นจีนและตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ด้วย โดยจากตัวเลขผลการดำเนินงานล่าสุด ณ วันที่ 31 กรกฏาคม 2552 ที่ผ่านมา พบว่า กองทุนเอฟไอเอฟหลายๆ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน และเอเชีย สามารถให้ผลตอบแทนอยู่ในอันดับต้นๆ
โดยในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา กองทุนต่างประเทศที่ออกไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทนได้สูงสุด กองทุนนั่นคือ กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index ภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.ทหารไทย ด้วยผลตอบแทน 85.08%
ส่วนกองทุนหุ้นในประเทศ ก็ได้รับอานิสงส์จากสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเช่นกัน ซึ่งการปรับขึ้นส่วนใหญ่ มาจากกระแสเงินทุนไหลเข้ามากกว่าความมั่นใจต่อเศรษฐกิจในประเทศ โดยกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด คือ กองทุนเปิดทิสโก้ แอ็กเกรสซีฟ โกรท ฟันด์ ภายใต้การบริหารของบลจ.ทิสโก้ ด้วยผลตอบแทน 53.24%
หลายคนเห็นแบบนี้แล้วเกิดคำถามขึ้นมาว่า "ถ้าจะลงทุนตอนนี้ จะสายเกินไปหรือไม่ เพราะผลตอบแทนก็พุ่งเกินครึ่งร้อยไปแล้ว"...คนที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด คงต้องเป็นผู้จัดการกองทุน ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการลงทุนและมีข้อมูลในมือดีพอสมควร...เอาเป็นว่า ไปฟังคำแนะนำจากผู้จัดการกองทุนกันดีกว่า
พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตอนนี้ ยังเป็นเป็นขาขึ้นได้อยู่ เพราะเงินทุนต่างชาติจากสหรัฐฯ และยุโรป ยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีปรับขึ้นค่อนข้างเร็ว และก็มีโอกาสลงเร็วจากการขายทำกำไรหลังจากราคาเป็นไปตามเป้าหมายแล้วเช่นกัน ดังนั้น ในระยะนี้ จึงอาจจะเห็นการปรับฐานอยู่บ้าง แต่ก็เชื่อว่าจะไม่แรงมากนัก
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการลงทุนเช่นนี้ ยังเป็นจังหวะที่นักลงทุนยังสามารถลงทุนได้อยู่ แม้ราคาจะขยับขึ้นไปสูงแล้ว โดยสามารถจัดพอร์ตลงทุนในหุ้นได้มากกว่า 80% ของพอร์ตลงทุนในหุ้น
"ตอนนี้ ตัวเลขพื้นฐานหลายๆ ตัว ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ใช่สัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจน ซึ่งการที่มีเงินไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากความกลัวเริ่มลดลงและสามารถเสี่ยงได้สูงขึ้น รวมถึงนักลงทุนบางกลุ่มที่มองว่าเป็นการฟื้นตัวในระยะยาวแล้ว"
สำหรับการลงทุนต่างประเทศ "พิชิต" มองว่าโอกาสการลงทุนยังมีอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย ทั้งนี้ เนื่องจากเงินลงทุนในโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ไม่มีทางไป ดังนั้น การออกไปลงทุนในต่างประเทศจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งตลาดหุ้นเอเชียตอบโจทย์ดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังว่าเศรษฐกิจเอเชียจะฟื้นตัวได้เร็ว ก็ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก เพียงแต่ไม่ตกต่ำไปมากกว่านี้เท่านั้น แต่หากมีตัวเลขพื้นฐานออกมายืนยันว่าดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อนั้นก็เชื่อว่าจะมีเงินลงทุนไหลเข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา แนะนำว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นตอนนี้ ใครที่ไม่เคยลงทุนมาก่อน แน่นอนว่ามีความเสี่ยงสูงทีเดียว เพราะ P/E บ้านเรา ปรับขึ้นไปสูงแล้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนหุ้นอยู่แล้ว ช่วงนี้ยังเป็นโอกาสให้ลงทุนได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าราคาจะปรับขึ้นไปสูงแล้ว โดยแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่ P/E ต่ำๆ แทน เพราะถ้าเราประเมินผิด จะทำให้เราขาดทุนไม่เยอะ
นอกจากนี้ การเลือกลงทุนในหุ้นดีเฟนซีฟ หรือหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูงก็เป็นโอกาสเช่นกัน เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยงหากราคาหุ้นปรับฐาน ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเข้ามาชดเชยอีกทาง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะเลือกลงทุนแบบไหน ต้องระมัดระวังเพราะตลาดมีโอกาสปรับฐานเช่นกัน
"ถึงแม้ว่าขณะนี้ราคาหุ้นจะปรับขึ้นไปพอสมควรแล้ว แต่ยังเป็นจังหวะที่สามารถเข้าไปลงทุนได้ และด้วยความเสี่ยงที่ราคาอาจจะปรับฐาน จึงแนะนำว่าให้ลงทุนประมาณ 50% ของเงินลงทุน แล้วค่อยลงทุนเพิ่มหลังจากดัชนีปรับฐานลงมาประมาณ 10-20% ในทางกลับกัน หากลงทุนไปแล้วดัชนีวิ่งขึ้นไปอีก 10-20% ก็แนะนำให้ขายทำกำไออกมา แต่สำหรับใครที่มองเป็นการลงทุนระยะยาว จังหวะนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการรับผลตอบแทนอีก 2-3 ปีข้างหน้า"
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ "ประภาส" แนะนำว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นเอเชียยังไปได้ดีต่อเนื่อง แต่ก็อาจจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาเป็นระยะๆ เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่า นักลงทุนจะมั่นใจว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นหลายประเทศในกลุ่มเอเชีย ปรับตัวขึ้นไปเยอะแล้ว ดังนั้น จึงแนะนำว่าการลงทุนในช่วงนี้ ให้หลีกเสี่ยงประเทศที่ราคาหุ้นปรับขึ้นไปเยอะแล้ว โดยให้หันไปเลือกลงทุนในหุ้นที่ปรับขึ้นไม่มากแทนเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งตลาดหุ้นไทยเอง ก็ถือเป็นตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ราคายังปรับขึ้นไปไม่มาก เมื่อเทียบกับฟิลิฟินส์ที่ปรับขึ้นไปแล้วกว่า 50% ตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่ขึ้นไปแล้ว 60-70% หรือตลาดหุ้นจีน ที่ปรับขึ้นไปแล้วกว่า 80%
พิพัฒน์ พิศณุวงรักษ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.ทหารไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาสูงมากจากต้นปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมี P/E สูงกว่า 30 เท่า ดังนั้น การจะเข้าไปลงทุนตอนนี้ คงต้องรอดูสถาณการณ์เศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 ของจีนก่อนว่า จะออกมาเป็นอย่างไร และโตได้จริงหรือไม่หลังจากตัวเลขไตรมาสที่ 2 ออกมาค่อนข้างดี ขยายตัวในระดับ 7-8% ซึ่งหากตัวเลขออกมาดี ก็รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไปได้อีก 6 เดือน
"ถ้าจะเข้าไปลงทุนหุ้นจีนตอนนี้ อาจจะได้ราคาที่สูงเกินไป ดังนั้น คงต้องรอดูความชัดเจนของตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หากหลังจากนี้ มีการปรับฐานลงมา ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุน ซึ่งขณะนี้เอง ต้องบอกว่าหุ้นจีนยังฟื้นตัวได้ไม่เท่าช่วงก่อนโอลิมปิก ที่ทุกอย่างสวยงามไปหมด"นายพิพัฒน์กล่าว
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีมุมมองเช่นเดียวกันว่า ขณะนี้ราคาหุ้นไทยปรับขึ้นไปสูงมากแล้ว ซึ่งปัจจัยหลักมาจากเงินทุนไหลเข้า โดยไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริง เนื่องจากจีดีพีของไทยเองยังติดลบอยู่และมีการคาดการณ์ว่าทั้งปีจะติดลบด้วยเช่นกัน ซึ่งจากเงินทุนไหลที่เข้าเร็วออกเร็วนี่เอง ทำให้การลงทุนในช่วงนี้จับทางลำบาก อย่างไรก็ตาม หากตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐาน ก็เป็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน ก็ต้องดูแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาดด้วยว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน โดยเฉพาะจีนกับอินเดีย ที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาค ซึ่งหาก 2 ประเทศขยายตัวได้ดี ก็จะสามารถฉุดเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกฟื้นได้
แชมป์ผลตอบแทนสูงสุด
สำหรับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พอสรุปได้ว่า ส่งสัญญาณดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสนับสนุนหลักอยู่ที่ความคาดหมายว่า ในไม่ช้านี้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบของรัฐบาลทั่วโลก ซึ่งความคาดหวังดังกล่าวสะท้อนออกมาจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ที่ได้ผลดี ล่าสุด จีดีพีไตรมาส 2 เป็นบวกกว่า 7% และจากสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของจีนนี้เอง ทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นไปค่อนข้างมาก ส่งผลถึงตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในเอเชียรวมถึงไทยด้วย
ทั้งนี้ สัญญาณการฟื้นตัวดังกล่าว ส่งผลดีต่อกองทุนรวมต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่ออกไปลงทุนในหุ้นจีนและตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ด้วย โดยจากตัวเลขผลการดำเนินงานล่าสุด ณ วันที่ 31 กรกฏาคม 2552 ที่ผ่านมา พบว่า กองทุนเอฟไอเอฟหลายๆ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน และเอเชีย สามารถให้ผลตอบแทนอยู่ในอันดับต้นๆ
โดยในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา กองทุนต่างประเทศที่ออกไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทนได้สูงสุด กองทุนนั่นคือ กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index ภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.ทหารไทย ด้วยผลตอบแทน 85.08%
ส่วนกองทุนหุ้นในประเทศ ก็ได้รับอานิสงส์จากสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเช่นกัน ซึ่งการปรับขึ้นส่วนใหญ่ มาจากกระแสเงินทุนไหลเข้ามากกว่าความมั่นใจต่อเศรษฐกิจในประเทศ โดยกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด คือ กองทุนเปิดทิสโก้ แอ็กเกรสซีฟ โกรท ฟันด์ ภายใต้การบริหารของบลจ.ทิสโก้ ด้วยผลตอบแทน 53.24%