วิกฤติเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่เฉกเช่นทุกวันนี้ หลายคนภาวนาให้วิกฤติครั้งนี้ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เเม้ว่าตัวเลขอัตราการว่างงาน ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะตามหลอกหลอนนานาประเทศก็ตาม เเต่ใต้ภาวะวิกฤติเช่นนี้ย่อมมีเเสวงสว่างเกิดขึ้นเสมอ (จะปลายอุโมงค์หรือไม่ก็ตาม)
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์นานาประเทศ เริ่มจับตามมองการเคลื่อนไหวของประเทศจีน หลังจากที่พญาอินทรีย์อย่างสหรัฐฯ ต้องจำนนต่อพิษเศรษฐกิจที่เเถบจะพยุงไม่ขึ้นมาเเล้ว โดยความหวังที่เกิดขึ้นเชื่อว่าประเทศจีน จะเป็นผู้ที่ทำให้ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้น จากเเผนกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มเห็นผลบ้างเเล้ว ซึ่งประเทศจีนเองก็เริ่มเปิดรับการลงทุนเเละเข้าไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น
เเต่สิ่งที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้คือ การชุมนุมประท้วงเเละก่อจราจลระหว่าง"อุยกูร์-ฮั่น” เเต่กระนั้นเองหลายฝ่ายมองว่า รัฐบาลจีนจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้เเน่นอน ที่นี้เราลองมาดูมุมมองของเเวดวงนักวิชาการ เเละเเวดวงกองทุนรวมกันบ้างว่าจะมีมุมมองต่อประเทศจีนอย่างไรกันบ้าง
มาเริ่มที่มุมมองของนักวิชาการอย่าง รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ รองคณบดี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (GSPA NIDA) ที่มองว่า เศรษฐกิจของประเทศจีนยังมีอัตราการเติบโตในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่า ในปีนี้เศรษฐกิจจีนจะมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับ 7% และด้วยขนาดเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ด้วยจำนวนประชากรมากถึง 1.3 พันล้านคน จะสามารถช่วยประคับประคองเศรษฐกิจโลกไม่ให้เลวร้ายไปมากกว่านี้
ดังนั้น การกระจายการลงทุนไปในกลุ่มประเทศดังกล่าวจึงเป็นการสร้างทางเลือก และสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจไม่น้อย
มุมมองผู้จัดการกองทุน
สอดคล้องกับ จุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ใน กลุ่มประเทศเกรทเทอร์ ไชน่า ยังคงมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและรวดเร็วของเศรษฐกิจ โดยประเทศจีนนับเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ของโลก ส่วนฮ่องกงก็เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้าขายของเอเชียและยังเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างจีนกับตลาดโลก
ขณะที่ไต้หวันก็เป็นผู้นำตลาดสินค้าเทคโนโลยี ซึ่งได้ประโยชน์จากการใช้จีนเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ จึงเชื่อมั่นว่าด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนในช่วงที่ผ่านมา จะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับตลาดหุ้นทั้ง 3 ประเทศนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตในระดับที่สูง อีกทั้งนักลงทุนยังสามารถกระจายความเสี่ยงในกรณีที่มีการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นใดตลาดหุ้นหนึ่ง เนื่องจากนักลงทุนยังมีอีก 2 ตลาดที่ยังสามารถสร้างกำไรได้ ซึ่งจากเหตุผลดังกล่าวเชื่อว่า การลงทุนในกลุ่มเกรทเทอร์ ไชน่า มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าและมีความเสี่ยงที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศจีนเพียงประเทศเดียว
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนได้ปรับประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจนถึงต้นปีหน้าว่าจะเริ่มดีขึ้น หลังจากไตรมาส 1 ของปีนี้เป็นตัวเลขที่ต่ำสุด โดยได้คาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ไว้ที่ระดับ 7.0-7.5% ขณะที่ไตรมาส 3 คาดว่าจะขยายตัวที่ 8% ก่อนจะเพิ่มเป็น 9% ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยบวกต่อการปรับขึ้นของราคาหุ้นในจีน และราคาหุ้นในกลุ่มเชื้อสายจีนบางประเทศ เช่น ไต้หวัน ซึ่งเศรษฐกิจน่าจะมีการปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีการปรับฐานน้อยกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากปัจจัยบวกทางด้านเศรษฐกิจ ที่แข็งแกร่ง
ทางด้าน คริสโตเฟอร หว่อง ผู้จัดการกองทุนในทีมตราสารทุนเอเชีย กลุ่มอเบอร์ดีน มองว่า ตลาดหุ้นจีนนั้นจุดเลวร้ายที่สุดอาจจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่คุณภาพและระยะเวลาการฟื้นตัวที่ผ่านมายังเป็นเรื่องที่น่าสงสัย ซึ่งในเรื่องของการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดส่งผลให้ดัชนีอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นมาก ซึ่งมีผลเอื้ออำนวยต่อภาคอุตสาหกรรมหนัก แต่กำลังการผลิตที่มากเกินความต้องการยังกระจุกตัวอยู่ในบางอุตสาหกรรม เช่น เหล็กและคอนกรีต
อย่างไรก็ตามการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนนั้นจำเป็นต้องมีดุลยภาพระหว่างปัจจัยบวกที่มาจากการใช้จ่ายของภาครัฐ การบริโภคของภาคเอกชน และอุปสงค์การสั่งซื้อจากภายนอกประเทศ ที่ผ่านมาเป็นที่น่าสังเกตว่า การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนเป็นไปในลักษณะของกราฟรูปตัว W มากกว่าที่จะเป็นรูปตัว V
โดย ตลาดหุ้นจีนหลังผ่านพ้นจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์เมื่อเดือนตุลาคมของปีที่ผ่านมา ก็เริ่มปรับตัวขึ้นอย่างสดใสตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมเป็นต้นมา ซึ่งได้รับแรงหนุนจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ใช้งบประมาณมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความหวังว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะกลับมาอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม อเบอร์ดีนเชื่อว่า หากงบประมาณเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายดังกล่าวไม่ได้ส่งเสริมให้อุปสงค์ของภาคเอกชนสูงขึ้นแล้ว ก็เป็นการยากที่ตลาดหุ้นจีนจะฟื้นตัวได้นาน
ทั้งนี้ หลังจากการประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในมูลค่า 5.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานั้นรัฐบาลจีนได้แสดงให้เห็นถึงเจตจำนงที่จะรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่สมควรไว้ที่ประมาณ 8% เป็นอย่างต่ำปัจจุบันเม็ดเงินมหาศาลที่เป็นการใช้จ่ายจากภาครัฐกำลังเริ่มทำงานธนาคารหลักๆที่เป็นรัฐวิสาหกิจก็ทำงานได้อย่างรวดเร็วจากเม็ดเงินดังกล่าวแม้ในระยะเวลาอันสั้นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านั้นจะทำให้จีนเป็นประเทศเดียวที่ยังคงความแข็งแกร่งไว้ได้ ในขณะที่แทบทุกประเทศในภูมิภาคล้วนตกอยู่ในภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จีนกำลังสะสมปัญหาที่จะปรากฏขึ้นในภายภาคหน้า
อย่างไรก็ตาม บริษัต่างๆของจีนโดยทั่วไป ยังมีความเสี่ยง แม้ว่าในเดือนที่ผ่านมาทางการของจีน ได้ออกมาตรการเพื่อควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคารให้เข้มงวดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป เศรษฐกิจที่ขาดระบบการกำหนดราคาตามแต่ละตลาด อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนยังคาดการณ์ไม่ได้และไร้ประสิทธิภาพ
โดยฐานะทางเศรษฐกิจระดับประเทศและระดับบริษัทของจีน มีความไม่สอดคล้องกันซึ่งเกิดขึ้นมานานแล้ว โดยพบว่ากำไรส่วนต่างของบริษัทจีนกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากบริษัทต้องแข่งขันเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดของตนเอาไว และยังพบว่าการปล่อยกู้รายใหม่ของธนาคารกลับเป็นการนำเงินกู้ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์โดยนำไปลงทุนในตลาดหุ้นแต่สิ่งที่เห็นว่ายังมีไม่พอคือการเติบโตของธุรกิจหลัก
ซึ่งอาจเป็นเพราะปัญหาเดิมในการเปิดเผยข้อมูลและธรรมาภิบาลของบริษัทจีนแม้สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นของจีนแผ่นดินใหญ่จะสะท้อนภาพรวมของความจริงในตลาดหุ้นของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนได้กลับมาพร้อมการรับความเสี่ยงได้มากขึ้นส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทางเลือกทำกำไรหุ้นจีน
สำหรับกองทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มประเทศจีน ได้เเก่ กองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ,กองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ ไชน่า,กองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index เเละกองทุนที่กำลังอยู่ในช่วงเปิดขายไอพีโออยู่นั้นคือ กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า
ส่วนกองทุนที่ลงทุนในกลุ่ม BRIC ที่มีการลงทุนในประเทศจีนด้วย ได้เเก่ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40,กองทุนเปิดแอสเซทพลัสบริค เเละกองทุนเปิดพรีมาเวสท์-อลิอันซ์ จีไอ บริค สตาร์ ฟันด์
ขณะที่กองทุนที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเเน่นอนว่าต้องมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศจีนด้วยเช่นกัน ซึ่งกองทุนประเภทดังกล่าวประกอบด้วย กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต - ปันผล,กองทุนเปิดทหารไทย Emerging Markets Equity Index,กองทุนเปิดวรรณเอเอ็ม โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต เอควิตี้
เเละกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เเละให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศจีน ได้เเก่ กองทุนเปิดฟิลลิปเอเชียแปซิฟิค,กองทุนเปิด ไอเอ็นจีไทย ออล เอเชียอีควิตี้,กองทุนเปิดแอสเซทพลัสเอเชี่ยนสเปเชียลซิททูเอชั่นส์,กองทุนเปิดอเบอร์ดีน เอเชีย แปซิฟิค เอคควิตี้ฟันด์,กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เอเชีย (UOBSA),กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเวสท์ เอเชี่ยน อิควิตี้ ฟันด์
ต้องบอกก่อนว่า...สไตล์การลงทุนของกองทุนเเต่ละกองทุนนั้นต่างกัน ความเสี่ยง เเละผลตอบเเทนก็ย่อมต่างกันด้วย ทั้งหมดทั้งมวลก็ขึ้นอยู่ว่านักลงทุนเเต่ละคนยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้มากน้อยเเค่ไหน เเละที่สำคัญก่อนตัดสินใจลงทุนกองทุนประเภทอะไร หรือกองทุนที่บริหารโดยบลจ.เจ้าไหนก็ควรศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อนตัดสินใจลงทุน