xs
xsm
sm
md
lg

MFCลุ้นหุ้นไทยฝ่าแนวต้าน650จุด ชี้ตัวเลขศก.สหรัฐฯตัวแปรสำคัญ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.เอ็มเอฟซี เชื่อหุ้นไทยยังวิ่งต่อ ลุ้น ผ่าน 650 จุดแล้ว ดัชนีจะวิ่งยาวอีก 100 จุด ระบุตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ตัวแปรสำคัญ ไม่ห่วงดัชนีปรับฐาน เพราะสถาบันยังเก็บเงินรอซื้อ มั่นใจไม่หลุด 600 จุดแน่นอน ส่วนภาพรวมหุ้นเอเชีย ยังสดใส แม้นักลงทุนกังวลเศรษฐกิจจีนร้อนแรงเกินไป

นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สายบริหารกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ เชื่อว่าจะยังไปได้อีก ถึงแม้ว่าปัจจุบันดัชนีจะทะลุพื้นฐานของปีนี้ไปแล้ว โดยเชื่อว่าหากดัชนีปรับตัวขึ้นไปสูงกว่า 650 จุด ดัชนีก็จะขยับต่อไปอีก 100 จุด และปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 800 จุดในปีหน้า

สำหรับปัจจัยที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นไปเหนือ 650 จุดได้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่ขณะนี้ประกาศออกมาประมาณ 90% แล้ว ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ เป็นตัวสะท้อนภาพเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ว่าจะฟื้นหรือไม่ ถ้าออกมาดีก็น่าจะช่วยดันดัชนีสูงกว่า 650 จุดได้

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานก็มีเช่นกัน แต่การปรับฐานดังกล่าวจะไม่ลงแรง สังเกตได้จากช่วงที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยมีการปรับฐานหลายรอบ แต่ทุกรอบก็ลงไม่แรง เหตุผลเพราะมีนักลงทุนสถาบันเข้ามาเก็บ ซึ่งในรอบนี้เช่นกัน หากมีการปรับฐานคงลงไม่แรง เพราะจากการเปิดเผยพอร์ตลงทุนล่าสุดของสถาบันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนประกันสังคม (สปส.) รวมถึงบริษัทประกันชีวิตต่างๆ ยังมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เต็มที่

“ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยในบ้านเราอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ แรงจูงใจในการเข้าไปลงทุนจึงมีน้อย ดังนั้น นักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่จึงหันมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น โดยหากดัชนีมีการปรับฐาน ก็จะยังมีดีมานด์จากนักลงทุนเหล่านี้เข้ามารับ ซึ่งจะทำให้ดัชนีลงไปไปแรงมากนักหรือคงไม่หลุด 600 จุด”นายศุภกรกล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของบลจ.เอ็มเอฟซีในช่วงนี้ นายศุภกรกล่าวว่า ในส่วนของกองทุนหุ้นทั่วไป ขณะนี้ได้ให้น้ำหนักการลงทุนเต็มที่ ส่วนกองทุนผสมก็จะให้น้ำหนักสูงกว่าน้ำหนักตลาด โดยเน้นหุ้นที่วิ่งตามเศรษฐกิจเป็นหลัก เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากมาตรการไทยเข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม ในบางขณะก็จะปรับพอร์ตลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวบ้าง รวมถึงหุ้นสมอลแคป ที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตดี

นายศุภกรกล่าวต่อถึงแนวโมการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียว่า โดยรวมแล้วเชื่อว่ายังไปได้ต่อเช่นกัน แม้ว่าในขณะนี้การลงทุนจะชะลอลงบ้าง โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ซึ่งมีสาเหตุมาจากความกังวลของนักลงทุน ที่เกรงว่ารัฐบาลจีนจะใช้นโยบายการเงินการคลัง ในการลดความร้องแรงของเศรษฐกิจในประเทศลง

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะดัชนี A Share ค่อนข้างร้อนแรงโดยปรับตัวขึ้นไปถึง 80% ส่งผลทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุน เนื่องจากเริ่มกังวลว่าจะร้อนแรงเกินไปหรือไม่ บางส่วนก็ขายทำกำไรแล้วก็ออกจากตลาดไป ในขณะที่ตลาด H Share ในตลาดฮ่องกง ปรับขึ้นมาเพียง 40% เท่านั้น ทำให้มองว่าตลาดนี้ยังมีอะไรน่าสนใจ นอกจากนี้ พื้นฐานยังถูกกว่าด้วย

“โดยรวมแล้วตลาดเอเชียยังไปได้ ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย รวมถึงไทย เพราะว่ายังได้อานิสงส์จากการขยายตัวเศรษฐกิจประเทศจีนและอินเดีย และถึงแม้ว่านักลงทุนจะกังวลว่าจีนเอง จะแตะเบรกเศรษฐกิจ แต่ก็เชื่อว่าจะไม่ทำให้เกิดการขายทำกำไรที่รุนแรงเกินไป”นายศุภกรกล่าว

สำหรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ของบลจ.เอ็มเอฟซี นายศุภกรกล่าวว่า เรายังให้น้ำหนักการลงทุนในจีนเป็นหลัก โดยมีทั้งการลงทุนผ่านดัชนี ETF ที่อ้างอิงดัชนี A Share เพราะเราไม่สามารถลงทุนตรงได้ ในขณะเดียวกัน ก็มีการลงทุนในตรงใน H Share ด้วย ซึ่งการลงทุนเองก็มีการปรับพอร์ตเป็นระยะตามจังหวะ เช่น อาจจะขายทำกำไรให้หุ้นกลุ่มแบงก์ แล้วโยกไปลงทุนในหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานแทน ซึ่งรวมถึงหุ้นสมอลแคปด้วย ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของกองทุนในหุ้นจีนตั้งแต่ต้นปี ปรับขึ้นมาประมาณ 60%

M-STORเทรดวันแรกคึกคัก

วานนี้ (11 ส.ค.) บลจ.เอ็มเอฟซีได้นำกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี-สแตรทิจิกสโตเรจฟันด์ หรือ M-STOR เข้าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก โดยกองทุนดังกล่าวลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กลุ่มโลจิติกส์ ประเภทธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น ของบริษัท อะกรีเวิลด์ จำกัด บริษัทเกษตรเหนือ จำกัด บริษัท พี.พี.ฟูดส์ ซัพพลาย จำกัด และบริษัท สยามนิปปอน เอนจิเนียริ่งพาร์ท จำกัด มูลค่า 608 ล้านบาท

นายพิชิตกล่าวว่า กองทุนนี้รับประกันผลตอบแทน 8.5% ในช่วง 5 ปีแรก จากการที่กองทุนทำสัญญาให้บริษัท อะกรีเวิลด์ จำกัด และ บริษัท สยามนิปปอน เอนจิเนียริ่ง พาร์ท จำกัด เช่าคลังสินค้าห้องเย็นกลับไปบริหารและจ่ายค่าเช่าให้กับกองทุนตามที่ได้ตกลงในสัญญา โดยกำหนดระยะเวลาเช่า 5 ปี ทั้งนี้ มองว่าอุตสาหกรรมดังกล่าว ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องและไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ ในขณะที่ไทยเองเป็นศูนย์กลางอาหาร จึงเชื่อว่ากองทุนจะได้ประโยชน์ด้วย

 
กำลังโหลดความคิดเห็น