ASTVผู้จัดการรายวัน - ตามติดผลงานกองทุนหุ้นรอบ 7 เดือน พบตลาดจีนกำไรโดดเด่น ถือหน่วยกอง "ทหารไทย China Equity Index" ตั้งแต่ต้นปี รับผลตอบแทนไปแล้ว 85.08% ได้อานิสงส์หุ้นเด้งกลับ ตามสัญญาณเศรษฐกิจฟื้น ส่วนหุ้นไทยไม่น้อยหน้า กระแสเงินไหลเข้า ดันผลตอบแทนสูงสุด 53.24% ผู้จัดการกองทุนชี้ ทั้ง 2 ตลาด ราคาขยับขึ้นไปสูงแล้ว แนะเข้าได้แต่ต้องรอดัชนีปรับฐาน และจับตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งสัญญาณดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสนับสนุนหลักอยู่ที่ความคาดหมายว่า ในไม่ช้านี้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบของรัฐบาลทั่วโลก ซึ่งความคาดหวังดังกล่าวสะท้อนออกมาจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ที่ได้ผลดี ล่าสุด จีดีพีไตรมาส 2 เป็นบวกกว่า 7% และจากสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของจีนนี้เอง ทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นไปค่อนข้างมาก ส่งผลถึงตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในเอเชียรวมถึงไทยด้วย
ทั้งนี้ สัญญาณการฟื้นตัวดังกล่าว ส่งผลดีต่อกองทุนรวมต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่ออกไปลงทุนในหุ้นจีนและตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ด้วย โดยจากตัวเลขผลการดำเนินงานล่าสุด ณ วันที่ 31 กรกฏาคม 2552 ที่ผ่านมา พบว่า กองทุนเอฟไอเอฟหลายๆ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน และเอเชีย สามารถให้ผลตอบแทนอยู่ในอันดับต้นๆ โดยในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทนได้สูงสุดถึง 85.08% เลยทีเดียว
โดยกองทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นอันดับ 1 ด้วยผลตอบแทน 85.08% ดังกล่าว ได้แก่ กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index ภายใต้การบริหารจัดการของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด ซึ่งกองทุนนี้ มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ iShares FTSE/Xinhua A50 China Tracker ที่มีวัตถุประสงค์และนโยบายการลงทุนตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุน เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนจากการลงทุนในดัชนี FTSE/Xinhua China A50 ให้มากที่สุด
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับจดทะเบียนเพิ่มทุนกองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index เป็นจำนวน 1,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งการเพิ่มทุนดังกล่าว ทำให้มูลค่าโครงการของกองทุนเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท ซึ่งการเพิ่มทุนดังกล่าว จะรองรับการเติบโตของกองทุนในอนาคตได้
นอกจากกองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index ที่ผลการดำเนินงานออกมาสูงแล้ว กองทุนที่มีนโยบายลงทุนใกล้เคียงกัน ก็ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจเช่นกัน โดยกองทุนไทยพาณิชย์เอเชียนอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ตฟันด์ ของบลจ.ไทยพาณิชย์ มาเป็นอันดับ 2 ด้วยผลตอบแทน 62.12% ต่อด้วยอันดับ 3 กองทุนเปิดพรีมาเวสท์(ไทยแลนด์) บริค สตาร์ ฟันด์ ของบลจ.พรีมาเวสท์ ด้วยผลตอบแทน 58.76% ในขณะที่กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเวสท์ เอเชี่ยน อิควิตี้ ฟันด์ ของบลจ.เอ็มเอฟซี มาเป็นอันดับ 4 ด้วยผลตอบแทน 58.22% และอันดับ 5 กองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ ของบลจ.ทิสโก้ 56.49%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเอง ก็ได้รับอานิสงส์จากสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเช่นกัน ซึ่งการปรับขึ้นส่วนใหญ่ มาจากกระแสเงินทุนไหลเข้ามากกว่าความมั่นใจต่อเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งส่งผลให้กองทุนหุ้นในประเทศได้รับผลดีด้วยเช่นกัน โดยกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด คือ กองทุนเปิดทิสโก้ แอ็กเกรสซีฟ โกรท ฟันด์ ภายใต้การบริหารของบลจ.ทิสโก้ ด้วยผลตอบแทน 53.24%
อันดับ 2 กองทุนเปิดทิสโก้ เฟล็กซิเบิ้ล ฟันด์ ของบลจ.ทิสโก้เช่นเดียวกัน โดยกองทุนให้ผลตอบแทนในรอบ 7 เดือนถึง 51.85% อันดับ 3 กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แวลูพลัส ปันผล หุ้นระยะยาว ซึ่งเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ด้วยผลตอบแทน 51.12% ต่อด้วยกองทุนเปิดทีซีเอ็มพลทรัพย์ และกองทุนเปิด ทิสโก้ ทวีทุน ของบลจ.ทิสโก้ ในอันดับ 4 และ 5 ด้วยผลตอบแทน 48.72% และ 47.97% ตามลำดับ ทั้งนี้ ในช่วงเวลาเดียวกัน ดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 38.68%
ทั้งนี้ จะเห็นว่ากองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนอันดับต้นๆ ส่วนใหญ่เป็นกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของ บลจ.ทิสโก้ ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่างชาตินิยมซื้อขาย ดังนั้น กระแสเงินทุนไหลเข้าดังกล่าว จึงส่งผลให้หุ้นเหล่านี้ราคาปรับขึ้นค่อนข้างมาก และส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนออกมาอยู่ในอันดับต้นๆ ดังกล่าว
**แนะรอดูจีดีพีไตรมาสก่อน**
นายพิพัฒน์ พิศณุวงรักษ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.ทหารไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาสูงมากจากต้นปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมี P/E สูงกว่า 30 เท่า ดังนั้น การจะเข้าไปลงทุนตอนนี้ คงต้องรอดูสถาณการณ์เศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 ของจีนก่อนว่า จะออกมาเป็นอย่างไร และโตได้จริงหรือไม่หลังจากตัวเลขไตรมาสที่ 2 ออกมาค่อนข้างดี ขยายตัวในระดับ 7-8% ซึ่งหากตัวเลขออกมาดี ก็รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไปได้อีก 6 เดือน
"ถ้าจะเข้าไปลงทุนหุ้นจีนตอนนี้ อาจจะได้ราคาที่สูงเกินไป ดังนั้น คงต้องรอดูความชัดเจนของตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หากหลังจากนี้ มีการปรับฐานลงมา ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุน ซึ่งขณะนี้เอง ต้องบอกว่าหุ้นจีนยังฟื้นตัวได้ไม่เท่าช่วงก่อนโอลิมปิก ที่ทุกอย่างสวยงามไปหมด"นายพิพัฒน์กล่าว
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีมุมมองเช่นเดียวกันว่า ขณะนี้ราคาหุ้นไทยปรับขึ้นไปสูงมากแล้ว ซึ่งปัจจัยหลักมาจากเงินทุนไหลเข้า โดยไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริง เนื่องจากจีดีพีของไทยเองยังติดลบอยู่และมีการคาดการณ์ว่าทั้งปีจะติดลบด้วยเช่นกัน ซึ่งจากเงินทุนไหลที่เข้าเร็วออกเร็วนี่เอง ทำให้การลงทุนในช่วงนี้จับทางลำบาก อย่างไรก็ตาม หากตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐาน ก็เป็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนเช่นกัน ในขณะเดียวกัน ก็ต้องดูแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาดด้วยว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน โดยเฉพาะจีนกับอินเดีย ที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาค ซึ่งหาก 2 ประเทศขยายตัวได้ดี ก็จะสามารถฉุดเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกฟื้นได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งสัญญาณดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสนับสนุนหลักอยู่ที่ความคาดหมายว่า ในไม่ช้านี้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบของรัฐบาลทั่วโลก ซึ่งความคาดหวังดังกล่าวสะท้อนออกมาจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ที่ได้ผลดี ล่าสุด จีดีพีไตรมาส 2 เป็นบวกกว่า 7% และจากสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของจีนนี้เอง ทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นไปค่อนข้างมาก ส่งผลถึงตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในเอเชียรวมถึงไทยด้วย
ทั้งนี้ สัญญาณการฟื้นตัวดังกล่าว ส่งผลดีต่อกองทุนรวมต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่ออกไปลงทุนในหุ้นจีนและตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ด้วย โดยจากตัวเลขผลการดำเนินงานล่าสุด ณ วันที่ 31 กรกฏาคม 2552 ที่ผ่านมา พบว่า กองทุนเอฟไอเอฟหลายๆ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน และเอเชีย สามารถให้ผลตอบแทนอยู่ในอันดับต้นๆ โดยในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทนได้สูงสุดถึง 85.08% เลยทีเดียว
โดยกองทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นอันดับ 1 ด้วยผลตอบแทน 85.08% ดังกล่าว ได้แก่ กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index ภายใต้การบริหารจัดการของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด ซึ่งกองทุนนี้ มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ iShares FTSE/Xinhua A50 China Tracker ที่มีวัตถุประสงค์และนโยบายการลงทุนตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุน เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนจากการลงทุนในดัชนี FTSE/Xinhua China A50 ให้มากที่สุด
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับจดทะเบียนเพิ่มทุนกองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index เป็นจำนวน 1,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งการเพิ่มทุนดังกล่าว ทำให้มูลค่าโครงการของกองทุนเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท ซึ่งการเพิ่มทุนดังกล่าว จะรองรับการเติบโตของกองทุนในอนาคตได้
นอกจากกองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index ที่ผลการดำเนินงานออกมาสูงแล้ว กองทุนที่มีนโยบายลงทุนใกล้เคียงกัน ก็ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจเช่นกัน โดยกองทุนไทยพาณิชย์เอเชียนอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ตฟันด์ ของบลจ.ไทยพาณิชย์ มาเป็นอันดับ 2 ด้วยผลตอบแทน 62.12% ต่อด้วยอันดับ 3 กองทุนเปิดพรีมาเวสท์(ไทยแลนด์) บริค สตาร์ ฟันด์ ของบลจ.พรีมาเวสท์ ด้วยผลตอบแทน 58.76% ในขณะที่กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเวสท์ เอเชี่ยน อิควิตี้ ฟันด์ ของบลจ.เอ็มเอฟซี มาเป็นอันดับ 4 ด้วยผลตอบแทน 58.22% และอันดับ 5 กองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ ของบลจ.ทิสโก้ 56.49%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเอง ก็ได้รับอานิสงส์จากสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเช่นกัน ซึ่งการปรับขึ้นส่วนใหญ่ มาจากกระแสเงินทุนไหลเข้ามากกว่าความมั่นใจต่อเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งส่งผลให้กองทุนหุ้นในประเทศได้รับผลดีด้วยเช่นกัน โดยกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด คือ กองทุนเปิดทิสโก้ แอ็กเกรสซีฟ โกรท ฟันด์ ภายใต้การบริหารของบลจ.ทิสโก้ ด้วยผลตอบแทน 53.24%
อันดับ 2 กองทุนเปิดทิสโก้ เฟล็กซิเบิ้ล ฟันด์ ของบลจ.ทิสโก้เช่นเดียวกัน โดยกองทุนให้ผลตอบแทนในรอบ 7 เดือนถึง 51.85% อันดับ 3 กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แวลูพลัส ปันผล หุ้นระยะยาว ซึ่งเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ด้วยผลตอบแทน 51.12% ต่อด้วยกองทุนเปิดทีซีเอ็มพลทรัพย์ และกองทุนเปิด ทิสโก้ ทวีทุน ของบลจ.ทิสโก้ ในอันดับ 4 และ 5 ด้วยผลตอบแทน 48.72% และ 47.97% ตามลำดับ ทั้งนี้ ในช่วงเวลาเดียวกัน ดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 38.68%
ทั้งนี้ จะเห็นว่ากองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนอันดับต้นๆ ส่วนใหญ่เป็นกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของ บลจ.ทิสโก้ ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่างชาตินิยมซื้อขาย ดังนั้น กระแสเงินทุนไหลเข้าดังกล่าว จึงส่งผลให้หุ้นเหล่านี้ราคาปรับขึ้นค่อนข้างมาก และส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนออกมาอยู่ในอันดับต้นๆ ดังกล่าว
**แนะรอดูจีดีพีไตรมาสก่อน**
นายพิพัฒน์ พิศณุวงรักษ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.ทหารไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาสูงมากจากต้นปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมี P/E สูงกว่า 30 เท่า ดังนั้น การจะเข้าไปลงทุนตอนนี้ คงต้องรอดูสถาณการณ์เศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 ของจีนก่อนว่า จะออกมาเป็นอย่างไร และโตได้จริงหรือไม่หลังจากตัวเลขไตรมาสที่ 2 ออกมาค่อนข้างดี ขยายตัวในระดับ 7-8% ซึ่งหากตัวเลขออกมาดี ก็รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไปได้อีก 6 เดือน
"ถ้าจะเข้าไปลงทุนหุ้นจีนตอนนี้ อาจจะได้ราคาที่สูงเกินไป ดังนั้น คงต้องรอดูความชัดเจนของตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หากหลังจากนี้ มีการปรับฐานลงมา ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุน ซึ่งขณะนี้เอง ต้องบอกว่าหุ้นจีนยังฟื้นตัวได้ไม่เท่าช่วงก่อนโอลิมปิก ที่ทุกอย่างสวยงามไปหมด"นายพิพัฒน์กล่าว
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีมุมมองเช่นเดียวกันว่า ขณะนี้ราคาหุ้นไทยปรับขึ้นไปสูงมากแล้ว ซึ่งปัจจัยหลักมาจากเงินทุนไหลเข้า โดยไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริง เนื่องจากจีดีพีของไทยเองยังติดลบอยู่และมีการคาดการณ์ว่าทั้งปีจะติดลบด้วยเช่นกัน ซึ่งจากเงินทุนไหลที่เข้าเร็วออกเร็วนี่เอง ทำให้การลงทุนในช่วงนี้จับทางลำบาก อย่างไรก็ตาม หากตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐาน ก็เป็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนเช่นกัน ในขณะเดียวกัน ก็ต้องดูแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาดด้วยว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน โดยเฉพาะจีนกับอินเดีย ที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาค ซึ่งหาก 2 ประเทศขยายตัวได้ดี ก็จะสามารถฉุดเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกฟื้นได้