Q: ปีนี้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นไงบ้าง
A: ช่วงต้นปี 52 ถือว่าค่อนข้างเงียบเหงาตามภาวะเศรษฐกิจหดตัว ซึ่งเห็นได้จากยอดขายสินค้าเกี่ยวกับการก่อสร้างของบริษัท แต่อย่างไรก็ดีในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานั้นยอดขายเริ่มปรับตัวดีขึ้นส่วนหนึ่งเชื่อว่าอาจเป็นเพราะความมั่นใจของประชาชนต่อปัญหาเศรษฐกิจที่เริ่มลดความรุนแรงลง
Q: ทาง DCON ปรับตัวยังไงในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
A: ครับ จากภาวะการณ์ดังกล่าวเราเองก็หันมาสนใจเรื่องของการควบคุมต้นทุนมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการลดของเสียในกระบวนการผลิตสินค้าของเรา ที่ปัจจุบันได้พยายามปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตจนทำให้เหลือของเสียจากกระบวนการเพียงแค่ 0.3% เท่านั้น จากปีก่อนที่มีของเสียถึง 0.8% และแม้ว่าตอนนี้ของเสียจากการผลิตจะอยู่ในระดับต่ำ แต่เราเองก็มองว่าสามารถปรับลดได้อีกและคงจะพยายามทำให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะส่วนนี้จะส่งผลต้นทุนของเราให้ปรับลดลงได้พอสมควร
Q: แล้วพนักงานที่มีอยู่จะมีการจัดการแบบไหน
A: แน่นอน พนักงานถือเป็นกำลังหลักที่สำคัญในการพัฒนาองค์กร เพราะฉะนั้นบริษัทคงไม่คิดเอาพนักงานออกแม้ว่าเศรฐกิจจะไม่ดี และปัจจุบันสภาพคล่องของเรายังดีอยู่จึงไม่เห็นความจำเป็นในเรื่องนี้ แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่มีการรับพนักงานจากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 200 คน และมีบางส่วนของลาออกไปประกอบธุรกิจส่วนตัว ส่งผลให้บุคลากรของบริษัทเหลือเพียงแค่ 170 คนเท่านั้น
Q: ฐานะการเงินของทาง DCON เป็นยังไงบ้าง
A: ครับ สภาพของบริษัทในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างดี เพราะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียงแค่ 0.2 เท่า ซึ่งถือว่าน้อยมากและคาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะมี D/E อยู่ที่ 0 เท่า คือเราจะไม่มีหนี้สินเลยส่วนกระแสเงินสดในบริษัทเองก็ถือว่าอยู่ในระดับดีพอสมควร
Q: สภาพคล่องดีแบบนี้เรามีแผนจะลงทุนอะไรใหม่ ๆ เพิ่มหรือไม่
A: ก็มีอยู่ครับ คือเรามีแนวคิดจะลงทุนสร้างโครงการบ้านขนาดราคาขายประมาณ 1-2 ล้านบาท จำนวน 1 โครงการ และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงกลางปี 53 ซึ่งแหล่งเงินทุนส่วนหนึ่งมาจากเงินสดหมุนเวียนของบริษัทและอาจมีบางส่วนมากจากการเพิ่มทุนในลักษณะการ่วมทุนทำธุรกิจหรือลักษณะอื่นๆ ซึ่งความชัดเจนต่าง ๆ ตลอดจนงบการเงินและเรื่องต่าง ๆ คงต้องนำเข้าหารือกับที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอีกครั้งก่อนจึงจะสามารถเปิดเผยได้ ซึ่งเหตุผลของการลงทุนในโครงการนี้เพื่อเป็นการขยายฐานรายได้และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจจากการขายสินค้าให้กับโครงการอีกทางหนึ่งด้วย
Q: ปัจจุบันสัดส่วนรายได้เป็นอย่างไรบ้าง
A: ตอนนี้รายได้หลักของเรามาจากการขายวัสดุก่อสร้าง เช่น แผ่นพื้น เสาเข็ม อิฐกันความร้อน ผนังสำเร็จรูปภายใต้ชื่อแบรนด์ " ดีคอน" ที่ได้มาตราฐานและได้รับการไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่าง ส่วนโครงการบ้านดังกล่าวน่าจะสร้างรายได้เข้ามาให้กับ DCON ในปีหน้า
Q: ความคาดหมายต่อรายได้ของธุรกิจปีนี้
A: สำหรับผลประกอบการในปี 52 คงต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจพอสมควร ดังนั้นจึงมองว่ารายได้ของบริษัทสิ้นปีนีน่าจะปรับตัวลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้ 803.24 ล้านบาท ส่วนงบการเงินไตรมาส 2 ปีนี้ ที่กำลังจะประกาศออกมาคาดว่ารายได้น่าจะทรงตัวหรืออาจไม่ดีเท่ากับไตรมาส 1 ปีเดียวกัน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนส่งผลให้ไม่ค่อยมีการก่อสร้างและยอดขายของบริษัทก็ลดลงตามเช่นกัน โดยผลงานไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีรายได้รวมประมาณ 141 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6.14 ล้านบาท
Q: มุมมองแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในส่วนของ พ.ร.ก. 4 แสนล้านและอื่นๆ
A: ส่วนตัวผมเชื่อว่าหากเม็ดเงินดังกล่าวออกมาจริงก็จะมีผลทำให้เกิดโครงการต่างๆ มากขึ้น เช่น งานการสร้างเส้นทาง งานการสร้างอาคาร ฯลฯ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี และอาจทำให้ทิศทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงต้นปี 53 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็น่าจะทำให้ยอดขายของธุรกิจปรับตัวดีขึ้น
A: ช่วงต้นปี 52 ถือว่าค่อนข้างเงียบเหงาตามภาวะเศรษฐกิจหดตัว ซึ่งเห็นได้จากยอดขายสินค้าเกี่ยวกับการก่อสร้างของบริษัท แต่อย่างไรก็ดีในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานั้นยอดขายเริ่มปรับตัวดีขึ้นส่วนหนึ่งเชื่อว่าอาจเป็นเพราะความมั่นใจของประชาชนต่อปัญหาเศรษฐกิจที่เริ่มลดความรุนแรงลง
Q: ทาง DCON ปรับตัวยังไงในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
A: ครับ จากภาวะการณ์ดังกล่าวเราเองก็หันมาสนใจเรื่องของการควบคุมต้นทุนมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการลดของเสียในกระบวนการผลิตสินค้าของเรา ที่ปัจจุบันได้พยายามปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตจนทำให้เหลือของเสียจากกระบวนการเพียงแค่ 0.3% เท่านั้น จากปีก่อนที่มีของเสียถึง 0.8% และแม้ว่าตอนนี้ของเสียจากการผลิตจะอยู่ในระดับต่ำ แต่เราเองก็มองว่าสามารถปรับลดได้อีกและคงจะพยายามทำให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะส่วนนี้จะส่งผลต้นทุนของเราให้ปรับลดลงได้พอสมควร
Q: แล้วพนักงานที่มีอยู่จะมีการจัดการแบบไหน
A: แน่นอน พนักงานถือเป็นกำลังหลักที่สำคัญในการพัฒนาองค์กร เพราะฉะนั้นบริษัทคงไม่คิดเอาพนักงานออกแม้ว่าเศรฐกิจจะไม่ดี และปัจจุบันสภาพคล่องของเรายังดีอยู่จึงไม่เห็นความจำเป็นในเรื่องนี้ แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่มีการรับพนักงานจากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 200 คน และมีบางส่วนของลาออกไปประกอบธุรกิจส่วนตัว ส่งผลให้บุคลากรของบริษัทเหลือเพียงแค่ 170 คนเท่านั้น
Q: ฐานะการเงินของทาง DCON เป็นยังไงบ้าง
A: ครับ สภาพของบริษัทในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างดี เพราะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียงแค่ 0.2 เท่า ซึ่งถือว่าน้อยมากและคาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะมี D/E อยู่ที่ 0 เท่า คือเราจะไม่มีหนี้สินเลยส่วนกระแสเงินสดในบริษัทเองก็ถือว่าอยู่ในระดับดีพอสมควร
Q: สภาพคล่องดีแบบนี้เรามีแผนจะลงทุนอะไรใหม่ ๆ เพิ่มหรือไม่
A: ก็มีอยู่ครับ คือเรามีแนวคิดจะลงทุนสร้างโครงการบ้านขนาดราคาขายประมาณ 1-2 ล้านบาท จำนวน 1 โครงการ และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงกลางปี 53 ซึ่งแหล่งเงินทุนส่วนหนึ่งมาจากเงินสดหมุนเวียนของบริษัทและอาจมีบางส่วนมากจากการเพิ่มทุนในลักษณะการ่วมทุนทำธุรกิจหรือลักษณะอื่นๆ ซึ่งความชัดเจนต่าง ๆ ตลอดจนงบการเงินและเรื่องต่าง ๆ คงต้องนำเข้าหารือกับที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอีกครั้งก่อนจึงจะสามารถเปิดเผยได้ ซึ่งเหตุผลของการลงทุนในโครงการนี้เพื่อเป็นการขยายฐานรายได้และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจจากการขายสินค้าให้กับโครงการอีกทางหนึ่งด้วย
Q: ปัจจุบันสัดส่วนรายได้เป็นอย่างไรบ้าง
A: ตอนนี้รายได้หลักของเรามาจากการขายวัสดุก่อสร้าง เช่น แผ่นพื้น เสาเข็ม อิฐกันความร้อน ผนังสำเร็จรูปภายใต้ชื่อแบรนด์ " ดีคอน" ที่ได้มาตราฐานและได้รับการไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่าง ส่วนโครงการบ้านดังกล่าวน่าจะสร้างรายได้เข้ามาให้กับ DCON ในปีหน้า
Q: ความคาดหมายต่อรายได้ของธุรกิจปีนี้
A: สำหรับผลประกอบการในปี 52 คงต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจพอสมควร ดังนั้นจึงมองว่ารายได้ของบริษัทสิ้นปีนีน่าจะปรับตัวลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้ 803.24 ล้านบาท ส่วนงบการเงินไตรมาส 2 ปีนี้ ที่กำลังจะประกาศออกมาคาดว่ารายได้น่าจะทรงตัวหรืออาจไม่ดีเท่ากับไตรมาส 1 ปีเดียวกัน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนส่งผลให้ไม่ค่อยมีการก่อสร้างและยอดขายของบริษัทก็ลดลงตามเช่นกัน โดยผลงานไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีรายได้รวมประมาณ 141 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6.14 ล้านบาท
Q: มุมมองแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในส่วนของ พ.ร.ก. 4 แสนล้านและอื่นๆ
A: ส่วนตัวผมเชื่อว่าหากเม็ดเงินดังกล่าวออกมาจริงก็จะมีผลทำให้เกิดโครงการต่างๆ มากขึ้น เช่น งานการสร้างเส้นทาง งานการสร้างอาคาร ฯลฯ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี และอาจทำให้ทิศทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงต้นปี 53 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็น่าจะทำให้ยอดขายของธุรกิจปรับตัวดีขึ้น