xs
xsm
sm
md
lg

จากแถลงการณ์ร่วม (ลับ) ทักษิณ-ฮุนเซน ถึงแผนกำจัดกษิต!

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ผู้ปฏิบัติงาน และแนวร่วม รวมจำนวนทั้งสิ้น 35 คน จะเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตาม หมายเรียกในคดีความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร และในคดีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน โดยมี 27 คนถูกหมายเรียกในการชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง และมีอีก 25 คนที่โดนข้อกล่าวหาเพิ่มเติมว่าเป็นผู้ก่อการร้ายอันเนื่องมาจากการชุมนุมที่หน้าอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งคดีหลังนี้รวมถึงนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ในทางตรงกันข้าม กลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมช่วงสงกรานต์ มีการเผาบ้านเผาเมือง ประกาศให้ประชาชนใช้อาวุธ มีการจลาจล และมีการยิงชาวบ้านจนเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่ตั้งข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” หรือให้ย้อนกลับไปนานกว่านั้น การยิงระเบิดคดี M-79 ใส่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลายครั้งในปีที่แล้ว จนมีประชาชนล้มตายบาดเจ็บมากมาย กลับไม่มีตำรวจ ทหาร หรือนักการเมืองคนใดใส่ใจกับคดีดังกล่าวว่าเป็นการก่อการร้ายแต่ประการใด

ความผิดฐานก่อการร้ายนั้น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท จึงถือว่าเป็นโทษที่รุนแรง แต่ทว่า “วรรคสุดท้าย” ของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 135/1 ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายได้ระบุอย่างชัดเจนว่า

“การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ หรือให้ได้รับความเป็นธรรม อันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำผิดฐานก่อการร้าย”

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้แล้วไปใส่ข้อหาที่เกินจริง ย่อมมีเดิมพันสูงสุดในชีวิตเช่นกัน เพราะจะต้องถูกฟ้องกลับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 ที่บัญญัติบทลงโทษเอาไว้อย่างรุนแรงในวรรคสองว่า:

“ถ้าการกระทำหรือไม่กระทำนั้นเป็นการเพื่อที่จะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ รับโทษหนักขึ้น หรือต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 14,000 บาท”

อะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้ “สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี” ในฐานะผู้แจ้งความในคดีสนามบินดอนเมือง และ “บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)” ในฐานะผู้แจ้งความในคดีสนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึง “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” จึงยอมเสี่ยงพร้อมใจกันดำเนินคดีนี้อย่างไม่ลืมหูลืมตา แล้วยังเกิดขึ้นในรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอีกด้วย

จะมาอ้างไม่ได้เด็ดขาดว่า เป็นการดำเนินการตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว เพราะช่วงเวลาระหว่างดำเนินคดีความ หากรัฐบาลมีความจริงใจจริง ก็ต้องสั่งให้ “สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี” “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” และ “บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)” ทบทวนหยุดยัดเยียดข้อกล่าวหาเกินจริง และหยุดยัดเยียดข้อกล่าวหาผู้ที่ไม่ได้ทำความผิดใดๆ โดยทันที หรือทำไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนคน!

การชุมนุมของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ผ่านมาได้แสดงจุดมุ่งหมายชัดเจนในการพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญมิให้ฟอกความผิดให้กับนักการเมือง คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมิให้ลดโครงสร้างหรือพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ต่อต้านแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาในการยกปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบอันเป็นอธิปไตยของชาติไทยให้กับกัมพูชา ต่อต้านอภิมหาโครงการรถเมล์เอ็นจีวีปล้นชาติ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นเจตนาที่ชัดเจนว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นพวก “ก่อการดี” ต่อชาติ ราชบัลลังก์ รัฐธรรมนูญ และผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ

มิพักต้องพูดถึงนายกษิต ภิรมย์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการนำผู้ชุมนุม ไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติการ ไม่ได้เป็นผู้สั่งการ เพียงแค่เป็นผู้ปราศรัยให้ความรู้กับผู้ชุมนุมแต่ประการใด

คิดไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเป็นการ “กลั่นแกล้ง” เพื่อมุ่งหวังกำจัดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และทำลายนายกษิต ภิรมย์ ให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโดยเร็วที่สุด โดยรัฐบาลที่กุมอำนาจรัฐอยู่แท้ๆ ก็ยังนั่งเฉยปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้

เพราะนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกและคนเดียวที่เพิกถอนหนังสือเดินทางทุกประเภทของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ติดต่อทางการทูตกับหลายประเทศเพื่อให้ความร่วมมือในการมิให้นักโทษชายทักษิณทำร้ายประเทศไทยและยังขอความร่วมมือในการส่งตัวกลับมารับโทษทัณฑ์ในประเทศไทย จึงถือเป็นบุคคลอันตรายที่สุดในระบอบทักษิณ ใช่หรือไม่?

แต่ที่น่าจับตามากที่สุดในเวลานี้ กลับเป็นเรื่องผลประโยชน์อันมหาศาลในเรื่องปราสาทพระวิหาร พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร และดินแดนอธิปไตยของไทย 1.5 ล้านไร่ ตลอดจนผลประโยชน์ทางพลังงานในพื้นที่อ่าวไทย ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังรุกล้ำอย่างหนัก ซึ่งเชื่อว่า ไม่สามารถที่จะเจรจากับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ยินยอมในเรื่องเหล่านี้ได้

ทบทวนกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อคราวที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาชุมนุมอยู่บนสะพานชมัยมรุเชฐ ในเช้าวันหนึ่งในรายการสภาท่าพระอาทิตย์บนเวทีคร่อมสะพาน ที่มีนายสำราญ รอดเพชร นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายบวร อัครบวร และนายกษิต ภิรมย์ ในวันนั้นนายกษิต ภิรมย์ เป็นผู้เสนอทางออกเรื่องปราสาทพระวิหารว่า “ให้ทำหนังสือยกเลิกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาส่งให้ประเทศกัมพูชาและคณะกรรมการมรดกโลก” อันเป็นที่มาของแถลงการณ์ในข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในเวลาต่อมา ซึ่งถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่ได้ทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว!

คดีแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาที่ยกปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบให้กับกัมพูชาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น ศาลปกครองและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่างมีคำวินิจฉันเช่นเดียวกันไปแล้วว่าเป็นสนธิสัญญาซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ในมาตรา 190 ซึ่งเป็นผลทำให้การกระทำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวชผิดไปด้วย

ซึ่งบทลงโทษการกระทำที่ทำ การเตรียมการ และสนับสนุน ให้ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยมีบทลงโทษทางอาญาสูงสุดถึงขั้น “ประหารชีวิต”

ช่างบังเอิญว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในช่วงหลังไม่ได้เป็นผู้เจรจากับนายฮุน เซน ในเรื่องปราสาทพระวิหารและผลประโยชน์ในอ่าวไทยอีกต่อไป แต่กลับเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่ไม่เจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารและการรุกล้ำอธิปไตยของไทย แต่กลับไปเจรจาอย่างขะมักเขม้นในเรื่องผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทย ซึ่งดูเหมือนว่าจุดยืนจะไม่เหมือนกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ ตามคำสัมภาษณ์ตอนหนึ่งของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ว่า:

“คิดว่าความรุนแรงบริเวณเขาพระวิหารจะลดระดับลง อย่าไปคิดว่าเขาพระวิหารจะต้องมีอะไรโต้แย้งกันระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะศาลโลกตัดสินมาตั้งหลายสิบปีแล้วว่าเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ส่วนการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน ก็มีส่วนอื่นๆ”

เป็นความคิดที่เหมือนเป็นพวกเดียวกันกับ นายนพดล ปัทมะ และนายสมัคร สุนทรเวช อย่างไม่ผิดเพี้ยน!


ยังมีเรื่องน่าประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังคงเน้นไมตรีระหว่างประเทศจนมองข้ามการเจรจาเรื่องอธิปไตยในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร มุ่งเน้นการเจรจาเรื่องผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยแทน ซึ่งมีพฤติกรรมคล้ายคลึงกันกับรัฐบาลหุ่นเชิดเมื่อปีที่แล้ว

ทำให้นึกถึงข่าวประจานของฝ่ายกัมพูชาที่ระบุว่า ประเทศไทยมีการเจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารมาแลกเปลี่ยนปะปนกับผลประโยชน์ทางทะเล เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2551 จากหนังสือพิมพ์เดอะ คอมโบเดีย เดลี (The Cambodia Daily) โดยระบุถึงคำให้สัมภาษณ์ของ นายจาม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีพาณิชย์ของกัมพูชา ที่ให้สัมภาษณ์ความตอนหนึ่งว่า:

“ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายที่พยายามโยงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารเข้ากับผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาไม่เห็นด้วย โดยที่พวกเขาต้องการโยง 2 เรื่องเข้าด้วยกัน ดังนั้น หากเราแก้ปัญหาเขาพระวิหาร เราก็ต้องแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนด้วย มันเป็นคนละเรื่องกัน ดูเหมือนว่าขณะนี้ฝ่ายไทยกำลังสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมขึ้นมา ทำให้การแก้ไขปัญหายากขึ้น”

ข่าวที่ว่านั้นเป็นการเจรจาในช่วงเวลาที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร มีข่าวว่าจะไปลงทุนด้านพลังงานและสถานบันเทิงในเกาะกง ซึ่งย่อมถูกกล่าวหาว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนกับรัฐบาลไทยที่มาจากการสนับสนุนของตัวเองในเวลานั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ในเวลานี้มีคำถามว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กำลังเดินรอยตามแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งลงนามโดยนายฮุน เซน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2544 หรือไม่? ซึ่งเป็นแถลงการณ์ร่วมที่ไม่ได้ขอความเห็นชอบต่อรัฐสภา และไม่ได้เปิดเผยให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ

สาระสำคัญส่วนหนึ่งในแถลงการณ์ร่วมฉบับดังกล่าวในข้อที่ 15 คือการอนุมัติ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและกัมพูชา ที่ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ซึ่งตามอุปนิสัยและเจ้าเล่ห์เหมือนเดิมของฝ่ายกัมพูชา คือมีเอกสารแนบท้ายเป็น “แผนที่และเส้นแบ่งเขตทางทะเล” เพื่อให้ทั้งสองประเทศลงนามอนุมัติ

ภาพแสดง เอกสารแนบท้ายการยอมรับพื้นที่ทับซ้อนในบันทึกข้อตกลงระหว่างไทยกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544

การลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเท่ากับว่าประเทศไทยและกัมพูชาได้ยอมรับพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกัน ทั้งๆ ที่เส้นแบ่งเขตทางทะเลที่ฝ่ายกัมพูชาได้ลากมาตั้งแต่ปี 2515 นั้นได้ลากมาจากหลักที่ 73 ชิดติดและผ่านเกาะกูด ซึ่งเกาะกูดนั้นเป็นดินแดนของประเทศไทยจึงต้องมีดินแดนทางทะเลล้อมรอบเกาะจากผืนดินไม่น้อยกว่า 12 ไมล์ทะเล ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็ยังไม่สนใจ และยังลากเส้นติดเกาะกูดต่อไปตามอำเภอใจโดยไม่มีมาตรฐานใดๆทั้งสิ้น เพื่อให้ได้ครอบครองพื้นที่พลังงานในอ่าวไทยให้มากที่สุด ในขณะที่ฝ่ายไทยได้ใช้วิธีลากเส้นแบ่งเขตทางทะเลตามมาตรฐานสากลที่ทำกันทั่วโลกแต่ก็ไม่ทักท้วงกัมพูชาอย่างจริงจัง

เขตพัฒนาแหล่งพลังงานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ที่อ้างว่าทับซ้อนกันและจะร่วมมือกันระหว่างไทย-กัมพูชาซึ่งวัดจากละติจูดที่ 11 ลงมานั้น จึงย่อมไม่ถูกต้อง เพราะมาจากการตั้งต้นในการลากเส้นที่ผิดของฝ่ายกัมพูชา แปลว่าการเดินหน้าตามแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว จะทำให้สิทธิประโยชน์ในแหล่งพลังงานและทรัพยากรทางทะเลของฝ่ายไทย ถูกยอมรับให้เป็นพื้นที่ทับซ้อนและยกทรัพยากรซึ่งเป็นของประเทศไทยทั้งหมด ให้กลายเป็นสมบัติของทั้งสองประเทศอย่างไร้เหตุผล

ฝ่ายกัมพูชามีแต่ได้กับได้ นับวันมีแต่โอกาสที่จะได้ดินแดนทางบกและทางทะเล ตลอดจนพลังงานในอ่าวไทยเพิ่มมากขึ้น เพราะความเห็นแก่ประโยชน์ต่อประเทศชาติและผลประโยชน์ของผู้นำกัมพูชาเอง

ในขณะที่ฝ่ายไทยนับวันมีแต่ความเสี่ยงที่เสียดินแดนทั้งทางบกและทางทะเลตลอดจนสูญเสียพลังงานในอ่าวไทยเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เพราะคำนึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนแต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติตัวเอง

เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่คนอย่างนายกษิต ภิรมย์ จึงย่อมไม่เป็นที่พึงปรารถนาของคนเสื้อแดงและระบอบทักษิณ ไม่เป็นที่ต้องการในการเจรจาของฝ่ายกัมพูชา และยังเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดของคนขายชาติอีกด้วย

นายกษิต ภิรมย์ จึงไม่สมควรจะลาออกด้วยเหตุผลอันเนื่องมาจากข้อหาผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นข้อหาที่บ้าบอคอแตกและไร้สาระ

แต่หากจะลาออกก็ควรจะเป็นเหตุผลในกรณีที่ไม่สามารถทำงานรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติเพราะอิทธิพลของฝ่ายการเมืองกีดกันหรือขัดขวางการทำงานเท่านั้น แล้วถือโอกาสป่าวประกาศให้ประชาชนได้รับทราบความจริง จึงจะมีความสง่างามและมีเกียรติยิ่ง

กำลังโหลดความคิดเห็น