ASTVผู้จัดการรายวัน - ”กษิต ภิรมย์”บินด่วนจากกาตาร์กลับไทย หลังถูกตำรวจตั้งข้อหาร้ายแรงเกินเหตุกรณีบุกสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนเข้าพบตำรวจเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมปฏิเสธพร้อมขอให้การในชั้นศาล เลขาฯ รมว.ต่างประเทศระบุข้อหาร้ายแรงเกินเหตุ "เสธ.หนั่น” บอกแค่ขั้นตอนของตำรวจไม่ควรถอดใจ "สุริยะใส"ชี้ หาก “กษิต” ลาออกถือว่ารัฐบาลเพลี่ยงพล้ำต่อพวกที่กดดัน หลัง "กษิต"ถอดพาสปอร์ตและตามบี้ "นช.แม้ว" หนัก “กษิต”ย้ำยังไม่ลาออก จนกว่าจะถึงขั้นตอนส่งฟ้อง แต่ก็ต้องดูข้อกล่าวหาสมเหตุสมผลหรือไม่ หากยังต้องข้อหาก่อการร้ายไม่ยอมรับแน่นอน
หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาและออกหมายเรียกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดล้อมสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป บุกรุกสถานที่ราชการ มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการ เดิน อากาศยาน และข้อหาก่อการร้ายสากล แยกเป็นคดีที่สนามบินดอนเมือง มีผู้ถูกออกหมายเรียก 27 คน คดีที่สนามบินสุวรรณภูมิมีผู้ถูกออกหมายเรียก 25 คน โดยนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ก็ถูกออกหมายเรียกในกรณีบุกรุก สนามบินสุวรรณภูมิด้วยนั้น
** “กษิต”ถึงไทยไม่กังวลข้อกล่าวหา
วานนี้ (6 ก.ค.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งเป็น 1 ในผู้ที่ถูกออก หมายเรียกในคดีปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ ได้เดินทางกลับจากปฏิบัติภารกิจ ที่กรุงโดอา ประเทศกาตาร์ โดยเที่ยวบิน QR 0612 ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 05.00 น. แต่นายกษิต ไม่ได้เดินออกมาทางอาคารห้องรับรองพิเศษเหมือนปกติ คาดว่าจะออกทางชั้น 2 ของอาคารเดียวกัน ทำให้ผู้สื่อข่าวและช่างภาพที่มาดักรอแต่เช้ามืดไม่พบ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ได้หารือกับนายกษิต แล้ว โดยนายกษิต ขอพักผ่อนก่อน เนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับจากการปฏิบัติภารกิจเยือนประเทศกาตาร์อย่างเป็นทางการ ส่วนที่ไม่ได้พบสื่อมวลชนนั้น ไม่ใช่ต้องการหลบ แต่อาจเกิดจากสถานที่นัดหมายคลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตาม นายกษิตไม่ได้วิตกกังวลต่อข้อกล่าวหา เพราะยืนยันว่าการไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำในฐานะวิทยากร
**ข้อกล่าวหาผู้ก่อการร้ายแรงเกินไป
นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า ระหว่างนี้นายกษิต ขอเวลาเตรียมข้อมูล รวมถึงปรึกษา กับทนายความก่อน และมีแนวโน้มว่า จะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา ตามหมายเรียก ก่อนวันที่ 16 ก.ค. ตามที่ตำรวจนัดหมาย เพราะในวันดังกล่าวติดภารกิจที่ต้องเดินทางไปร่วมประชุมกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM) ที่ประเทศอียิปต์ ระหว่างวันที่ 14-18 ก.ค. หากวันนี้ทีมทนายความรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อชี้แจงเรียบร้อย ก็อาจจะเดินทางไปในวันนี้ได้เลย และมั่นใจสามารถ ชี้แจงได้สบาย แต่ส่วนตัวมองว่าข้อกล่าวหาการก่อการร้าย เป็นข้อกล่าวหา ที่รุนแรงเกินไป ส่วนที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายกษิต ลาออกจากตำแหน่งนั้น ยังไม่ได้หารือกันถึงเรื่องนี้ แต่ก็เห็นว่านายกษิต ไม่มีความจำเป็นต้องลาออก จากตำแหน่ง
ด้านนายพณิช วิกิตเศรษฐ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่นายกษิต จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ แต่หลังจากเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ไม่บกพร่อง ส่วนนายกรัฐมนตรีเคยระบุว่าผู้ที่เป็นรัฐมนตรีต้องดีทั้งก่อนและ หลัง นายพณิช ตอบว่า ไม่เกี่ยวกัน การแสดงออกเป็นสิทธิทางการเมือง ของแต่ละบุคคลที่จะสามารถทำได้
** “กษิต”พบ ตร. ปฏิเสธก่อการร้าย
ต่อมาเมื่อเวลา 12.30 น. นายกษิต ภิรมย์ ได้เดินทางไปยัง สน.ทุ่งสองห้อง พร้อมด้วยนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่ออรับทราบข้อกล่าวหา "ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญฯ มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ, เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมแล้วไม่เลิก, ก่อการร้าย, บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์ ฯลฯ ทำให้การให้บริการของท่าอากาศยานหยุดชะงักลง ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2551 และฉบับที่ 2 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2551 เหตุเกิดระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ" กับพนักงานสอบสวน โดยมี พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้รับทราบข้อกล่าวหา โดยใช้เวลาในการสอบปากคำราว 2 ชั่วโมง
พล.ต.ท.วุฒิ ให้สัมภาษณ์หลังสอบปากคำ นายกษิต ว่า ได้รับการติดต่อจาก นายกษิตว่าจะเดินทางเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งในครั้งแรกได้จัดเตรียมสถานที่ ไว้ที่ สภ.ราชาเทวะ จ.สมุทรปราการ เป็นสถานที่แจ้งข้อกล่าวหา แต่เมื่อมีการประสานกัน จึงมาลงตัวที่สน.ทุ่งสองห้อง ซึ่งนายกษิต เดินทางมาพร้อมทนายความ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้รับทราบ และดำเนินกระบวนการขั้นตอนตามปกติ เหมือนประชาชนทั่วไป โดยมีการพิมพ์ลายนิ้วมือ ทำประวัติ ถ่ายภาพ ซึ่งนายกษิต ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี
”ท่านกษิตได้กล่าวขอบคุณ และกล่าวแสดงความเข้าใจการทำงานของตำรวจว่า ได้กระทำไปตามหน้าที่ ซึ่งตำรวจเราใช้เวลาในการสอบปากคำประมาณ 2 ชั่วโมง เบื้องต้น นายกษิตให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยจะขอไปให้การในชั้นศาล ส่วนคำให้การอย่างเป็นทางการ ที่นายกษิตจะทำมาเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น จะส่งมาให้พนักงานสอบสวนภายใน 30 วัน และที่นายกษิตต้องเดินทางมารับทราบ ข้อกล่าวหาในวันนี้ เพราะ ในวันที่ 16 ก.ค.ตามกำหนดนัดของพนักงานสอบสวนนั้น นายกษิตติดราชการเดินทางไปต่างประเทศ”
**ยัน ตร.ให้ความเป็นธรรม
พล.ต.ท.วุฒิ ยังกล่าวถึงแกนนำพันธมิตรฯ รายอื่น ที่ถูกออกหมายเรียก ในข้อหาเดียวกันกับนายกษิตด้วยว่า จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามา เพื่อมารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยคาดว่า ทั้งหมดคงจะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา ในวันที่ 16 ก.ค.พร้อมกันตามกำหนดนัด
ด้าน พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. กล่าวถึงกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ที่จะเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน ในวันที่ 16 ก.ค. นี้ว่า คงไม่สามารถให้รายละเอียดได้ เนื่องจากผู้รับผิดชอบงานด้านการสอบสวน คือทีมพนักงานสอบสวนระดับ ตร. ที่มี พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าชุด แต่เท่าที่ทราบทางพนักงานสอบสวนจะใช้สโมสรตำรวจ เป็นสถานที่รับรองการเข้ารับทราบข้อกล่าวหา เหมือนกับครั้งที่แล้ว ซึ่งผู้บังคับบัญชาก็ได้มอบหมายให้ บช.น.เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ คอยอำนวยความสะดวกและดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่กลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ตลอดจนกลุ่มประชาชนที่จะเดินทางไปให้กำลังใจอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
**"อัลญาซีเราะห์"อ้าง"กษิต"จะลาออก
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 19.00 น. นายกษิตจะไปอัดเทปรายการ "คุยนอกทำเนียบ" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 โดยจะนำมาออกอากาศ ในเวลา 20.30 น. คาดว่า จะมีการแถลงข่าวการตัดสินใจว่า จะลาออกหรือไม่
อย่างไรก็ตาม สถานีโทรทัศน์อัลจาซีเลาะห์ ของกาตาร์รายงานข่าวโดยอ้างว่า ก่อนออกเดินทางจากกาตาร์กลับประเทศไทย นายกษิต ได้ให้สัมภาษณ์เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ตนจำเป็นต้อง ก้าวลงจากตำแหน่ง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกตัวเข้าไปสอบปากคำ ตามข้อกล่าวหาว่า เป็นหนึ่งในแกนนำในการบุกรุกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
**ระบุ"อัลญาซีเราะห์"เสนอข่าวผิด
ขณะที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า นายกษิตได้โทรศัพท์หานายกรัฐมนตรีเพื่อชี้แจงกรณีสำนักงานอัลจาซีเลาะห์ เสนอข่าวว่า นายกษิตจะลาออกจากตำแหน่งเป็นการเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากนายกษิตยืนยันว่า จะทำงานต่อไป ในขณะที่นายกรัฐมนตรีก็ไฟเขียว เพราะต่างเห็นตรงกันว่า การออกหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเพียง การแจ้งข้อกล่าวหาขั้นต้นเท่านั้น ไม่ได้หมายความนายกษิตได้กระทำผิด และโดยส่วนตัวเชื่อว่า หากคดีความถึงขั้นที่อัยการสั่งฟ้อง ถึงตอนนั้นนายกษิตคงจะมีการทบทวนว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือไม่
สำหรับเรื่องภาพลักษณ์ของรมว.ต่างประเทศ หลังจากถูกแจ้งข้อกล่าวหาเ ป็น ผู้ก่อการร้ายนั้น เชื่อว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการที่ไทยเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เชื่อว่า ต่างประเทศจะเข้าใจในข้อกฎหมาย ของไทย ว่าการแจ้งข้อกล่าวหา ไม่ได้แปลว่า นายกษิตทำผิด
**เสธ.หนั่นชี้ยังไม่ต้องออกในช่วงนี้
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โดยหลักปฏิบัติ เมื่อมีคดี และตำรวจเรียกตัวไปสอบสวนยังไม่ถือเป็นผู้กระทำผิดจนกว่าตำรวจจะสอบสวนเสร็จ และส่งเรื่องให้อัยการ ถ้าอัยการส่งฟ้อง มีสำนวนหลักฐานชัดเจนและศาลรับฟ้อง ในทางการเมืองต้องถือว่า นายกษิตควรต้องลาออกโดยไม่ต้องรอคำพิพากษา เหมือน กรณีของตนที่เคยถูกกล่าวหาว่า แจ้งทรัพย์สินไม่ตรงความเป็นจริง เมื่อ ป.ป.ช.มีมติ ตนก็ลาออกทันที โดยไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ
พล.ต.สนั่น กล่าวว่า นักการเมืองทุกคนมีเอกภาพในตัวเอง และมีความรับผิดชอบว่า ถึงเวลาไหนที่ควรต้องออกจากตำแหน่ง ซึ่งเชื่อว่าคดีนี้จะไม่บานปลาย หรือส่งผลกระทบต่อรัฐบาล แม้จะมีการถูกหยิบยกมาโจมตี เพราะประชาชนมองออกว่า เป็นเพียงเรื่องที่ตำรวจออกหมายเรียกไปสอบสวนเท่านั้น
**ชี้ "กษิต”ลาออกถือว่ารัฐบาลเพลี่ยงพล้ำ
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่มีการเรียกร้องให้นายกษิตลาออกจากตำแหน่งเพราะเป็นความต้องการของคนบางคนมาตั้งแต่ต้น โดยที่ผ่านมามีการกดดันให้ตำรวจตั้งข้อหาร้ายแรงเกิดเหตุต่อนายกษิต เนื่องจากการที่นายกษิต เป็นรัฐมนตรีมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องการไม่ยินยอมให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพียงฝ่ายเดียว
นายสุริยะใส กล่าวว่า นายกษิต ไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะเป็นแค่หมายเรียก และมีการตั้งข้อหาเกินจริง และเป็นข้อกล่าวหาที่พวก นปช.ตั้งด้วยซ้ำ ถ้าลาออกเท่ากับยอมรับการกลั่นแกล้งของใครบางคน ขณะที่คนบางคนดังกล่าวมีความแน่นแฟ้นกับทางประเทศกัมพูชามากกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สังเกตได้จากระยะหลังนายสุเทพ ต้องเป็นฝ่ายไปพบผู้นำกัมพูชา เพราะคงมีการยื่นคำขาดมาว่าจะไม่คุยกับนายกษิตอย่างเด็ดขาด
"พรรคการเมืองใหม่จะไม่ได้ปกป้องนายกษิต เพราะถึงอย่างไรนายกษิต ก็อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มาอยู่พรรคการเมืองใหม่อย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้จะมองว่า นายกษิตจะออกหรือไม่นั้นไม่เพียงพอ จะต้องมองถึงความแข็งแกร่งในเรื่องระหว่างประเทศของไทยด้วย หากนายกษิต ลาออกจะเท่ากับรัฐบาลยอมถอยในทางนโยบายต่อกัมพูชา ซึ่งถือว่าเพลี่ยงพล้ำในทางยุทธวิธีต่อคนบางคนที่สามารถคุกคามเสถียรภาพ ได้ตลอดเวลา”
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า การทำงานของนายกษิต ในการติดตามยึดพาสปอร์ต ของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นไปด้วยความแข็งขันซึ่งในจุดนี้ก็มีหลายฝ่ายโดยเฉพาะกลุ่ม นปช. จึงหาวิธีบีบกดดันให้ออกจากตำแหน่ง
**ปชป.ยัน”กษิต”ไม่จำเป็นต้องลาออก
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า นายกษิต ยังไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่งเพราะการออกหมายเรียก เป็นเพียงกระบวนการยุติธรรมขั้นต้นเท่านั้น ส่วนการดำเนินการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นการแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไม่ได้เข้าไปแทรกแซง ซึ่งหากเป็นสมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รมว.ต่างประเทศไม่มีทางถูกแจ้งข้อหาแบบนี้แน่
ส่วนกรณีที่นายกษิตเคยพูดว่าหากถูกแจ้งข้อหาจะลาออกทันทีนั้น นายเทพไท กล่าวว่า ไม่รู้ว่านายกษิตเคยพูดอย่างไร เป็นสิ่งที่นายกษิตจะต้องไปชี้แจงกับประชาชน แต่ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์มีมาตรฐานสูงและจะไม่เลือกปฏิบัติ แต่เรื่องนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับกฎเหล็ก 9 ข้อ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังให้สัมภาษณ์ถึงคดีนายกษิต ว่าต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายกษิต ซึ่งอยู่ต่างประเทศก็รีบเดินทางกลับมา เพื่อเตรียมพบกับพนักงานสอบสวน หากนายกษิต มีจิตสำนึกเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คงไม่เดินทางกลับมา ทั้งนี้บรรทัดฐานที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญในการ สร้างความสมานฉันท์ เพราะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลใช้บรรทัดฐานเดียวกันในการดำเนินคดีไม่ว่าเป็นใครก็ตาม
**ยุค "สมชาย-สมัคร”ไม่เห็น รมต.ออก
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ตามข้อกฎหมายนายกษิต เป็นผู้ถูกกล่าวหายังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เพราะยังไม่มีคำพิพากษาคดี และก็จะเข้ามอบตัว ไม่เหมือน ส.ส.เพื่อไทย ที่พยายามพูดตลอดเวลาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีบริสุทธิ์ ทั้งที่มีคดีสั่งฟ้อง 13 คดี และโดนตัดสินไปแล้ว ในกรณีที่ดินรัชดาฯ แต่ยังไม่มารับโทษ
นายสมชาย ยกตัวอย่างกรณีรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ก็มีรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาในหลายคดี แต่ยังดำรงตำแหน่งและยังทำหน้าที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นคดีกล้ายาง และคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งก็เหมือนกันกับคดีของนายกษิต แต่ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมีมาตรฐานสูงก็สุดแท้จะพิจารณา
**"กษิต"ออกทีวีแจงยังไม่ออก
เมื่อเวลาประมาณ 20.35 น. วันที่ 6 ก.ค. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในรายการ “คุยนอกทำเนียบ” ทางสถานทีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ถึงการไปรับทราบข้อกล่าวหาคดีบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้องเมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกันว่า ตนได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และสาเหตุที่ไปพบพนักงานสอบสวนก่อนกำหนดในวันที่ 16 ก.ค.เนื่องจากวันดังกล่าวมีภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศ
นายกษิตกล่าวว่า เรื่องลาออกหรือไม่ลาออกนั้น ไม่เกี่ยวกันโดยตรงว่ามีข้อกล่าวหาแล้วต้องลาออก แต่เมื่อไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วได้ปฏิเสธและทนายความจะให้รายละเอียดภายใน 30 วัน ประเด็นต่อมา เป็นสิทธิของตนที่จะพิจารณาว่าข้อกล่าวหาสมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่ใช่โดนกล่าวหาแล้วต้องรับสารภาพทันที ซึ่งจะดูในขั้นตอนจากอัยการถึงศาล ก่อนจะตัดสินใจ
นายกษิตกล่าวต่อว่า ถ้าอัยการสั่งฟ้องหรือศาลรับฟ้องตนก็ต้องดูเนื้อหาก่อน ถ้ายังกล่าวหาว่าก่อการร้ายก็จะปฏิเสธ
“ผมไปร่วมกับพันธมิตรฯ มี 2 อย่าง มีแต่ปากกับปากกา ไม่มีอาวุธไป จะเป็นก่อการร้ายได้ยังไง แต่การที่จะตัดสินใจลาออกหรือไม่ อยู่ที่ผมและทนายความ 2.พรรคประชาธิปัตย์ และ 3.รัฐบาลท่านนายอภิสิทธิ์”
ส่วนที่สำนักข่าวอัลญาซีเราะห์รายงานว่า จะลาออกเมื่อมีข้อกล่าวหานั้น นายกษิตกล่าวว่า ตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวอัลญาซีเราะห์คนที่เขียนข่าว แต่เมื่อวาน(5ก.ค.)ได้ไปออกรายการสดที่ประเทศกาตาร์สำนักงานใหญ่อัลญาซีเราะห์ ซึ่งตนได้บอกว่า ตามกระบวนการแล้ว ถ้าไปถึงจุดหนึ่ง ถ้า(ข้อกล่าวหา)มันสมเหตุสมผล ตนก็จะลาออก ตนพูดทำนองนั้น
ส่วนหากมีการส่งฟ้องศาล นายกษิตกล่าวว่า ตนคงไม่ดื้อด้านอยู่ในตำแหน่ง และไม่หนีศาล ไม่หนีคดี แต่ต้องดูว่าข้อกล่าวหาเป็นอะไร ถ้ายังบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้ายมันไม่สมเหตุสมผล ทำไมตอนที่ตนขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ไม่กล่าวหา แต่มากล่าวหาทีหลัง
หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาและออกหมายเรียกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดล้อมสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป บุกรุกสถานที่ราชการ มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการ เดิน อากาศยาน และข้อหาก่อการร้ายสากล แยกเป็นคดีที่สนามบินดอนเมือง มีผู้ถูกออกหมายเรียก 27 คน คดีที่สนามบินสุวรรณภูมิมีผู้ถูกออกหมายเรียก 25 คน โดยนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ก็ถูกออกหมายเรียกในกรณีบุกรุก สนามบินสุวรรณภูมิด้วยนั้น
** “กษิต”ถึงไทยไม่กังวลข้อกล่าวหา
วานนี้ (6 ก.ค.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งเป็น 1 ในผู้ที่ถูกออก หมายเรียกในคดีปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ ได้เดินทางกลับจากปฏิบัติภารกิจ ที่กรุงโดอา ประเทศกาตาร์ โดยเที่ยวบิน QR 0612 ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 05.00 น. แต่นายกษิต ไม่ได้เดินออกมาทางอาคารห้องรับรองพิเศษเหมือนปกติ คาดว่าจะออกทางชั้น 2 ของอาคารเดียวกัน ทำให้ผู้สื่อข่าวและช่างภาพที่มาดักรอแต่เช้ามืดไม่พบ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ได้หารือกับนายกษิต แล้ว โดยนายกษิต ขอพักผ่อนก่อน เนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับจากการปฏิบัติภารกิจเยือนประเทศกาตาร์อย่างเป็นทางการ ส่วนที่ไม่ได้พบสื่อมวลชนนั้น ไม่ใช่ต้องการหลบ แต่อาจเกิดจากสถานที่นัดหมายคลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตาม นายกษิตไม่ได้วิตกกังวลต่อข้อกล่าวหา เพราะยืนยันว่าการไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำในฐานะวิทยากร
**ข้อกล่าวหาผู้ก่อการร้ายแรงเกินไป
นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า ระหว่างนี้นายกษิต ขอเวลาเตรียมข้อมูล รวมถึงปรึกษา กับทนายความก่อน และมีแนวโน้มว่า จะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา ตามหมายเรียก ก่อนวันที่ 16 ก.ค. ตามที่ตำรวจนัดหมาย เพราะในวันดังกล่าวติดภารกิจที่ต้องเดินทางไปร่วมประชุมกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM) ที่ประเทศอียิปต์ ระหว่างวันที่ 14-18 ก.ค. หากวันนี้ทีมทนายความรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อชี้แจงเรียบร้อย ก็อาจจะเดินทางไปในวันนี้ได้เลย และมั่นใจสามารถ ชี้แจงได้สบาย แต่ส่วนตัวมองว่าข้อกล่าวหาการก่อการร้าย เป็นข้อกล่าวหา ที่รุนแรงเกินไป ส่วนที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายกษิต ลาออกจากตำแหน่งนั้น ยังไม่ได้หารือกันถึงเรื่องนี้ แต่ก็เห็นว่านายกษิต ไม่มีความจำเป็นต้องลาออก จากตำแหน่ง
ด้านนายพณิช วิกิตเศรษฐ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่นายกษิต จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ แต่หลังจากเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ไม่บกพร่อง ส่วนนายกรัฐมนตรีเคยระบุว่าผู้ที่เป็นรัฐมนตรีต้องดีทั้งก่อนและ หลัง นายพณิช ตอบว่า ไม่เกี่ยวกัน การแสดงออกเป็นสิทธิทางการเมือง ของแต่ละบุคคลที่จะสามารถทำได้
** “กษิต”พบ ตร. ปฏิเสธก่อการร้าย
ต่อมาเมื่อเวลา 12.30 น. นายกษิต ภิรมย์ ได้เดินทางไปยัง สน.ทุ่งสองห้อง พร้อมด้วยนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่ออรับทราบข้อกล่าวหา "ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญฯ มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ, เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมแล้วไม่เลิก, ก่อการร้าย, บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์ ฯลฯ ทำให้การให้บริการของท่าอากาศยานหยุดชะงักลง ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2551 และฉบับที่ 2 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2551 เหตุเกิดระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ" กับพนักงานสอบสวน โดยมี พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้รับทราบข้อกล่าวหา โดยใช้เวลาในการสอบปากคำราว 2 ชั่วโมง
พล.ต.ท.วุฒิ ให้สัมภาษณ์หลังสอบปากคำ นายกษิต ว่า ได้รับการติดต่อจาก นายกษิตว่าจะเดินทางเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งในครั้งแรกได้จัดเตรียมสถานที่ ไว้ที่ สภ.ราชาเทวะ จ.สมุทรปราการ เป็นสถานที่แจ้งข้อกล่าวหา แต่เมื่อมีการประสานกัน จึงมาลงตัวที่สน.ทุ่งสองห้อง ซึ่งนายกษิต เดินทางมาพร้อมทนายความ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้รับทราบ และดำเนินกระบวนการขั้นตอนตามปกติ เหมือนประชาชนทั่วไป โดยมีการพิมพ์ลายนิ้วมือ ทำประวัติ ถ่ายภาพ ซึ่งนายกษิต ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี
”ท่านกษิตได้กล่าวขอบคุณ และกล่าวแสดงความเข้าใจการทำงานของตำรวจว่า ได้กระทำไปตามหน้าที่ ซึ่งตำรวจเราใช้เวลาในการสอบปากคำประมาณ 2 ชั่วโมง เบื้องต้น นายกษิตให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยจะขอไปให้การในชั้นศาล ส่วนคำให้การอย่างเป็นทางการ ที่นายกษิตจะทำมาเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น จะส่งมาให้พนักงานสอบสวนภายใน 30 วัน และที่นายกษิตต้องเดินทางมารับทราบ ข้อกล่าวหาในวันนี้ เพราะ ในวันที่ 16 ก.ค.ตามกำหนดนัดของพนักงานสอบสวนนั้น นายกษิตติดราชการเดินทางไปต่างประเทศ”
**ยัน ตร.ให้ความเป็นธรรม
พล.ต.ท.วุฒิ ยังกล่าวถึงแกนนำพันธมิตรฯ รายอื่น ที่ถูกออกหมายเรียก ในข้อหาเดียวกันกับนายกษิตด้วยว่า จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามา เพื่อมารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยคาดว่า ทั้งหมดคงจะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา ในวันที่ 16 ก.ค.พร้อมกันตามกำหนดนัด
ด้าน พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. กล่าวถึงกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ที่จะเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน ในวันที่ 16 ก.ค. นี้ว่า คงไม่สามารถให้รายละเอียดได้ เนื่องจากผู้รับผิดชอบงานด้านการสอบสวน คือทีมพนักงานสอบสวนระดับ ตร. ที่มี พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าชุด แต่เท่าที่ทราบทางพนักงานสอบสวนจะใช้สโมสรตำรวจ เป็นสถานที่รับรองการเข้ารับทราบข้อกล่าวหา เหมือนกับครั้งที่แล้ว ซึ่งผู้บังคับบัญชาก็ได้มอบหมายให้ บช.น.เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ คอยอำนวยความสะดวกและดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่กลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ตลอดจนกลุ่มประชาชนที่จะเดินทางไปให้กำลังใจอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
**"อัลญาซีเราะห์"อ้าง"กษิต"จะลาออก
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 19.00 น. นายกษิตจะไปอัดเทปรายการ "คุยนอกทำเนียบ" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 โดยจะนำมาออกอากาศ ในเวลา 20.30 น. คาดว่า จะมีการแถลงข่าวการตัดสินใจว่า จะลาออกหรือไม่
อย่างไรก็ตาม สถานีโทรทัศน์อัลจาซีเลาะห์ ของกาตาร์รายงานข่าวโดยอ้างว่า ก่อนออกเดินทางจากกาตาร์กลับประเทศไทย นายกษิต ได้ให้สัมภาษณ์เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ตนจำเป็นต้อง ก้าวลงจากตำแหน่ง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกตัวเข้าไปสอบปากคำ ตามข้อกล่าวหาว่า เป็นหนึ่งในแกนนำในการบุกรุกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
**ระบุ"อัลญาซีเราะห์"เสนอข่าวผิด
ขณะที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า นายกษิตได้โทรศัพท์หานายกรัฐมนตรีเพื่อชี้แจงกรณีสำนักงานอัลจาซีเลาะห์ เสนอข่าวว่า นายกษิตจะลาออกจากตำแหน่งเป็นการเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากนายกษิตยืนยันว่า จะทำงานต่อไป ในขณะที่นายกรัฐมนตรีก็ไฟเขียว เพราะต่างเห็นตรงกันว่า การออกหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเพียง การแจ้งข้อกล่าวหาขั้นต้นเท่านั้น ไม่ได้หมายความนายกษิตได้กระทำผิด และโดยส่วนตัวเชื่อว่า หากคดีความถึงขั้นที่อัยการสั่งฟ้อง ถึงตอนนั้นนายกษิตคงจะมีการทบทวนว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือไม่
สำหรับเรื่องภาพลักษณ์ของรมว.ต่างประเทศ หลังจากถูกแจ้งข้อกล่าวหาเ ป็น ผู้ก่อการร้ายนั้น เชื่อว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการที่ไทยเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เชื่อว่า ต่างประเทศจะเข้าใจในข้อกฎหมาย ของไทย ว่าการแจ้งข้อกล่าวหา ไม่ได้แปลว่า นายกษิตทำผิด
**เสธ.หนั่นชี้ยังไม่ต้องออกในช่วงนี้
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โดยหลักปฏิบัติ เมื่อมีคดี และตำรวจเรียกตัวไปสอบสวนยังไม่ถือเป็นผู้กระทำผิดจนกว่าตำรวจจะสอบสวนเสร็จ และส่งเรื่องให้อัยการ ถ้าอัยการส่งฟ้อง มีสำนวนหลักฐานชัดเจนและศาลรับฟ้อง ในทางการเมืองต้องถือว่า นายกษิตควรต้องลาออกโดยไม่ต้องรอคำพิพากษา เหมือน กรณีของตนที่เคยถูกกล่าวหาว่า แจ้งทรัพย์สินไม่ตรงความเป็นจริง เมื่อ ป.ป.ช.มีมติ ตนก็ลาออกทันที โดยไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ
พล.ต.สนั่น กล่าวว่า นักการเมืองทุกคนมีเอกภาพในตัวเอง และมีความรับผิดชอบว่า ถึงเวลาไหนที่ควรต้องออกจากตำแหน่ง ซึ่งเชื่อว่าคดีนี้จะไม่บานปลาย หรือส่งผลกระทบต่อรัฐบาล แม้จะมีการถูกหยิบยกมาโจมตี เพราะประชาชนมองออกว่า เป็นเพียงเรื่องที่ตำรวจออกหมายเรียกไปสอบสวนเท่านั้น
**ชี้ "กษิต”ลาออกถือว่ารัฐบาลเพลี่ยงพล้ำ
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่มีการเรียกร้องให้นายกษิตลาออกจากตำแหน่งเพราะเป็นความต้องการของคนบางคนมาตั้งแต่ต้น โดยที่ผ่านมามีการกดดันให้ตำรวจตั้งข้อหาร้ายแรงเกิดเหตุต่อนายกษิต เนื่องจากการที่นายกษิต เป็นรัฐมนตรีมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องการไม่ยินยอมให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพียงฝ่ายเดียว
นายสุริยะใส กล่าวว่า นายกษิต ไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะเป็นแค่หมายเรียก และมีการตั้งข้อหาเกินจริง และเป็นข้อกล่าวหาที่พวก นปช.ตั้งด้วยซ้ำ ถ้าลาออกเท่ากับยอมรับการกลั่นแกล้งของใครบางคน ขณะที่คนบางคนดังกล่าวมีความแน่นแฟ้นกับทางประเทศกัมพูชามากกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สังเกตได้จากระยะหลังนายสุเทพ ต้องเป็นฝ่ายไปพบผู้นำกัมพูชา เพราะคงมีการยื่นคำขาดมาว่าจะไม่คุยกับนายกษิตอย่างเด็ดขาด
"พรรคการเมืองใหม่จะไม่ได้ปกป้องนายกษิต เพราะถึงอย่างไรนายกษิต ก็อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มาอยู่พรรคการเมืองใหม่อย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้จะมองว่า นายกษิตจะออกหรือไม่นั้นไม่เพียงพอ จะต้องมองถึงความแข็งแกร่งในเรื่องระหว่างประเทศของไทยด้วย หากนายกษิต ลาออกจะเท่ากับรัฐบาลยอมถอยในทางนโยบายต่อกัมพูชา ซึ่งถือว่าเพลี่ยงพล้ำในทางยุทธวิธีต่อคนบางคนที่สามารถคุกคามเสถียรภาพ ได้ตลอดเวลา”
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า การทำงานของนายกษิต ในการติดตามยึดพาสปอร์ต ของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นไปด้วยความแข็งขันซึ่งในจุดนี้ก็มีหลายฝ่ายโดยเฉพาะกลุ่ม นปช. จึงหาวิธีบีบกดดันให้ออกจากตำแหน่ง
**ปชป.ยัน”กษิต”ไม่จำเป็นต้องลาออก
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า นายกษิต ยังไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่งเพราะการออกหมายเรียก เป็นเพียงกระบวนการยุติธรรมขั้นต้นเท่านั้น ส่วนการดำเนินการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นการแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไม่ได้เข้าไปแทรกแซง ซึ่งหากเป็นสมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รมว.ต่างประเทศไม่มีทางถูกแจ้งข้อหาแบบนี้แน่
ส่วนกรณีที่นายกษิตเคยพูดว่าหากถูกแจ้งข้อหาจะลาออกทันทีนั้น นายเทพไท กล่าวว่า ไม่รู้ว่านายกษิตเคยพูดอย่างไร เป็นสิ่งที่นายกษิตจะต้องไปชี้แจงกับประชาชน แต่ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์มีมาตรฐานสูงและจะไม่เลือกปฏิบัติ แต่เรื่องนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับกฎเหล็ก 9 ข้อ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังให้สัมภาษณ์ถึงคดีนายกษิต ว่าต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายกษิต ซึ่งอยู่ต่างประเทศก็รีบเดินทางกลับมา เพื่อเตรียมพบกับพนักงานสอบสวน หากนายกษิต มีจิตสำนึกเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คงไม่เดินทางกลับมา ทั้งนี้บรรทัดฐานที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญในการ สร้างความสมานฉันท์ เพราะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลใช้บรรทัดฐานเดียวกันในการดำเนินคดีไม่ว่าเป็นใครก็ตาม
**ยุค "สมชาย-สมัคร”ไม่เห็น รมต.ออก
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ตามข้อกฎหมายนายกษิต เป็นผู้ถูกกล่าวหายังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เพราะยังไม่มีคำพิพากษาคดี และก็จะเข้ามอบตัว ไม่เหมือน ส.ส.เพื่อไทย ที่พยายามพูดตลอดเวลาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีบริสุทธิ์ ทั้งที่มีคดีสั่งฟ้อง 13 คดี และโดนตัดสินไปแล้ว ในกรณีที่ดินรัชดาฯ แต่ยังไม่มารับโทษ
นายสมชาย ยกตัวอย่างกรณีรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ก็มีรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาในหลายคดี แต่ยังดำรงตำแหน่งและยังทำหน้าที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นคดีกล้ายาง และคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งก็เหมือนกันกับคดีของนายกษิต แต่ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมีมาตรฐานสูงก็สุดแท้จะพิจารณา
**"กษิต"ออกทีวีแจงยังไม่ออก
เมื่อเวลาประมาณ 20.35 น. วันที่ 6 ก.ค. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในรายการ “คุยนอกทำเนียบ” ทางสถานทีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ถึงการไปรับทราบข้อกล่าวหาคดีบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้องเมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกันว่า ตนได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และสาเหตุที่ไปพบพนักงานสอบสวนก่อนกำหนดในวันที่ 16 ก.ค.เนื่องจากวันดังกล่าวมีภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศ
นายกษิตกล่าวว่า เรื่องลาออกหรือไม่ลาออกนั้น ไม่เกี่ยวกันโดยตรงว่ามีข้อกล่าวหาแล้วต้องลาออก แต่เมื่อไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วได้ปฏิเสธและทนายความจะให้รายละเอียดภายใน 30 วัน ประเด็นต่อมา เป็นสิทธิของตนที่จะพิจารณาว่าข้อกล่าวหาสมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่ใช่โดนกล่าวหาแล้วต้องรับสารภาพทันที ซึ่งจะดูในขั้นตอนจากอัยการถึงศาล ก่อนจะตัดสินใจ
นายกษิตกล่าวต่อว่า ถ้าอัยการสั่งฟ้องหรือศาลรับฟ้องตนก็ต้องดูเนื้อหาก่อน ถ้ายังกล่าวหาว่าก่อการร้ายก็จะปฏิเสธ
“ผมไปร่วมกับพันธมิตรฯ มี 2 อย่าง มีแต่ปากกับปากกา ไม่มีอาวุธไป จะเป็นก่อการร้ายได้ยังไง แต่การที่จะตัดสินใจลาออกหรือไม่ อยู่ที่ผมและทนายความ 2.พรรคประชาธิปัตย์ และ 3.รัฐบาลท่านนายอภิสิทธิ์”
ส่วนที่สำนักข่าวอัลญาซีเราะห์รายงานว่า จะลาออกเมื่อมีข้อกล่าวหานั้น นายกษิตกล่าวว่า ตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวอัลญาซีเราะห์คนที่เขียนข่าว แต่เมื่อวาน(5ก.ค.)ได้ไปออกรายการสดที่ประเทศกาตาร์สำนักงานใหญ่อัลญาซีเราะห์ ซึ่งตนได้บอกว่า ตามกระบวนการแล้ว ถ้าไปถึงจุดหนึ่ง ถ้า(ข้อกล่าวหา)มันสมเหตุสมผล ตนก็จะลาออก ตนพูดทำนองนั้น
ส่วนหากมีการส่งฟ้องศาล นายกษิตกล่าวว่า ตนคงไม่ดื้อด้านอยู่ในตำแหน่ง และไม่หนีศาล ไม่หนีคดี แต่ต้องดูว่าข้อกล่าวหาเป็นอะไร ถ้ายังบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้ายมันไม่สมเหตุสมผล ทำไมตอนที่ตนขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ไม่กล่าวหา แต่มากล่าวหาทีหลัง