“กษิต” ย้ำยังไม่ลาออก จนกว่าจะถึงขั้นตอนส่งฟ้อง แต่ก็ต้องดูข้อกล่าวหาสมเหตุสมผลหรือไม่ หากยังต้องข้อหาก่อการร้ายไม่ยอมรับแน่นอน เหตุไปร่วมกับพันธมิตรฯ มีแค่ปากกับปากกา ยัดเยียดให้เป็นผู้ก่อการร้าย ฟังไม่ขึ้น ชี้ “อัลญาซีเราะห์” รายงานผิด ยันจะลาออกเมื่อศาลรับฟ้องด้วยข้อหาสมเหตุสมผลเท่านั้น
คลิกฟังเสียงนายกษิต ภิรมย์ ให้สัมภาษณ์=>
เมื่อเวลาประมาณ 20.35 น.วันที่ 6 ก.ค. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในรายการ “คุยนอกทำเนียบ” ทางสถานทีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ถึงการไปรับทราบข้อกล่าวหาคดีบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้องเมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกันว่า ตนได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และสาเหตุที่ไปพบพนักงานสอบสวนก่อนกำหนดในวันที่ 16 ก.ค.เนื่องจากวันดังกล่าวมีภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศ
นายกษิตกล่าวว่า เรื่องลาออกหรือไม่ลาออกนั้น ไม่เกี่ยวกันโดยตรงว่ามีข้อกล่าวหาแล้วต้องลาออก แต่เมื่อไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วได้ปฏิเสธและทนายความจะให้รายละเอียดภายใน 30 วัน ประเด็นต่อมา เป็นสิทธิของตนที่จะพิจารณาว่าข้อกล่าวหาสมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่ใช่โดนกล่าวหาแล้วต้องรับสารภาพทันที ซึ่งผมจะดูในขั้นตอนจากอัยการถึงศาล ก่อนจะตัดสินใจ
นายกษิตกล่าวต่อว่า ถ้าอัยการสั่งฟ้องหรือศาลรับฟ้องตนก็ต้องดูเนื้อหาก่อน ถ้ายังกล่าวหาว่าก่อการร้ายก็จะปฏิเสธ เพราะต้องดูว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ ซึ่งมันมีนัยทางกฎหมาย รายละเอียดตนคงปรึกษาทนายความ ต้องดูว่าข้อกล่าวหาเป็นอย่างไร ข้อกล่าวหาว่าก่อการร้ายนั้นใครเป็นคนตั้ง
“ผมไปร่วมกับพันธมิตรฯ มี 2 อย่าง มีแต่ปาก กับปากกา ไม่มีอาวุธไป จะเป็นก่อการร้ายได้ยังไง แต่การที่จะตัดสินใจลาออกหรือไม่ อยู่ที่ผมและทนายความ 2.พรรคประชาธิปัตย์ และ 3.รัฐบาลท่านนายอภิสิทธิ์ ผมไม่ได้มาแบบโดดเดี่ยว มันอยู่ในกรอบอยู่ในกติกา อยู่ในพรรค ส่วนที่มี ส.ส.ในพรรคออกมาเรียกร้องให้ผมลาออกก็มีแค่คนเดียว คือ ส.ส.ปราจีนฯ (นายเกียรติกร ภาคเพียรศิลป์) ก็เป็นสิทธิส่วนตัวของเขา จะด้วยเหตุผลใดก็อีกเรื่องหนึ่ง”
นายกษิตย้ำว่า ตนได้ปรึกษากับนายกฯ ทุกระยะตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง เพราะตั้งแต่วันแรกก็มีคนกล่าวหาตามหลังมาแล้ว ทั้งในสภาและนอกสภา การไปรับทราบข้อกล่าวหาจากตำรวจก็ได้รายงานให้นายกฯ ทราบแล้ว
ส่วนที่สำนักข่าวอัลญาซีเราะห์รายงานว่า จะลาออกเมื่อมีข้อกล่าวหานั้น นายกษิตกล่าวว่า ตนไม่ได้ให้สัมภาณ์นักข่าวอัลญาซีเราะห์คนที่เขียนข่าว แต่เมื่อวาน(5ก.ค.)ได้ไปออกรายการสดที่ประเทศกาตาร์สำนักงานใหญ่ของอัลญาซีเราะห์ ซึ่งตนได้บอกว่า ตามกระบวนการแล้ว ถ้าไปถึงจุดหนึ่ง ถ้า(ข้อกล่าวหา)มันสมเหตุสมผล ตนก็จะลาออก ตนพูดทำนองนั้น ไม่ใช่ว่าพอตำรวจเชิญไปพบแล้ว ต้องลาออก
“จะลาออกไปยังไง ในเมื่อผมไม่เห็นด้วย และผมได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แล้วการพูดกับอัลญาซีเราะห์มันไม่กี่วินาที มันจะมาอธิบายขั้นตอนอย่างที่ผมพูดกับคุณวีระได้ยังไง”
ส่วนข้อกล่าวหาดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคในการทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่นั้น นายกษิตยืนยันว่า ไม่มีปัญหาอะไร เพราะตนไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้าย จะฟังเสียงของ ส.ส.ประชาธิปัตย์คนเดียวหรือจะฟังเสียงส่วนใหญ่ สังคมไทยไม่ใช่ไร้ซึ่งความรู้ หรือว่าไร้ซึ่งคนที่รักความยุติธรรม ตนไปกับพันธมิตรฯ อย่างเปิดเผย และตนพูดบนเวทีด้วยเหตุผล 2 อย่างคือ 1.เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่ 2 ตนไปเพื่อต้านระบอบทักษิณที่เต็มด้วยการใช้อำนาจไม่ถูกต้องและคอร์รัปชั่น เพราะฉะนั้นจนถึงขณะนี้ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคในการทำงาน วันที่ 7 ก.ค.ก็จะเดินทางต่อและยังมีอีก 2-3 ชุด
สำหรับเสียงเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบนั้น นายกษิตกล่าวว่า จะให้รับผิดชอบด้วยเหตุผลอะไร เป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ ขณะนี้ตนเข้ามาอยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว ก็ให้กระบวนการยุติธรรมเป็นตัวตั้งมากกว่า ที่บอกว่ามีคนเรียกร้อง มีคนไม่ชอบหน้า ก็แล้วแต่
ส่วนหากมีการส่งฟ้องศาล นายกษิตกล่าวว่า ตนคงไม่ดื้อด้านอยู่ในตำแหน่ง และไม่หนีศาล ไม่หนีคดี แต่ต้องดูว่าข้อกล่าวหาเป็นอะไร ถ้ายังบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้ายมันไม่สมเหตุสมผล ทำไมตอนที่ตนขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ไม่กล่าวหา แต่มากล่าวหาทีหลัง
สำหรับกรณที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ลาออกเพราะศาลปกครองตัดสินว่าการลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเรื่องเขาพระวิหารผิดรัฐธรรมนูญนั้น นายกษิตกล่าวว่า ไม่อยากเปรียบเทียบกับกรณีของนายนพดล ส่วนกรณีที่มีรัฐมนตรีในพรรคประชาธิปัตย์ลาออกเพราะปัญหาปลากระป๋องนั้น เพราะเป็นคดีทุจริต แต่กรณีของตนเป็นข้อหาก่อการร้าย ซึ่งยังไม่มีการก่อการร้ายจริงๆ มีแต่การใช้ปาก ถ้าต้องติดคุกเพราะใช้ปากพูดก็คงติดเป็นล้านๆ คน
นายกษิตยืนยันว่า ตนไม่ใช่จุดอ่อนของรัฐบาล และที่จริงควรจะเป็นจุดแข็งด้วยซ้ำ เพราะได้ต่อสู้เพื่อความถูกต้องมาโดยตลอด ส่วนเรื่องงานต่างประเทศก็ไม่มีปัญหา มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองภายในประเทศ นอกจากนี้ถ้าจะเอาอดีตของคนมาเป็นปัญหาในการทำหน้าที่แล้ว ทำไมอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมันเคยต่อสู้ถึงขั้นขนอาวุธที่แฟรงก์เฟิร์ตยังมาเป็นรัฐมนตรีได้ และคนที่มาเล่นการเมืองบ้านเราทุกวันนี้หลายคนก็เคยร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ในป่า
“การกล่าวหาผมและพันธมิตรฯ อีก 20 กว่าคนว่าเป็นผู้ก่อการร้าย มันฟังไม่ขึ้น ผมไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ที่เราไปกัน เราไปประท้วงด้วยสันติวิธี ไม่มีความร้ายแรง ไม่มีความรุนแรง เพราะฉะนั้นผมก็ไม่ทราบว่าจะรับผิดเรื่องอย่างนี้ได้ยังไง ตลอดแนวทางไปจนถึงที่ศาลจะสั่งฟ้อง และผมก็ยอมรับสภาวะจิตใจของผู้ทั้งหลายที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม” นายกษิตกล่าว