เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ไม่แปลกใจที่มีเสียงเรียกร้องให้ “กษิต” ลาออก ชี้เป็นความต้องการของใครบางคน ที่กดดัน ตร.ให้ตั้งข้อหาร้ายแรง ยัน “กษิต” ไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะ ตร.ข้อหาเกินจริง หากออกเท่ากับยอมรับการกลั่นแกล้งของใครบางคน และเท่ากับ รบ.ยอมถอยในทางนโยบายต่อกัมพูชา เพราะที่ผ่านมา “กษิต” มีจุดยืนชัดเจนไม่ยอมให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว จี้ “มาร์ค-สุเทพ” สอบ เหตุใดตอนแรกไม่พบชื่อ “กษิต” ถูกตั้งข้อกล่าวหา
วันนี้ (6 ก.ค.) นายสุริยะใส กล่าวถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนออกหมายเรียก นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ถูกพนักงานสืบสวนออกหมายเรียกข้อกล่าวหาฐานร่วมกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ รวม 36 คนนั้น ว่า ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่มีการเรียกร้องให้ นายกษิต ลาออกจากตำแหน่ง เพราะเป็นความต้องการของคนบางคนมาตั้งแต่ต้น โดยที่ผ่านมามีการกดดันให้ตำรวจตั้งข้อหาร้ายแรงเกิดเหตุต่อนายกษิต เนื่องจากการที่ นายกษิต เป็นรัฐมนตรีมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องการไม่ยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว
ซึ่งในส่วนของ นายกษิตย์ ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ก็ไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะเป็นแค่หมายเรียก และเป็นการตั้งข้อหาเกินจริง และเป็นข้อหาที่ นปช.ตั้งให้ด้วยซ้ำ ถ้าลาออกเท่ากับยอมรับการกลั่นแกล้งของใครบางคน ขณะที่คนบางคนดังกล่าวมีความแน่นแฟ้นกับทางประเทศกัมพูชามากกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สังเกตได้จากระยะหลัง นายสุเทพ ต้องเป็นฝ่ายไปพบผู้นำประเทศกัมพูชา เพราะคงมีการยื่นคำขาดมาว่าจะไม่คุยกับนายกษิตอย่างเด็ดขาด
“พรรคการเมืองใหม่ ยืนยันว่า ไม่ได้ปกป้อง นายกษิต เพราะถึงอย่างไร นายกษิต ก็อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มาอยู่พรรคการเมืองใหม่อย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้จะมองว่า นายกษิต จะออกหรือไม่นั้นไม่เพียงพอ จะต้องมองถึงความแข็งแกร่งในเรื่องระหว่างประเทศของไทยด้วย หากนายกษิต ลาออก จะเท่ากับรัฐบาลยอมถอยในทางนโยบายต่อกัมพูชา ซึ่งถือว่าเพลี้ยงพล้ำในทางยุทธวิธีต่อคนบางคนที่สามารถคุกคามเสถียรภาพได้ตลอดเวลา” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า การทำงานของ นายกษิต ในการติดตามยึดพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นไปด้วยความแข็งขัน ซึ่งในจุดนี้ก็มีหลายฝ่ายโดยเฉพาะกลุ่ม นปช.จึงหาวิธีบีบกดดันให้ออกจากตำแหน่ง เห็นได้จากวันแรกที่ นายกษิต เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ จนถึงปัจจุบันก็ยังมีความพยายามดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาของกลุ่มคนเสื้อแดง ในส่วนของเรื่องคดีความต่างๆ ของพันธมิตรฯ และ นปช.นั้น ตนทราบว่าคนที่รับผิดชอบเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวในตอนแรกเป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น พ.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรงจุดนี้ไม่ทราบว่า เพราะเหตุใดจึงได้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวน ซึ่งตนตั้งข้อสังสัยว่าอาจมีผู้มีอำนาจบางคนทำการกลั่นแกล้งพันธมิตรฯอยู่ก็มีความเป็นไปได้
ขณะเดียวกัน ในส่วนของพนักงานสอบสวนที่ออกหมายเรียกในข้อหาผู้ก่อการร้ายนั้น ก็ยังไม่มีความเป็นเอกภาพเท่าใด เพราะบางคนตีความเป็นผู้ก่อการร้าย อีกบางส่วนไม่ได้ตีความเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ทั้งนี้ ตนเห็นว่า ควรจะต้องดูที่เจตนามากกว่า นอกจากนี้ ยังทราบว่า ก็มีตำรวจบางคนที่จะยัดเยียดข้อกล่าวหาดังกล่าวให้ได้ อีกทั้งตอนแรกที่ตั้งข้อกล่าวหาก็ไม่พบชื่อของ นายกษิต ภิรมย์ ในรายชื่อของคดีนี้ จึงไม่ทราบว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง รู้เรื่องดังกล่าวบ้างหรือไม่ซึ่งควรจะมีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย
“น่าจะมีฝ่ายการเมืองเข้าไปดำเนินการเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งอาจมีการเกี่ยวโยงกันกับคดี 7ตุลา ที่ทาง ป.ป.ช.กำลังดำเนินการอยู่ ที่พบว่า ล่าสุด จะมีการขยายผลสอบออกไปอีก 1เดือน เพราะต้องการให้ผู้ที่มีอำนาจโยกย้ายนายตำรวจทั้งระดับสารวัตร โรงพัก ทั่วทั้งประเทศอีกล็อตหนึ่งหลังวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งผมคิดว่าคดีคดีที่พันธมิตรฯถูกออกหมายเรียกกับคดี 7ตุลา เป็นเกมการเมืองของบางฝ่าย ที่จะใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ทั้งยังทราบมาว่า ลูกชายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติบางคน ที่เป็นตำรวจและเป็นเพื่อนของ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ที่ขณะนี้นั่งทำงานอยู่หน้าห้องของ ผบ.ตร.ซึ่งกระโดดข้ามห้วยเพื่อมาวิ่งเต้นช่วยตำรวจบางคน จุดนี้แกนนำพันธมิตรฯก็ได้มีการหารือกัน และคิดว่า เป็นเกมการเมืองอย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องดังกล่าวนายกรัฐมนตรีเพียงได้แต่ดูดายไม่สนใจเรื่องดังกล่าว ที่จะทำให้สังคมเกิดความเป็นธรรมอย่างที่เคยกล่าวไว้” นายสุริยะใส กล่าว