00 เห็นภาพการเคลื่อนไหวแบบผสมโรงของบรรดา “ลิ่วล้อ” ของนช.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีคอร์รัปชั่นนับสิบๆ คดี ที่กำลังแข่งกันส่งเสียงจนหนวกหูกดดันให้ “กษิต ภิรมย์” ลาออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากถูกตำรวจตั้งข้อหาร่วมกับแกนนำพันธมิตรฯ ในข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” กรณีไปร่วมชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 เห็นสีหน้าท่าทางแต่ละคนแล้วอดสมเพชเวทนาไม่ได้
00 ประเด็นสำคัญที่คนพวกนี้ซ่อนเอาไว้ในใจก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากการย้อนกลับไปสู่ความต้องการเดิมคือ ต้องทำทุกทางให้ กษิต ภิรมย์ พ้นจากเก้าอี้นี้ให้ได้ เพราะหากยังอยู่ก็จะมีผลกระทบต่อการหลบหนีคุกในต่างแดนของ “บิดา” ของพวกมัน และดีไม่ดีอาจอำนวยความสะดวกให้ตำรวจสากล ลากคอกลับมายัดคุกในประเทศ เรื่องของเรื่องก็มีอยู่แค่นี้แหละ
00 แต่ที่น่าสังเกตก็คือ ความพยายามกดดันให้ กษิต ลาออก กลายเป็นว่าให้เป็นบทบาทหลักของพรรคเพื่อไทย แทนที่จะเป็นพวกเสื้อแดง เพราะการออกมาแสดงอาการที่เรียกว่า “ดัจริต” เพื่อให้แสดง “สปิริต” ที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เนื่องจากถ้าปล่อยให้ “3 เกลอ” ออกหน้าก็จะกลายเป็นว่าจะ “ย้อนเข้าตัวเอง” ไม่งั้นพอถูกตั้งคำถามว่า ทำไม “จตุพร-มานิตย์” ไม่แสดงสปิริต พ้นจาก ส.ส.บ้างจะใบ้กินนะซี ทำได้ก็แค่คำพูดประชดจากอดีตสมาชิก“สภาโจ๊ก” อย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไม่ให้ปลด กษิต ออกไปเท่านั้น
00 วกมาที่เรื่องของ“คดีความ” ที่ว่ากันเฉพาะคดีก่อการร้ายที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่เกี่ยวคดีที่สนามบินดอนเมือง สำหรับในคดีแรก ถ้าพูดกันแบบตรงไปตรงมาก็ต้องถือว่าเป็นการ “ยัดข้อหา” หรือตั้งข้อหาเกินจริงชัดๆ หรือเพื่อหวังผลทางการเมือง เพื่อต้องการ “ตรึง” ให้พันธมิตรฯ อยู่กับที่หรือเปล่า
00 เพราะถ้าแกนนำพันธมิตรฯ ถูกดำเนินคดีก็ต้องสาละวนแก้ต่าง กันเป็นเวลานาน อย่างน้อยก็ต้องกระทบต่อ “พรรคการเมืองใหม่” บ้างไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และที่สำคัญคดีแบบนี้ทำให้สงสัยว่า ตำรวจได้รับ“ไฟเขียว” จากฝ่ายการเมืองหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ต้องถือว่า ฝ่ายการเมืองอยู่ใต้อำนาจของ “กลุ่มอำนาจ” บางกลุ่มที่แฝงอยู่ในรัฐบาลหรือไม่ และงานนี้ต้อง“โฟกัส” ความเคลื่อนไหวของสองพี่น้อง “พัชรวาท-ประวิตร” ให้ดีก็แล้วกัน
00 อย่างไรก็ดี นี่ยังเป็นแค่ “กระบวนการ” ขั้นต้น เป็นแค่ออกหมายเรียกตามข้อกล่าวหาของตำรวจ และเมื่อเดินไปถึงจุดๆหนึ่ง ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีการสรุปสำนวนอย่างไร และเมื่อไปถึงอัยการ จะเห็นอย่างไร ยังอีกนาน แต่ตอนนี้ขอตั้งข้อหาให้ “เวอร์” ไว้ก่อน ให้ภาพทางสังคมออกมาเป็นลบไว้ก่อน
00 ทั้งที่หากพูดถึงผู้ก่อการร้าย ก็ต้องเห็นภาพพวกที่ใส่หมวกคลุมหน้าคลุมตา อาวุธครบมือจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน “ต่อรอง” ให้ปล่อยตัวพวกเดียวกัน หรือมีการวางระเบิด มีคนตายอะไรแบบนี้ แต่นี่ทุกอย่างตรงกันข้าม ก็คอยดูไปแล้วกันว่าจะลงเอยอย่างไร เพราะงานนี้แว่วมาว่ามี “บิ๊กกากี” ที่เกี่ยวข้องกับความผิดคดี 7 ตุลาฯ อยู่เบื้องหลัง หวังใช้เป็นข้อต่อรองให้ตัวเอง !!
00 ประเด็นสำคัญที่คนพวกนี้ซ่อนเอาไว้ในใจก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากการย้อนกลับไปสู่ความต้องการเดิมคือ ต้องทำทุกทางให้ กษิต ภิรมย์ พ้นจากเก้าอี้นี้ให้ได้ เพราะหากยังอยู่ก็จะมีผลกระทบต่อการหลบหนีคุกในต่างแดนของ “บิดา” ของพวกมัน และดีไม่ดีอาจอำนวยความสะดวกให้ตำรวจสากล ลากคอกลับมายัดคุกในประเทศ เรื่องของเรื่องก็มีอยู่แค่นี้แหละ
00 แต่ที่น่าสังเกตก็คือ ความพยายามกดดันให้ กษิต ลาออก กลายเป็นว่าให้เป็นบทบาทหลักของพรรคเพื่อไทย แทนที่จะเป็นพวกเสื้อแดง เพราะการออกมาแสดงอาการที่เรียกว่า “ดัจริต” เพื่อให้แสดง “สปิริต” ที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เนื่องจากถ้าปล่อยให้ “3 เกลอ” ออกหน้าก็จะกลายเป็นว่าจะ “ย้อนเข้าตัวเอง” ไม่งั้นพอถูกตั้งคำถามว่า ทำไม “จตุพร-มานิตย์” ไม่แสดงสปิริต พ้นจาก ส.ส.บ้างจะใบ้กินนะซี ทำได้ก็แค่คำพูดประชดจากอดีตสมาชิก“สภาโจ๊ก” อย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไม่ให้ปลด กษิต ออกไปเท่านั้น
00 วกมาที่เรื่องของ“คดีความ” ที่ว่ากันเฉพาะคดีก่อการร้ายที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่เกี่ยวคดีที่สนามบินดอนเมือง สำหรับในคดีแรก ถ้าพูดกันแบบตรงไปตรงมาก็ต้องถือว่าเป็นการ “ยัดข้อหา” หรือตั้งข้อหาเกินจริงชัดๆ หรือเพื่อหวังผลทางการเมือง เพื่อต้องการ “ตรึง” ให้พันธมิตรฯ อยู่กับที่หรือเปล่า
00 เพราะถ้าแกนนำพันธมิตรฯ ถูกดำเนินคดีก็ต้องสาละวนแก้ต่าง กันเป็นเวลานาน อย่างน้อยก็ต้องกระทบต่อ “พรรคการเมืองใหม่” บ้างไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และที่สำคัญคดีแบบนี้ทำให้สงสัยว่า ตำรวจได้รับ“ไฟเขียว” จากฝ่ายการเมืองหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ต้องถือว่า ฝ่ายการเมืองอยู่ใต้อำนาจของ “กลุ่มอำนาจ” บางกลุ่มที่แฝงอยู่ในรัฐบาลหรือไม่ และงานนี้ต้อง“โฟกัส” ความเคลื่อนไหวของสองพี่น้อง “พัชรวาท-ประวิตร” ให้ดีก็แล้วกัน
00 อย่างไรก็ดี นี่ยังเป็นแค่ “กระบวนการ” ขั้นต้น เป็นแค่ออกหมายเรียกตามข้อกล่าวหาของตำรวจ และเมื่อเดินไปถึงจุดๆหนึ่ง ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีการสรุปสำนวนอย่างไร และเมื่อไปถึงอัยการ จะเห็นอย่างไร ยังอีกนาน แต่ตอนนี้ขอตั้งข้อหาให้ “เวอร์” ไว้ก่อน ให้ภาพทางสังคมออกมาเป็นลบไว้ก่อน
00 ทั้งที่หากพูดถึงผู้ก่อการร้าย ก็ต้องเห็นภาพพวกที่ใส่หมวกคลุมหน้าคลุมตา อาวุธครบมือจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน “ต่อรอง” ให้ปล่อยตัวพวกเดียวกัน หรือมีการวางระเบิด มีคนตายอะไรแบบนี้ แต่นี่ทุกอย่างตรงกันข้าม ก็คอยดูไปแล้วกันว่าจะลงเอยอย่างไร เพราะงานนี้แว่วมาว่ามี “บิ๊กกากี” ที่เกี่ยวข้องกับความผิดคดี 7 ตุลาฯ อยู่เบื้องหลัง หวังใช้เป็นข้อต่อรองให้ตัวเอง !!
