การที่กลุ่มบุคคลหนึ่ง อ้างว่าเป็นแกนนำคนเสื้อแดง ประสงค์จะรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้ประสงค์จะถวายฎีกา จะมีประโยชน์อันใด หากไม่ขอพระราชทานอภัยให้ครบถ้วน มิเช่นนั้น ผู้ลงนามก็อาจร่วมลงนามโดยความไม่รู้ และหากได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ก็อาจจะไม่ครบทุกคดีความ
ในจดหมายที่เสนอฎีกา จึงพึงอยู่บนความจริง และความครบถ้วนถูกต้อง เพื่อแสดงความเข้าใจของผู้ลงนามจริงๆ โดยน่าจะเพิ่มสาระว่า
ข้าพระพุทธเจ้า เห็นว่า ความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในกรณีดังต่อไปนี้ สมควรได้รับการพระราชทานอภัยโทษ
เมื่อเป็นนายกฯ เพียง 4 เดือน แก้ไขสัญญาสัมปทาน เพื่อลดส่วนแบ่งรายได้ภาครัฐสำหรับมือถือระบบพรีเพด จากร้อยละ 25-30 เป็นร้อยละ 20 และต่อมาให้แก้เงื่อนไขให้มีการเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม แต่ผลักภาระให้ ทศท.รับทั้งหมด มีการเอื้อประโยชน์บีโอไอดาวเทียม ทั้งๆ ที่เป็นการซื้อของจากต่างประเทศ ให้บริการในต่างประเทศ บังคับหน่วยงานไทยให้กลับมาเป็นลูกค้า และบริการพม่า โดยให้ ธนาคารเพื่อการส่งออกฯ ออกเงินให้ แต่แล้วก็จ่ายตรงเข้ากระเป๋ากิจการของตน
รัฐธรรมนูญห้ามถือครองหุ้นเกิน 5% โดยเฉพาะกฎหมาย ป.ป.ช. ห้ามถือหุ้นกิจการสัมปทานผู้ขาด เพื่อป้องกันการปกปิดความร่ำรวยผิดปกติ และการใช้อำนาจกำหนดนโยบายเอื้อประโยชน์กิจการของตน ก็โอนหุ้นไปให้ลูก คนใกล้ชิด และกองทุนแอมเพิลริช วินมาร์ค ฯลฯ แต่ได้ใช้อำนาจกดดันหน่วยงานรัฐ ไม่ให้หาข้อมูล และความจริง ทั้ง ดีเอสไอ ปปง. กลต. สำนักงานอัยการฯ เพื่อปกปิดความผิดมาอย่างต่อเนื่อง
โอนหุ้นให้ลูกวันที่ 1 กันยายน 2543 เพื่อเตรียมตัวรับตำแหน่ง แต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เพียง 1 วันก่อนหน้านั้น กลับต้องให้ลูกทำหนังสือตั๋วสัญญาใช้เงิน 4.5 พันล้านบาทให้แม่ไว้ เพื่อเป็นช่องทางคืนประโยชน์ทั้งหมด คือปันผลกลับมาให้แม่ และเงินที่ได้ค่าขายส่วนหนึ่ง ส่งผ่านประไหมสุหรีไปซื้อสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวโลกและชาวไทยว่าท่านเป็นเจ้าของตัวจริง
อ้างว่าวินมาร์คเป็นนักลงทุนต่างประเทศ ซื้อหุ้น 5-6 บริษัทของตนและภรรยาไป 1.5 พันล้านบาท อ้างว่าจะรอเข้าตลาดฯ แต่ทุกบริษัทซื้อที่ราคาพาร์หมดเลย มีบริษัทเดียวที่เข้าตลาดได้ คือ SC ก็ขายไป 3 สัปดาห์ก่อนเข้าตลาด และกองทุนที่ซื้อไป ก็โอนต่อใน 3 สัปดาห์ ให้อีก 2 กองทุนเพื่อเปิดเผย (อย่างปกปิด) กับนักลงทุน โดยทั้ง 3 กองทุนมาเลเซีย มีที่อยู่เดียวกันหมดเลย ซึ่งวินมาร์ค มีเลขที่บัญชี 121751 ที่ ธ. ยูบีเอส ถือหุ้นซึ่งมีสัมปทานรัฐอยู่ด้วย โดยมีท่านเป็นเจ้าของแท้จริง
ละเลยหลักการปกครองในหลักการประชาธิปไตย สภาผู้แทนราษฎรจะซักฟอก จะตั้งกระทู้ถาม ก็ยุบสภาฯ ทิ้งเสีย ไม่ให้ระบบรัฐสภาทำงานได้ และยังปลอมพรรคการเมืองเพื่อสร้างภาพการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย
ไม่เคารพศาล เมื่อศาลสั่งเรียกอ่านผลพิพากษาก็หนีศาล เมื่อถูกพิพากษาให้มีโทษจำคุก ก็หนีคุก
คดีเดินหน้าไป แทนที่จะมาต่อสู้คดีด้วยหลักฐาน และความจริง กลับนำม็อบมาชุมนุม สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเสื้อแดงหลงเชื่อโดยกล่าวว่า “วันใดเสียงปืนแตก ก็จะกลับมานำประชาชนด้วยตนเอง” จนกลุ่มคนที่ได้รับการยุยงได้บุกทำลายการประชุมผู้นำอาเซียนนานาชาติจนต้องเลื่อนไป มีการทำร้ายคนไทยกันเองจนเสียชีวิต 2 ศพที่นางเลิ้ง มีการเผารถเมล์สร้างภาพบ้านเมืองวอดวาย การขู่ระเบิดรถแก๊ส ฯลฯ แต่ก่อนเกิดความวุ่นวาย ครอบครัวก็บินหนีไปต่างประเทศทั้งหมด ปล่อยให้คนเสื้อแดงเผชิญการจลาจลด้วยจนเอง และมอบหมายให้ลูกน้องคอยตามหา “ศพคนเสื้อแดง” เพื่อเคลื่อนไหวต่อ แม้จะไม่มีคนตายจริง
บอกกับชาวโลกว่า เมืองไทยไม่มีความยุติธรรมพอเพียง แต่ไม่ชี้แจงหลักฐานโต้แย้งกรณีภรรยาซื้อที่ดินของภาครัฐซึ่งตนมีอำนาจสูงสุดได้ หรือกรณีภรรยาโอนหุ้นจากคนใช้ให้พี่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษีได้
อ้างว่าเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ เพราะคืนเงินไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนด ทั้งๆ ที่เป็นเงินที่รัฐบาลก่อนหน้า (ปชป.) ได้สะสมไว้ หลังจากตอนเข้ามานั้น เงินสำรองระหว่างประเทศสุทธิเหลือเพียง 7 พันล้านเหรียญ จากปกติที่เคยมีประมาณ 4 หมื่นล้านเหรียญ ทั้งๆ ที่ LOI ฉบับที่ 1 ลงนามวันที่ 14 สิงหาคม และท่านเข้ารับตำแหน่งรองนายกฯ เองในวันที่ 15 สิงหาคม วันถัดมา และคนแรกที่ส่งมาร่วมรัฐบาลช่วงเข้าสู่วิกฤตคือ นายทนง พิทยะ อดีตผู้ดูแลการเงินลูกน้องของตัว เข้ามาดูแลช่วงลอยตัวค่าเงินบาทตั้งแต่ 21 มิถุนายน 2540 ก่อนประกาศลอยตัวค่าเงินบาทวันที่ 2 กรกฎาคม 2540
ตามที่นายเสนาะ เทียนทอง อดีตเลขาธิการพรรค ทรท. ยุคแรก กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ ช่วงต้นปี 2549 ว่า “เพราะรวยจากโกงชาติ กล้าทำแม้เผาบ้านเผาเมืองเพื่อเอาประกัน มีการไตร่ตรองและวางแผนไว้ก่อนทุกขั้นทุกตอน ...วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กับประธานรัฐสภาที่เพิ่งหมดวาระไปหาหัวหน้าจิ๋ว คุยกุ๊กกิ๊กอะไรตนไม่รู้ แล้วในที่สุดให้ นายทนง พิทยะ มาเป็น รมว.คลัง เข้ามาไม่กี่วันก็ลอยตัวค่าเงินบาท จาก 26 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท พี่น้องคนไทยเจ๊งเป็นเอ็นพีแอลทั้งประเทศ พอเสร็จภารกิจก็ลาออกเลย มาจัดตั้งรัฐบาลใหม่” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทุบทำลายค่าเงินบาทจนมีเงินซ่อนในกองทุนต่างประเทศมากมาย แต่ชาติล่มจม คนไทยต้องล้มละลายมากมาย
ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า ความผิดมากมาย ซ้ำซากเหล่านี้ ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย จึงทูลเกล้าถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แต่ทั้งนี้ก็สุดแต่พระบรมราชวินิจฉัย
แล้วก็จะได้ผู้ร่วมถวายฎีกาที่ตั้งใจขอพระราชทานอภัยให้ครบถ้วนต่อความผิดอย่างแท้จริง
ในจดหมายที่เสนอฎีกา จึงพึงอยู่บนความจริง และความครบถ้วนถูกต้อง เพื่อแสดงความเข้าใจของผู้ลงนามจริงๆ โดยน่าจะเพิ่มสาระว่า
ข้าพระพุทธเจ้า เห็นว่า ความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในกรณีดังต่อไปนี้ สมควรได้รับการพระราชทานอภัยโทษ
เมื่อเป็นนายกฯ เพียง 4 เดือน แก้ไขสัญญาสัมปทาน เพื่อลดส่วนแบ่งรายได้ภาครัฐสำหรับมือถือระบบพรีเพด จากร้อยละ 25-30 เป็นร้อยละ 20 และต่อมาให้แก้เงื่อนไขให้มีการเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม แต่ผลักภาระให้ ทศท.รับทั้งหมด มีการเอื้อประโยชน์บีโอไอดาวเทียม ทั้งๆ ที่เป็นการซื้อของจากต่างประเทศ ให้บริการในต่างประเทศ บังคับหน่วยงานไทยให้กลับมาเป็นลูกค้า และบริการพม่า โดยให้ ธนาคารเพื่อการส่งออกฯ ออกเงินให้ แต่แล้วก็จ่ายตรงเข้ากระเป๋ากิจการของตน
รัฐธรรมนูญห้ามถือครองหุ้นเกิน 5% โดยเฉพาะกฎหมาย ป.ป.ช. ห้ามถือหุ้นกิจการสัมปทานผู้ขาด เพื่อป้องกันการปกปิดความร่ำรวยผิดปกติ และการใช้อำนาจกำหนดนโยบายเอื้อประโยชน์กิจการของตน ก็โอนหุ้นไปให้ลูก คนใกล้ชิด และกองทุนแอมเพิลริช วินมาร์ค ฯลฯ แต่ได้ใช้อำนาจกดดันหน่วยงานรัฐ ไม่ให้หาข้อมูล และความจริง ทั้ง ดีเอสไอ ปปง. กลต. สำนักงานอัยการฯ เพื่อปกปิดความผิดมาอย่างต่อเนื่อง
โอนหุ้นให้ลูกวันที่ 1 กันยายน 2543 เพื่อเตรียมตัวรับตำแหน่ง แต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เพียง 1 วันก่อนหน้านั้น กลับต้องให้ลูกทำหนังสือตั๋วสัญญาใช้เงิน 4.5 พันล้านบาทให้แม่ไว้ เพื่อเป็นช่องทางคืนประโยชน์ทั้งหมด คือปันผลกลับมาให้แม่ และเงินที่ได้ค่าขายส่วนหนึ่ง ส่งผ่านประไหมสุหรีไปซื้อสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวโลกและชาวไทยว่าท่านเป็นเจ้าของตัวจริง
อ้างว่าวินมาร์คเป็นนักลงทุนต่างประเทศ ซื้อหุ้น 5-6 บริษัทของตนและภรรยาไป 1.5 พันล้านบาท อ้างว่าจะรอเข้าตลาดฯ แต่ทุกบริษัทซื้อที่ราคาพาร์หมดเลย มีบริษัทเดียวที่เข้าตลาดได้ คือ SC ก็ขายไป 3 สัปดาห์ก่อนเข้าตลาด และกองทุนที่ซื้อไป ก็โอนต่อใน 3 สัปดาห์ ให้อีก 2 กองทุนเพื่อเปิดเผย (อย่างปกปิด) กับนักลงทุน โดยทั้ง 3 กองทุนมาเลเซีย มีที่อยู่เดียวกันหมดเลย ซึ่งวินมาร์ค มีเลขที่บัญชี 121751 ที่ ธ. ยูบีเอส ถือหุ้นซึ่งมีสัมปทานรัฐอยู่ด้วย โดยมีท่านเป็นเจ้าของแท้จริง
ละเลยหลักการปกครองในหลักการประชาธิปไตย สภาผู้แทนราษฎรจะซักฟอก จะตั้งกระทู้ถาม ก็ยุบสภาฯ ทิ้งเสีย ไม่ให้ระบบรัฐสภาทำงานได้ และยังปลอมพรรคการเมืองเพื่อสร้างภาพการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย
ไม่เคารพศาล เมื่อศาลสั่งเรียกอ่านผลพิพากษาก็หนีศาล เมื่อถูกพิพากษาให้มีโทษจำคุก ก็หนีคุก
คดีเดินหน้าไป แทนที่จะมาต่อสู้คดีด้วยหลักฐาน และความจริง กลับนำม็อบมาชุมนุม สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเสื้อแดงหลงเชื่อโดยกล่าวว่า “วันใดเสียงปืนแตก ก็จะกลับมานำประชาชนด้วยตนเอง” จนกลุ่มคนที่ได้รับการยุยงได้บุกทำลายการประชุมผู้นำอาเซียนนานาชาติจนต้องเลื่อนไป มีการทำร้ายคนไทยกันเองจนเสียชีวิต 2 ศพที่นางเลิ้ง มีการเผารถเมล์สร้างภาพบ้านเมืองวอดวาย การขู่ระเบิดรถแก๊ส ฯลฯ แต่ก่อนเกิดความวุ่นวาย ครอบครัวก็บินหนีไปต่างประเทศทั้งหมด ปล่อยให้คนเสื้อแดงเผชิญการจลาจลด้วยจนเอง และมอบหมายให้ลูกน้องคอยตามหา “ศพคนเสื้อแดง” เพื่อเคลื่อนไหวต่อ แม้จะไม่มีคนตายจริง
บอกกับชาวโลกว่า เมืองไทยไม่มีความยุติธรรมพอเพียง แต่ไม่ชี้แจงหลักฐานโต้แย้งกรณีภรรยาซื้อที่ดินของภาครัฐซึ่งตนมีอำนาจสูงสุดได้ หรือกรณีภรรยาโอนหุ้นจากคนใช้ให้พี่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษีได้
อ้างว่าเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ เพราะคืนเงินไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนด ทั้งๆ ที่เป็นเงินที่รัฐบาลก่อนหน้า (ปชป.) ได้สะสมไว้ หลังจากตอนเข้ามานั้น เงินสำรองระหว่างประเทศสุทธิเหลือเพียง 7 พันล้านเหรียญ จากปกติที่เคยมีประมาณ 4 หมื่นล้านเหรียญ ทั้งๆ ที่ LOI ฉบับที่ 1 ลงนามวันที่ 14 สิงหาคม และท่านเข้ารับตำแหน่งรองนายกฯ เองในวันที่ 15 สิงหาคม วันถัดมา และคนแรกที่ส่งมาร่วมรัฐบาลช่วงเข้าสู่วิกฤตคือ นายทนง พิทยะ อดีตผู้ดูแลการเงินลูกน้องของตัว เข้ามาดูแลช่วงลอยตัวค่าเงินบาทตั้งแต่ 21 มิถุนายน 2540 ก่อนประกาศลอยตัวค่าเงินบาทวันที่ 2 กรกฎาคม 2540
ตามที่นายเสนาะ เทียนทอง อดีตเลขาธิการพรรค ทรท. ยุคแรก กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ ช่วงต้นปี 2549 ว่า “เพราะรวยจากโกงชาติ กล้าทำแม้เผาบ้านเผาเมืองเพื่อเอาประกัน มีการไตร่ตรองและวางแผนไว้ก่อนทุกขั้นทุกตอน ...วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กับประธานรัฐสภาที่เพิ่งหมดวาระไปหาหัวหน้าจิ๋ว คุยกุ๊กกิ๊กอะไรตนไม่รู้ แล้วในที่สุดให้ นายทนง พิทยะ มาเป็น รมว.คลัง เข้ามาไม่กี่วันก็ลอยตัวค่าเงินบาท จาก 26 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท พี่น้องคนไทยเจ๊งเป็นเอ็นพีแอลทั้งประเทศ พอเสร็จภารกิจก็ลาออกเลย มาจัดตั้งรัฐบาลใหม่” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทุบทำลายค่าเงินบาทจนมีเงินซ่อนในกองทุนต่างประเทศมากมาย แต่ชาติล่มจม คนไทยต้องล้มละลายมากมาย
ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า ความผิดมากมาย ซ้ำซากเหล่านี้ ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย จึงทูลเกล้าถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แต่ทั้งนี้ก็สุดแต่พระบรมราชวินิจฉัย
แล้วก็จะได้ผู้ร่วมถวายฎีกาที่ตั้งใจขอพระราชทานอภัยให้ครบถ้วนต่อความผิดอย่างแท้จริง