กลุ่มสื่อมวลชน เคยมีความเห็นร่วมกันว่า ทักษิณหนีคำถาม “วินมาร์ค” สุดฤทธิ์
ไม่รู้ว่า มีความผิดอะไรที่เกี่ยวโยงกับแหล่งเงิน “วินมาร์ค” นี้หรือ ทักษิณจึงดูจะมีประวัติของการปกปิด “วินมาร์ค” อย่างเหลือเชื่อ ปี 2543 เมื่อเริ่มมีข่าว “วินมาร์ค” คำพูดที่ปกปิดกลบเกลื่อนพิสูจน์ว่าเป็นการโกหกเพื่อปกปิดหลายประการ ในช่วงต้นปี 2549 เมื่อครั้งจะถูกเปิดสภาฯ อภิปรายกรณีขายหุ้นชินฯ เมื่อมีข่าว “วินมาร์ค” หลุดออกมา ก็รีบยุบสภาฯ หนีอภิปราย
ทักษิณใส่ใจต่อการควบคุม ปปง. (ป้องกันการฟอกเงิน) และดีเอสไอ (สอบสวนคดีพิเศษ) เสมอมา ด้วยเป็นองค์กรที่มีอำนาจตรวจสอบเส้นทางเงิน
หลังจากที่มี คมช. เว้นวรรคระบอบทักษิณในวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็ได้มี นายสุนัย มโนมัยอุดม เข้ารับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ปลอดอำนาจมืดจาก “ระบอบทักษิณ” จึงได้รวบรวมหลักฐานมากมายจนนำไปสู่การชี้โทษว่า ทักษิณและหญิงอ้อมีความผิดฐานปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท (SC) ด้วยปรากฏหลักฐานว่า ท่านและภรรยาเป็นเจ้าของที่แท้จริงของกองทุนวินมาร์ค และกองทุนมาเลเซียทั้งสาม คือ VAF, OGF และ ODF
ทักษิณจึงลงจากอำนาจไม่ได้ เมื่อตนต้องถึงจุดแห่งความผิด ไม่มีโอกาสกลับมายึดอำนาจอีก ก็ต้องส่งพรรคนอมินี และแต่งตั้งนายกฯ นอมินี 2 สมัย และแม้ไม่ได้รับการยอมรับ บริหารงานไม่ได้ ไม่มีความชอบธรรมที่จะจัดการกับผู้ต่อต้านคัดค้าน ก็เล่นการเมืองด้วยการใช้สื่อของรัฐด้านเดียว ใส่ร้ายป้ายสี และสร้างความแตกแยก เพียงเพื่อรักษาอำนาจและตำแหน่งไว้เป็นของตัว
เราได้เห็นบ่อยๆว่า รัฐบาลมักจะบอกว่า “เวลายังน้อย จึงยังไม่มีโอกาสทำงานอะไร” แต่ผลงานเรื่องการปกปิด “วินมาร์ค” กลับมากมาย ตั้งแต่การสั่งโยกย้ายในดีเอสไอ การที่สำนักงานอัยการสูงสุด (แม้จะได้เปิดโปงว่าทักษิณ-หญิงอ้อเป็นเจ้าของกองทุนที่ถือ SC ที่แท้จริง แต่..) สั่งไม่ฟ้องคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น SC โดยอ้างกฎหมายลูกระดับ ประกาศฯ กลต. หวังล้มล้างความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ 2535 ซึ่งเป็นไปไม่ได้ตามหลักกฎหมายไทย
เมื่อมีความเสี่ยงที่ทักษิณจะต้องยุติบทบาทที่อยากเป็นเจ้าของประเทศไทย โดยอาจมีกลุ่มเพื่อนเนวิน มาร่วมกับทีมงาน ปชป. ซึ่งนำโดยคุณมาร์ค และจะได้รัฐบาลที่มาทำงานให้ประเทศชาติ และประชาชน ไม่ใช่มาเพียงเพื่อกระเป๋าของตัว และปกปิดความผิดของตัว ทำให้น่าติดตามจริงว่า ทักษิณ และพรรคพวก ดูจะกำลังออกแรงเต็มที่เพื่อแยก “เนวิน-มาร์ค” ซึ่งเชื่อว่า ต้องใช้เงินมหาศาล จากแหล่งเงินที่เชื่อมโยงกับวินมาร์ค และเป็นการใช้เพื่อปกปิด “วินมาร์ค”
ชื่อ “วินมาร์ค” เริ่มปรากฏเป็นข่าวในช่วงที่มีการโอนหุ้นอสังหาริมทรัพย์ 5-6 บริษัท ซึ่งถือหุ้นโดย ทักษิณ-หญิงอ้อ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 โดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 11-13 กันยายน 2543 ซึ่งนำเสนอโดย คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ได้พาดหัวว่า “ตะลึง! ‘ทักษิณ’ โอนหุ้น 900 ล.เข้าบริษัทบนเกาะฟอกเงิน” และให้รายละเอียดว่า เป็นการโอนหุ้น 3 บริษัท
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในวันที่ 12 กันยายน 2543 ว่า การขายหุ้นตามข่าว (ตามข่าว 3 บริษัท) ให้แก่กองทุนวินมาร์คนั้น ท่านได้ตอบยืนยันว่า “ขายไป 500-600 ล้านบาท หรือ 700-800 ล้านบาท จำนวนเท่าไหร่ จำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้”
จึงเป็นหลักฐานของการโกหกของอดีตผู้นำให้ยังคิดว่า ตามข่าวในปี 2549 เปิดโปงว่าความจริงมี 5 บริษัท ไม่ใช่ 3 บริษัท และมูลค่า 1,500 ล้านบาท ไม่ใช่ 900 ล้านบาท
ซึ่งข้อสังเกตก็คือ ทั้ง 5 บริษัท ขายให้วินมาร์คที่ราคาพาร์ทุกบริษัท เพื่อไม่ต้องมีประเด็นภาษี สะท้อนว่าเป็นการโอนแบบ “กลุ่มเดียวกัน” ดังกรณีขายหุ้นให้เทมาเส็ก ตกลงได้ที่ราคาหุ้นละ 49.25 บาท ต้องต่อรองกันถึงเศษสลึง เมื่อเป็น “กลุ่มอิสระกัน”
ทักษิณบอกอีกว่า “เขาซื้อเพราะรอเข้าตลาดในอนาคต” ปรากฏว่า วินมาร์ค ถือมากว่า 3 ปี กลับขายบริษัทเดียวที่เข้าตลาดได้ คือ โอเอไอพร็อพเพอร์ตี้ (หรือ SC) เพียง 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่ง กลต. ให้แก่ VAF ซึ่งถือเพียง 3 สัปดาห์ ก็ขายต่อให้อีก 2 กองทุน คือ OGF และ ODF ซึ่งทั้ง 3 กองทุน มีที่อยู่เดียวกัน! แสดงว่าเป็นการปกปิด (ดูได้จากบทความ “ศึกเปิดโปงความจริงทักษิณ : ความชอบธรรมไทยอาจพ่ายยับ ด้วยแม่ทัพคนกันเอง”)
และวินมาร์ค ก็มีที่อยู่เดียวกับ แอมเพิลริช ซึ่งทักษิณเปิดเผยแล้วว่า เป็นของตัว!
คู่กองทุนลับนี้ จึงน่าจับตามองเป็นอย่างมาก แอมเพิลริช ก็ดูจะซ่อนหุ้นชินฯ ซึ่งได้ยอมเปิดเผยมาตลอด จึงดูน่าจะ “สะอาด” เพราะอยู่ “บนโต๊ะ” แต่วินมาร์ค ซ่อนหุ้นที่เก็บลับ “ใต้โต๊ะ” จึงอาจจะมี “ที่มา” ได้จากการทุจริต เช่น กรณีอาจเป็นการทำกำไรค่าเงิน “เผาบ้านเมืองเอาประกัน” ตามที่ นายเสนาะ เทียนทองได้เปิดโปงในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2549 เพราะทักษิณไม่เคยฟ้องหมิ่นประมาทสักที รวมถึงการรวบรวมเงินทุจริตอื่นๆ
และ “ที่ไป” อาจเป็นเส้นทางไปเป็นบัญชีอื่นๆ และนำไปสู่การซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ ตามข่าว ว่าซื้อประมาณ 80 ล้านปอนด์ หลังจากนั้น มีการ “เติมเงิน” ซื้อตัวนักกีฬาแพงๆ เพิ่ม และผู้จัดการระดับ สเวน แล้วขายออกไปได้เงินกลับมา 150 ล้านปอนด์ เงินที่เอามาจ่ายเพิ่ม เอามาจากไหน? หากเป็นการเอาเงินซ่อนมาซื้อ แล้วขายเป็นเงินบนโต๊ะ เท่ากับเป็นการฟอกเงินใช่หรือไม่?
การจัดกำลังสนับสนุนคนเสื้อแดง การที่มีผู้ใช้ M79 ยิงทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ แบบก่อการร้าย การที่อดีตภรรยาบินเข้ามาช่วงจัดตั้งรัฐบาล เพื่อจัดการบรรดา ส.ส. ต้องใช้เงินมากมาย ใช้เงินจากแหล่งนี้หรือไม่? สรุปแล้วมีเงินสกปรกต้องซุกซ่อนเท่าไรกัน? ผิดรัฐธรรมนูญเรื่องการเปิดเผยทรัพย์สินทั้งปี 40 และปี 50 ใช่หรือไม่?
นักการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ใครจะกลัวที่ต้องลงจากอำนาจ ด้วยคะแนนนิยม ด้วยคารมที่มี ด้วยการคุมสื่อสารที่เอาเปรียบมานาน แม้พรรคของตัวจะได้เสียงที่ 1 แต่ทำผิดรัฐธรรมนูญจนถูกยุบ ก็เป็นบทบาทที่พรรคอันดับ 2 ชอบธรรมที่จะทำหน้าที่จัดตั้งรัฐบาลได้ แต่หากบริหารงานผิดพลาด ไม่เข้าตา ท่านก็กลับมาใหม่ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่จะต้องดิ้นรน ใช้ “ความเท็จ” สร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองขนาดนี้ เพื่อยึดอำนาจไว้ ในลักษณะที่ถือว่า “อำนาจรัฐคือสมบัติของท่าน” ก็เพราะต้องปกปิด ความผิด ในกรณี “วินมาร์ค” “ซุกหุ้น” และ “ร่ำรวยผิดปกติ” หรือไม่ ?
ท่านพูดผ่านวิดีโอเทป ในวันที่ 13 ธันวาคม 2551 ว่า “ท่านจงรักภักดี” ก็เป็นเรื่องน่ายินดี
แต่ขัดกับที่ท่านบอกว่า “การปฏิวัติ ได้แปลงสภาพไปเป็นการใช้ระบบศาล” เพียงเพราะการคิดว่า ท่านไม่จงรักภักดีนั้น “ไม่บังควร” อย่างยิ่ง
เพราะท่านไม่ได้บอก “ความจริง” ว่า กรณีที่ดิน ภรรยาซื้อที่ดินจากหน่วยงานรัฐซึ่งทุกหน่วยงาน ย่อมอยู่ใต้อำนาจของท่าน มีพิรุธมากมาย (ดังบทความ “ความจริง (ที่หายไป) จากการโฟนอิน”) กรณีภรรยาโอนหุ้นให้บรรณพจน์ ก็ใช้เล่ห์อุบายเป็นการซื้อขายผ่านตลาดเพื่อหนีภาษี โดยใช้เงินท่านผ่านบัญชีหุ้นของบรรณพจน์ และเอาเช็คจ่ายคนรับใช้ท่าน เข้าบัญชีหญิงอ้อ กรณีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น เพื่อปกปิด “วินมาร์ค” สำนักงานอัยการสูงสุด ก็สั่งไม่ฟ้อง ทั้งๆ ที่ก็เปิดโปงเองว่า ท่านและหญิงอ้อเป็นเจ้าของผ่านกองทุน!
ท่านอ้างว่าเป็นตัวแทนประชาธิปไตย แต่เป็นแบบผูกขาดที่ท่านถนัด ไม่ตอบข้อซักถามผู้แทนราษฎรในสภาฯ ใช้สื่อด้านเดียวใส่ร้ายผู้เห็นต่าง อ้างประโยชน์อย่างเลือกปฏิบัติว่าจังหวัดใดเลือกท่านก็ได้รับความช่วยเหลือก่อน เป็นการแบ่งแยกประเทศ ด้วยความคิดแบบเผด็จการ ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ประชาชนวัดได้ด้วยความรู้สึกอึดอัด สับสนกับมาตรฐานความชอบธรรมของบ้านเมือง คนที่ยอมรับประชาธิปไตยแบบผูกขาดได้ มักเป็นผู้ที่ต้องยอมรับว่า “การโกงเป็นเรื่องธรรมดา” ต่างกับที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสอนพสกนิกรของพระองค์ว่า “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเรื่องธรรมดา” ท่านจัดการกับผู้เห็นต่าง ด้วยการใช้สื่อใส่ร้าย และเกิดความเดือดร้อนไปทั่ว ขยายปัญหาจากกรณี 3 จังหวัดภาคใต้ ไปสู่กรณีทนายสมชาย-กรือเซะ-ตากใบ
เมื่ออ่านระหว่างบรรทัดว่า หากเสียอำนาจ จะจัดการให้ไทยไม่ได้เป็นผู้นำจัดงานประชุมอาเซียนอีก ท่านนั่นแหละที่เอาประเทศเป็นตัวประกัน เพื่อต้องรักษาอำนาจไว้ปกปิดบิดเบือนคดีต่อไปหรือไม่?
ท่านกล่าวในมุมน้ำใจนักกีฬาของการเมืองอเมริกา ต้องเริ่มตั้งแต่การเล่นถูกกติกา เขาเปิดการสื่อสารมวลชนอย่างเป็นธรรม ผู้เห็นต่างอย่างฮิลลารี คลินตัน หรือ โอบามา แสดงความเห็นผ่านสื่อถึงประชาชนได้อย่างเป็นธรรม เขาเคารพประชาชนด้วยการตอบคำถามสภาทุกครั้งที่มีปัญหาในตัวผู้นำ แม้กรณีปัญหาส่วนตัวของบิลล์ คลินตัน บ้านเราไม่มีความสง่างามเช่นนั้น และพรรคของท่านก็ทำผิดกติกาถึงขั้นถูกยุบพรรค จะเรียกร้องให้ผู้คนยอมรับได้อย่างไร? ด้วยเป็นการแข่งขันที่ไร้ความสง่างาม
ท่านทำทุกอย่าง โดยเฉพาะการเตรียมเลือกนายกฯ ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ จึงสังเกตว่าท่านพยายามอย่างยิ่งที่ต้องแยก “เนวิน-มาร์ค” ด้วยเงินจากแหล่งวินมาร์คและอื่นๆ เพื่อปกปิดวินมาร์คใช่หรือไม่?
อำนาจเผด็จการในคราบประชาธิปไตยตาม “ระบอบทักษิณ” ก็อาจจะกลับมาอีก และผู้เห็นต่างก็ต้องอึดอัด และระมัดระวังตัวกันมากขึ้นต่อไป ด้วยครั้งนี้ ผู้มีอำนาจเริ่มต่อต้าน และเพิกเฉยต่อความยุติธรรมในบ้านเมืองอย่างชัดเจนอีกด้วย
แล้วคนไทยก็ต้องอดทนอย่างมากต่อไปครับ
ไม่รู้ว่า มีความผิดอะไรที่เกี่ยวโยงกับแหล่งเงิน “วินมาร์ค” นี้หรือ ทักษิณจึงดูจะมีประวัติของการปกปิด “วินมาร์ค” อย่างเหลือเชื่อ ปี 2543 เมื่อเริ่มมีข่าว “วินมาร์ค” คำพูดที่ปกปิดกลบเกลื่อนพิสูจน์ว่าเป็นการโกหกเพื่อปกปิดหลายประการ ในช่วงต้นปี 2549 เมื่อครั้งจะถูกเปิดสภาฯ อภิปรายกรณีขายหุ้นชินฯ เมื่อมีข่าว “วินมาร์ค” หลุดออกมา ก็รีบยุบสภาฯ หนีอภิปราย
ทักษิณใส่ใจต่อการควบคุม ปปง. (ป้องกันการฟอกเงิน) และดีเอสไอ (สอบสวนคดีพิเศษ) เสมอมา ด้วยเป็นองค์กรที่มีอำนาจตรวจสอบเส้นทางเงิน
หลังจากที่มี คมช. เว้นวรรคระบอบทักษิณในวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็ได้มี นายสุนัย มโนมัยอุดม เข้ารับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ปลอดอำนาจมืดจาก “ระบอบทักษิณ” จึงได้รวบรวมหลักฐานมากมายจนนำไปสู่การชี้โทษว่า ทักษิณและหญิงอ้อมีความผิดฐานปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท (SC) ด้วยปรากฏหลักฐานว่า ท่านและภรรยาเป็นเจ้าของที่แท้จริงของกองทุนวินมาร์ค และกองทุนมาเลเซียทั้งสาม คือ VAF, OGF และ ODF
ทักษิณจึงลงจากอำนาจไม่ได้ เมื่อตนต้องถึงจุดแห่งความผิด ไม่มีโอกาสกลับมายึดอำนาจอีก ก็ต้องส่งพรรคนอมินี และแต่งตั้งนายกฯ นอมินี 2 สมัย และแม้ไม่ได้รับการยอมรับ บริหารงานไม่ได้ ไม่มีความชอบธรรมที่จะจัดการกับผู้ต่อต้านคัดค้าน ก็เล่นการเมืองด้วยการใช้สื่อของรัฐด้านเดียว ใส่ร้ายป้ายสี และสร้างความแตกแยก เพียงเพื่อรักษาอำนาจและตำแหน่งไว้เป็นของตัว
เราได้เห็นบ่อยๆว่า รัฐบาลมักจะบอกว่า “เวลายังน้อย จึงยังไม่มีโอกาสทำงานอะไร” แต่ผลงานเรื่องการปกปิด “วินมาร์ค” กลับมากมาย ตั้งแต่การสั่งโยกย้ายในดีเอสไอ การที่สำนักงานอัยการสูงสุด (แม้จะได้เปิดโปงว่าทักษิณ-หญิงอ้อเป็นเจ้าของกองทุนที่ถือ SC ที่แท้จริง แต่..) สั่งไม่ฟ้องคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น SC โดยอ้างกฎหมายลูกระดับ ประกาศฯ กลต. หวังล้มล้างความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ 2535 ซึ่งเป็นไปไม่ได้ตามหลักกฎหมายไทย
เมื่อมีความเสี่ยงที่ทักษิณจะต้องยุติบทบาทที่อยากเป็นเจ้าของประเทศไทย โดยอาจมีกลุ่มเพื่อนเนวิน มาร่วมกับทีมงาน ปชป. ซึ่งนำโดยคุณมาร์ค และจะได้รัฐบาลที่มาทำงานให้ประเทศชาติ และประชาชน ไม่ใช่มาเพียงเพื่อกระเป๋าของตัว และปกปิดความผิดของตัว ทำให้น่าติดตามจริงว่า ทักษิณ และพรรคพวก ดูจะกำลังออกแรงเต็มที่เพื่อแยก “เนวิน-มาร์ค” ซึ่งเชื่อว่า ต้องใช้เงินมหาศาล จากแหล่งเงินที่เชื่อมโยงกับวินมาร์ค และเป็นการใช้เพื่อปกปิด “วินมาร์ค”
ชื่อ “วินมาร์ค” เริ่มปรากฏเป็นข่าวในช่วงที่มีการโอนหุ้นอสังหาริมทรัพย์ 5-6 บริษัท ซึ่งถือหุ้นโดย ทักษิณ-หญิงอ้อ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 โดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 11-13 กันยายน 2543 ซึ่งนำเสนอโดย คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ได้พาดหัวว่า “ตะลึง! ‘ทักษิณ’ โอนหุ้น 900 ล.เข้าบริษัทบนเกาะฟอกเงิน” และให้รายละเอียดว่า เป็นการโอนหุ้น 3 บริษัท
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในวันที่ 12 กันยายน 2543 ว่า การขายหุ้นตามข่าว (ตามข่าว 3 บริษัท) ให้แก่กองทุนวินมาร์คนั้น ท่านได้ตอบยืนยันว่า “ขายไป 500-600 ล้านบาท หรือ 700-800 ล้านบาท จำนวนเท่าไหร่ จำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้”
จึงเป็นหลักฐานของการโกหกของอดีตผู้นำให้ยังคิดว่า ตามข่าวในปี 2549 เปิดโปงว่าความจริงมี 5 บริษัท ไม่ใช่ 3 บริษัท และมูลค่า 1,500 ล้านบาท ไม่ใช่ 900 ล้านบาท
ซึ่งข้อสังเกตก็คือ ทั้ง 5 บริษัท ขายให้วินมาร์คที่ราคาพาร์ทุกบริษัท เพื่อไม่ต้องมีประเด็นภาษี สะท้อนว่าเป็นการโอนแบบ “กลุ่มเดียวกัน” ดังกรณีขายหุ้นให้เทมาเส็ก ตกลงได้ที่ราคาหุ้นละ 49.25 บาท ต้องต่อรองกันถึงเศษสลึง เมื่อเป็น “กลุ่มอิสระกัน”
ทักษิณบอกอีกว่า “เขาซื้อเพราะรอเข้าตลาดในอนาคต” ปรากฏว่า วินมาร์ค ถือมากว่า 3 ปี กลับขายบริษัทเดียวที่เข้าตลาดได้ คือ โอเอไอพร็อพเพอร์ตี้ (หรือ SC) เพียง 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่ง กลต. ให้แก่ VAF ซึ่งถือเพียง 3 สัปดาห์ ก็ขายต่อให้อีก 2 กองทุน คือ OGF และ ODF ซึ่งทั้ง 3 กองทุน มีที่อยู่เดียวกัน! แสดงว่าเป็นการปกปิด (ดูได้จากบทความ “ศึกเปิดโปงความจริงทักษิณ : ความชอบธรรมไทยอาจพ่ายยับ ด้วยแม่ทัพคนกันเอง”)
และวินมาร์ค ก็มีที่อยู่เดียวกับ แอมเพิลริช ซึ่งทักษิณเปิดเผยแล้วว่า เป็นของตัว!
คู่กองทุนลับนี้ จึงน่าจับตามองเป็นอย่างมาก แอมเพิลริช ก็ดูจะซ่อนหุ้นชินฯ ซึ่งได้ยอมเปิดเผยมาตลอด จึงดูน่าจะ “สะอาด” เพราะอยู่ “บนโต๊ะ” แต่วินมาร์ค ซ่อนหุ้นที่เก็บลับ “ใต้โต๊ะ” จึงอาจจะมี “ที่มา” ได้จากการทุจริต เช่น กรณีอาจเป็นการทำกำไรค่าเงิน “เผาบ้านเมืองเอาประกัน” ตามที่ นายเสนาะ เทียนทองได้เปิดโปงในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2549 เพราะทักษิณไม่เคยฟ้องหมิ่นประมาทสักที รวมถึงการรวบรวมเงินทุจริตอื่นๆ
และ “ที่ไป” อาจเป็นเส้นทางไปเป็นบัญชีอื่นๆ และนำไปสู่การซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ ตามข่าว ว่าซื้อประมาณ 80 ล้านปอนด์ หลังจากนั้น มีการ “เติมเงิน” ซื้อตัวนักกีฬาแพงๆ เพิ่ม และผู้จัดการระดับ สเวน แล้วขายออกไปได้เงินกลับมา 150 ล้านปอนด์ เงินที่เอามาจ่ายเพิ่ม เอามาจากไหน? หากเป็นการเอาเงินซ่อนมาซื้อ แล้วขายเป็นเงินบนโต๊ะ เท่ากับเป็นการฟอกเงินใช่หรือไม่?
การจัดกำลังสนับสนุนคนเสื้อแดง การที่มีผู้ใช้ M79 ยิงทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ แบบก่อการร้าย การที่อดีตภรรยาบินเข้ามาช่วงจัดตั้งรัฐบาล เพื่อจัดการบรรดา ส.ส. ต้องใช้เงินมากมาย ใช้เงินจากแหล่งนี้หรือไม่? สรุปแล้วมีเงินสกปรกต้องซุกซ่อนเท่าไรกัน? ผิดรัฐธรรมนูญเรื่องการเปิดเผยทรัพย์สินทั้งปี 40 และปี 50 ใช่หรือไม่?
นักการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ใครจะกลัวที่ต้องลงจากอำนาจ ด้วยคะแนนนิยม ด้วยคารมที่มี ด้วยการคุมสื่อสารที่เอาเปรียบมานาน แม้พรรคของตัวจะได้เสียงที่ 1 แต่ทำผิดรัฐธรรมนูญจนถูกยุบ ก็เป็นบทบาทที่พรรคอันดับ 2 ชอบธรรมที่จะทำหน้าที่จัดตั้งรัฐบาลได้ แต่หากบริหารงานผิดพลาด ไม่เข้าตา ท่านก็กลับมาใหม่ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่จะต้องดิ้นรน ใช้ “ความเท็จ” สร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองขนาดนี้ เพื่อยึดอำนาจไว้ ในลักษณะที่ถือว่า “อำนาจรัฐคือสมบัติของท่าน” ก็เพราะต้องปกปิด ความผิด ในกรณี “วินมาร์ค” “ซุกหุ้น” และ “ร่ำรวยผิดปกติ” หรือไม่ ?
ท่านพูดผ่านวิดีโอเทป ในวันที่ 13 ธันวาคม 2551 ว่า “ท่านจงรักภักดี” ก็เป็นเรื่องน่ายินดี
แต่ขัดกับที่ท่านบอกว่า “การปฏิวัติ ได้แปลงสภาพไปเป็นการใช้ระบบศาล” เพียงเพราะการคิดว่า ท่านไม่จงรักภักดีนั้น “ไม่บังควร” อย่างยิ่ง
เพราะท่านไม่ได้บอก “ความจริง” ว่า กรณีที่ดิน ภรรยาซื้อที่ดินจากหน่วยงานรัฐซึ่งทุกหน่วยงาน ย่อมอยู่ใต้อำนาจของท่าน มีพิรุธมากมาย (ดังบทความ “ความจริง (ที่หายไป) จากการโฟนอิน”) กรณีภรรยาโอนหุ้นให้บรรณพจน์ ก็ใช้เล่ห์อุบายเป็นการซื้อขายผ่านตลาดเพื่อหนีภาษี โดยใช้เงินท่านผ่านบัญชีหุ้นของบรรณพจน์ และเอาเช็คจ่ายคนรับใช้ท่าน เข้าบัญชีหญิงอ้อ กรณีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น เพื่อปกปิด “วินมาร์ค” สำนักงานอัยการสูงสุด ก็สั่งไม่ฟ้อง ทั้งๆ ที่ก็เปิดโปงเองว่า ท่านและหญิงอ้อเป็นเจ้าของผ่านกองทุน!
ท่านอ้างว่าเป็นตัวแทนประชาธิปไตย แต่เป็นแบบผูกขาดที่ท่านถนัด ไม่ตอบข้อซักถามผู้แทนราษฎรในสภาฯ ใช้สื่อด้านเดียวใส่ร้ายผู้เห็นต่าง อ้างประโยชน์อย่างเลือกปฏิบัติว่าจังหวัดใดเลือกท่านก็ได้รับความช่วยเหลือก่อน เป็นการแบ่งแยกประเทศ ด้วยความคิดแบบเผด็จการ ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ประชาชนวัดได้ด้วยความรู้สึกอึดอัด สับสนกับมาตรฐานความชอบธรรมของบ้านเมือง คนที่ยอมรับประชาธิปไตยแบบผูกขาดได้ มักเป็นผู้ที่ต้องยอมรับว่า “การโกงเป็นเรื่องธรรมดา” ต่างกับที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสอนพสกนิกรของพระองค์ว่า “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเรื่องธรรมดา” ท่านจัดการกับผู้เห็นต่าง ด้วยการใช้สื่อใส่ร้าย และเกิดความเดือดร้อนไปทั่ว ขยายปัญหาจากกรณี 3 จังหวัดภาคใต้ ไปสู่กรณีทนายสมชาย-กรือเซะ-ตากใบ
เมื่ออ่านระหว่างบรรทัดว่า หากเสียอำนาจ จะจัดการให้ไทยไม่ได้เป็นผู้นำจัดงานประชุมอาเซียนอีก ท่านนั่นแหละที่เอาประเทศเป็นตัวประกัน เพื่อต้องรักษาอำนาจไว้ปกปิดบิดเบือนคดีต่อไปหรือไม่?
ท่านกล่าวในมุมน้ำใจนักกีฬาของการเมืองอเมริกา ต้องเริ่มตั้งแต่การเล่นถูกกติกา เขาเปิดการสื่อสารมวลชนอย่างเป็นธรรม ผู้เห็นต่างอย่างฮิลลารี คลินตัน หรือ โอบามา แสดงความเห็นผ่านสื่อถึงประชาชนได้อย่างเป็นธรรม เขาเคารพประชาชนด้วยการตอบคำถามสภาทุกครั้งที่มีปัญหาในตัวผู้นำ แม้กรณีปัญหาส่วนตัวของบิลล์ คลินตัน บ้านเราไม่มีความสง่างามเช่นนั้น และพรรคของท่านก็ทำผิดกติกาถึงขั้นถูกยุบพรรค จะเรียกร้องให้ผู้คนยอมรับได้อย่างไร? ด้วยเป็นการแข่งขันที่ไร้ความสง่างาม
ท่านทำทุกอย่าง โดยเฉพาะการเตรียมเลือกนายกฯ ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ จึงสังเกตว่าท่านพยายามอย่างยิ่งที่ต้องแยก “เนวิน-มาร์ค” ด้วยเงินจากแหล่งวินมาร์คและอื่นๆ เพื่อปกปิดวินมาร์คใช่หรือไม่?
อำนาจเผด็จการในคราบประชาธิปไตยตาม “ระบอบทักษิณ” ก็อาจจะกลับมาอีก และผู้เห็นต่างก็ต้องอึดอัด และระมัดระวังตัวกันมากขึ้นต่อไป ด้วยครั้งนี้ ผู้มีอำนาจเริ่มต่อต้าน และเพิกเฉยต่อความยุติธรรมในบ้านเมืองอย่างชัดเจนอีกด้วย
แล้วคนไทยก็ต้องอดทนอย่างมากต่อไปครับ