ช่วงนี้ผมขอถอดหมวกนักธุรกิจ แต่สวมหมวกฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย อดีตนักกิจกรรม นายกสโมสรนิสิต จุฬาฯ ปี 2527 ด้วยความรักและห่วงใยในบ้านเมืองจริงๆ ครับ
มีคำสอนหนึ่งซึ่งเป็นคำเตือนที่น่ากลัว คือ "ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปิศาจ ซึ่งมาจากการหน้าซื่อใจคดของคนที่โกหก คือคนที่จิตสำนึกเป็นทาสของมาร”
ในทางพุทธศาสนา ซึ่งเราคุ้นเคยกัน มีหลักศีลห้า ข้อ 4 ว่า “มุสาวาทา เวรมณีสิขาปทัง สมาทิยามิ” คือ “อย่าโกหก”
ในทางคริสตศาสนา ก็มีหลักในบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้าว่า "อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน”
การโกหกที่เลวร้าย คือการยุให้คนไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ยุให้แตกแยกว่าเป็น “พวกเขา พวกเรา” ยุให้ไม่เชื่อในหลักธรรม โกหกว่า “สังคมจะยังมีความสงบสุขโดยผู้คนไม่ต้องมีหลักธรรม ??”
ผมว่า สังคมยังสงบได้ เมื่อประเทศไม่แตกแยก ไม่แบ่งเขา แบ่งเรา การเลือกผู้นำ เป็นไปตามการเลือกตั้ง ไม่มีใครต่อต้านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่ทุกประเทศ ไม่ใช่ได้รับเลือกตั้งมาแล้วจะทำอะไรก็ได้ ประเทศที่เขาพัฒนา เขาเคารพประชาชนของเขาว่าไม่โง่ เมื่อถูกจับได้ว่า “โกง” หรือ “ทุจริต” เขาก็ออกไป ถ้าเขาชี้แจงด้วยหลักฐานได้ ทุกคนก็ยอมรับ
ผมติดตามข้อมูลข่าวสารมากมาย เรื่องคุณธรรมความถูกต้องของบ้านเมือง ผมคิดว่า เมื่อมีผู้ตั้งคำถามต่อคนทำงานว่า “ทุจริต” ก็เป็นเวลาที่ผู้มีอำนาจจะตอบ ไม่ใช่หลีกเลี่ยง ใช้อำนาจปกปิด กดดัน จะทำให้ประชาชนยอมรับโดยทั่วไปได้อย่างไร
และถ้าเราจะเริ่มยอมรับว่า “ใครมาก็โกงทั้งนั้น” ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว จะโกงกันขนาดไหน ? วิกฤตรอบที่แล้วส่วนหนึ่งก็เกิดจากการโกงไม่รู้จักพอ โกงสถาบันการเงิน เช่นกรณีบีบีซี จนเป็นปัญหาสร้างความเสียหายมากมาย
ผู้เป็นมหาเศรษฐี ซื้อสนามกอล์ฟเอ็นพีแอล แล้วซ่อนในชื่อคนรถคนใช้ และให้เหตุผลว่า “มันเป็นเอ็นพีแอล” มิเช่นนั้นจะเสียชื่อได้
แต่ในความเป็นจริง ถ้าผู้ซื้อสุจริต จ่ายหนี้ครบเพราะตนเป็นมหาเศรษฐี ก็ไม่มีทางเสียชื่อ สถาบันการเงิน และคนทั่วไปจะยกย่องด้วยซ้ำว่า ซื้อแล้วก็มาชำระเงินกู้ครบถ้วน แต่ที่ต้องปกปิดใช้ชื่อคนรถ คนใช้เพราะเป็นเอ็นพีแอล แสดงว่าจะ “ล้มบนฟูก” (Strategic NPL) ใช่หรือไม่ ? ก็น่าเป็นห่วงที่นักการเมือง มีเงินมากมาย แต่ยังใช้วิธีปกปิด โนมินี และมีเจตนาจะล้มบนฟูกเพื่อเอาส่วนลดจากสถาบันการเงิน แต่มุ่งมายึดครองอำนาจรัฐ !!
ดังนั้น คนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าของประเทศ ยังน่าจะมีสิทธิโดยชอบ ที่จะเรียกร้องความถูกต้องชอบธรรม ผู้ทำงานด้วยอำนาจรัฐอันยิ่งใหญ่ ย่อมต้องถูกตรวจสอบ มิเช่นนั้น อาจทำความเสียหายได้มาก ไม่ใช่เหตุที่จะเล่นเกมส์ว่า คนนั้นก็มีปัญหา คนนี้ก็มีปัญหา เพราะคนมีปัญหาถ้าไม่อยู่ในอำนาจ ก็ไม่สามารถทำความเสียหายต่อส่วนรวมได้ แต่ทุกครั้งที่มีการยกประเด็นสงสัยในความสุจริต คือ “โอกาส” แห่งการชี้แจง
การเล่นเกมส์การเมืองเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ และการชี้แจง เป็นดังมะเร็งร้ายการเมืองไทย ควรชี้แจงความจริง ถ้าชี้แจงได้ ทุกคนก็ดีใจ และรักษาความศรัทธา ถ้าชี้แจงไม่ได้ ก็ควรที่จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกไป ซึ่งถือเป็นการให้เกียรติประชาชนคนไทยว่าเรา “มีสมอง” และ “มีหลักธรรม” ผมขอยกประเด็นเบื้องต้นที่น่าจะตอบกันตรงๆ ดีกว่าเล่นเกมส์หลบเลี่ยงดังนี้ครับ
1. ทำไมรัฐบาลถึงรีบเร่งในการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ ? ทำไมจึงกลั่นแกล้งอดีตผู้ดูแลดีเอสไอ ?
2. เป็นเพราะดีเอสไอ มีหลักฐานกล่าวโทษการปกปิดรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทในตลาด โดยมีวินมาร์ค และกองทุนมาเลเซีย ถือหุ้นโดยอดีตผู้เรืองอำนาจหรือไม่ ?
3. ที่ต้องจำนน เพราะปี 2543 วินมาร์ค ซื้อหุ้นจากครอบครัวประมาณ 5-6 บริษัท เป็นเงินประมาณ 1,500 ล้านบาท ทุกบริษัทพาร์ทั้งหมด ทั้งที่แต่ละบริษัท มีมูลค่าทางบัญชีไม่เท่ากัน มีการทำกำไรขาดทุนไม่เท่ากัน การซื้อกันยกโหลราคาพาร์ ก็มีทำกันอยู่ แต่ทำเฉพาะที่เป็นกลุ่มเดียวกัน หรือโนมินีเท่านั้น นอกจากนั้น ปี 2547 ลูกสาวซื้อหุ้นคืนจากกลุ่มนี้ ก็ที่ราคาพาร์เช่นเดียวกัน แสดงว่า เป็นกลุ่มเดียวกัน โอนกันระหว่างโนมินีใช่หรือไม่ ?
4. ตามข่าว วินมาร์คมีเลขที่บัญชีที่ธนาคารยูบีเอสเลขที่ 121751 ใช่หรือไม่ ?
5. เลขที่บัญชีนี้ ถือหุ้นกิจการโทรคมนาคมใช่หรือไม่ ? จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์จะมีผู้ถือหุ้นที่อ้างถึง Pledge Account 12175 อยู่ใต้ชื่อ ธนาคารยูบีเอส
อาจมีการทำความเข้าใจว่า เป็นการเปลี่ยนการถือครองหุ้นในครอบครัว ไม่น่าไปยุ่งกับเขา แต่ในความเป็นจริง รัฐธรรมนูญห้ามผู้เป็นเจ้าของกิจการสัมปทานผูกขาดมาเป็นผู้มีอำนาจรัฐ ก็กลัวเรื่องนี้แหละ ประเภทมาครองอำนาจ 3-4 เดือน ก็มีการเปลี่ยนเงื่อนไข ทำให้รัฐเสียประโยชน์ และกิจการของตนได้ประโยชน์กันเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท (รวมตลอดอายุสัมปทาน)
ขอให้คนไทย รู้รักสามัคคี ไม่ยอมรับความแตกแยก เชื่อทางสว่าง ส่งเสริมความดี ให้กำลังใจรัฐบาลในการบริหารบ้านเมืองอย่างสุจริต ไม่เป็นพยานเท็จ ไม่ฟอกเรื่องดำให้เป็นขาว ทำทุกอย่างให้กระจ่างด้วยหลักฐานและเหตุผล บ้านเมืองก็จะไม่เข้าสู่วิกฤต เศรษฐกิจจึงจะดีต่อไปได้ในระยะยาวครับ
มนตรี ศรไพศาล
ฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย
(montree4life@yahoo.com)