xs
xsm
sm
md
lg

คตส.พร้อมให้จับ-ไม่ประกัน แฉเล่ห์ตร.รังแก"สุนัย-คตส."

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"สนธิ"อัดแหลกรัฐตำรวจจะทำชาติวิบัติล่มจม แฉเบื้องหลังหมายจับ"สุนัย" ทำเป็นกระบวนการ รังแกกันชัดๆ ที"จักรภพ"กลับปล่อยลอยนวล "อนุพงษ์" ยันคตส. ทำหน้าที่ตามกรอบกฎหมาย ในการส่งคนทุจริต คอร์รัปชั่น เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากมีปัญหาพร้อมช่วยไกล่เกลี่ย ด้าน"นพดล สมบูรณ์ทรัพย์" จวกหมายจับ"สุนัย" ทุเรศ ขณะที่ คตส. ลั่นเป็นวัวป่า ไม่กลัวเสือ พร้อมมอบตัวและไม่ยื่นประกันหากมีการออกหมายจับ โวยกลุ่มอำนาจเก่ารังแกกระทั่งผู้หญิง

การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นวันที่ 13 ที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินนอก เมื่อวานนี้ (6 มิ.ย.) ยังคงเป็นไปด้วยความคึกคัก โดยมีประชาชนจากทุกภาคทั่วประเทศมาร่วมชุมนุมหลายหมื่นคน

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นกล่าวบนเวที ชี้ให้เห็นถึงความชั่วร้ายของรัฐตำรวจ ภายใต้ระบอบทักษิณ ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะกรณีการออกหมายจับ นายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในข้อหาหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีลักษณะเหมือนกับที่ตัวเองกำลังโดน

นายสนธิ ได้ชี้ให้เห็นว่า ตามปกติเมื่อมีเจ้าทุกข์ไปแจ้งความก็ต้องมีหมายเรียกไปยังผู้ต้องหา ซึ่งนายสุนัย ได้ส่งหนังสือชี้แจงไปอย่างละเอียด จากนั้นตำรวจก็น่าจะนำมาเปรียบเทียบชั่งน้ำหนักได้ และกรณีนี้ก็เหมือนกับการชี้แจงด้วยตัวเอง ส่วนตำรวจจะพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ก็ต้องปรึกษาผู้บังคับบัญชา ถ้าฟ้องก็ต้องส่งอัยการแล้วแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบ

นายสนธิ ตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมต้องไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายสุนัย ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทำไมไม่แจ้งความที่กรุงเทพฯ เพราะเป็นพื้นที่เกิดเหตุ ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีพล.ต.ท.ชลอ ชูวงศ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อนร่วมรุ่นของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนายตำรวจคนนี้ เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการอยู่ภาคอีสานก็เคยสั่งให้ลูกน้องกลั่นแกล้งให้แจ้งความดำเนินคดีกับตนเอง และต่อมาเมื่อมีการสั่งการให้ผู้บังคับการกองปราบปราม พล.ต.ต.วินัย ทองสอง เตะถ่วงไม่ยอมให้ประกันตัวจนประชาชนทนไม่ไหวต้องยกมาล้อมกองปราบฯ จนต้องยอมให้มีการประกันตัวในที่สุด

นายสนธิ กล่าวว่าในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน พล.ต.ท.ชลอ มีลูกน้องเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรอยุธยา ดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท นายสุนัย นั่นเอง

นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ไม่รู้ว่าใช้ดุลพินิจอะไรในการออกหมายจับ นายสุนัย ทั้งที่เป็นถึงอดีตผู้พิพากาาศาลฎีกา เป็นครูบาอาจารย์ของผู้พิพากษาทั่วประเทศ และเป็นข้าราชการซี 10 และนี่คือเหตุผลที่ตนเองต้องออกมาสู้ เพราะคดีหมิ่นประมาทเป็นคดีลหุโทษ

"แล้วทีนายจักรภพที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ และตำรวจบอกว่ามีมูล แต่ยังปล่อยให้เลื่อนชี้แจงไปอยู่เรื่อย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ยังมีหน้าอยู่อย่างนี้อีกหรือ สังคมไทยเป็นแบบนี้อยู่ได้อย่างไร คุณสุนัย ทำคดีคุณทักษิณ ทุจริตทำ เป็นการเพื่อชาติบ้านเมือง แต่ทีนายจักรภพ หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำเฉย กลายเป็นว่าคนทำงานเพื่อชาติกลับถูกตำรวจจับ" นายสนธิกล่าว

แกนนำพันธมิตรฯ ผู้นี้ยังกล่าวอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐตำรวจกำลังกลับมาแล้ว และเรื่องนี้เป็นสัญญาณของความพินาศฉิบหายของสังคมไทย หากตำรวจยังทำตัวเป็นสุนัขรับใช้นักการเมือง

นายสนธิ ยังกล่าวว่า ความชั่วร้ายของรัฐตำรวจ กำลังคืบคลานมาสู่ คตส.พร้อมกันนี้ นายสนธิ ยังได้เล่าเหตุการณ์ข่มขู่เอาชีวิตตัวเอง เมื่อคืนที่ผ่านมา 6 มิ.ย.) ที่มีขบวนการสัตว์นรกมาจะเอาชีวิต แต่โชคดีที่มีการป้องกันไว้อย่างดี และถ้ายิงเข้ามา 1 นัดก็จะยิงสวนกลับไปนับสิบนัด ให้มันรู้ว่า คนที่สู้ด้วยความอัดอ้นแล้ว ตายเป็นตาย

นายสนธิ ชี้ให้เห็นว่า 3 เดือนที่รัฐบาลชุดนี้ทำประเทศเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง แถมยังมีการรังแกประชาชนทุกเรื่อง และว่าสาเหตุที่นักลงทุนไม่กล้ามาเพราะไม่มีกำไร เพราะนี่คือสันดานของนักลงทุน แต่ที่รัฐบาลบอกว่านักลงทุนไม่มาคือนักเล่นหุ้น ไม่ใช่นักลงทุน

นายสนธิ กล่าวว่า อ่านข่าวเรื่องการจับกุมนายสุนัย แล้วน้ำตาไหล เหมือนกับตัวเองที่เจ็บแต่พูดไม่ได้ และตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ แม้เอาหอกแหลมแทงยังไม่ร้องเลย

"ประเทศนี้ปลูกข้าวมาก แต่ไม่มีข้าวกิน หรือประเทศนี้ปลูกอ้อยมาก แต่ต้องบริโภคน้ำตาลแพง นี่คือ 3 เดือนที่รัฐบาลสร้างความฉิบหาย นี่ยังไม่รวมเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ คิดว่าพวกเราสนุกนักหรือไงที่ต้องมานั่งแบบนี้" นายสนธิ ระบุ และว่าเวลานี้บ้านเมืองมีสองฝ่าย คือฝ่ายเราที่มีชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์ กับฝ่ายสาธารณรัฐ ที่เกิดขึ้นมาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาในยุครัฐบาลทักษิณ แต่ถูกเราจับได้

นายสนธิ ย้ำว่า การต่อสู้ครั้งนี้เป็นสงครามครั้งสุดท้ายต้องสู้ให้ถึงที่สุด มีคนถามว่าจะจบลงอย่างไร ก็ขอบอกว่า ลงยังไง ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ จะสู้ให้ถึงที่สุด ตายเป็นตาย

"นพดล"อัดหมายจับ"สุนัย" ทุเรศ

พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผย หลังร่วมสัมมนาระดมความคิดเห็นปรับปรุงโครงสร้างกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถึงกรณีการออกหมายจับ นายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า ดีเอสไอ ต้องอยู่อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี การขอออกหมายจับ นายสุนัย ตนมองว่ามันเป็นเรื่องทุเรศ เพราะการออกหมายจับส่วนใหญ่จะออกหมายจับกับบุคคลที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ดังนั้น มีวิธีการอีกหลายอย่างที่จะนำมาใช้ ไม่ใช่วิธีแบบนี้ คาดว่าเป็นเรื่องที่ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือ สร้างความเสียหาย อับอาย ให้แก่ นายสุนัย มากกว่า

"อนุพงษ์"พร้อมช่วยไกล่เกลี่ยให้ คตส.

หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ได้ออกหมายเรียก คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทั้ง 11 คน ให้ไปรายงานตัว ในคดีฟ้องหมิ่นประมาท ซึ่งทางคตส. ได้ทำหนังสือไปยัง นายกรัฐมนตรี และอดีตคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) รวมถึงอธิบดีผูพิพากษาศาลต่างๆ เพื่อแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ทราบ

เมื่อวานนี้ (6มิ.ย.) พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในฐานะอดีตรองเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า แนวคิดหลักที่ คตส. ทำงาน ถือเป็นองค์กรอิสระ ที่จะทำได้ตามกรอบกฎหมาย อำนาจหน้าที่ที่ตัวเองมี ถ้าทำไปตามนั้นแล้วจะได้ความศักดิ์สิทธิ์ และมีความชอบธรรมในการทำงาน ถ้ามีใครพยามที่จะไปเคลมว่าเป็นหน่วยงานของตัวเอง ความศักดิ์สิทธิ์ ขององค์กร เช่น คตส. อาจจะมีผลกระทบในการทำงานของเขา ในเรื่องต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล

" ความเห็นผมคือ เขาก็ทำงานตามขอบเขตภารกิจหน้าที่ไป ถ้ามันมีปัญหาเรื่องฟ้องร้อง ก็อยู่ที่กฎหมาย อยู่ที่กระบวนการยุติธรรมที่จะว่ากันไปตามนั้น ผมมีความเห็นเช่นนั้น" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

เมื่อถามว่า หากทาง คตส. ต้องการให้เข้าไปช่วยไกลเกลี่ย คุ้มครองเรื่องต่างๆจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขอใช้คำว่าอย่างนี้ดีกว่า ก็ขอให้มีเรื่องมาก่อน ต้องดูว่าจะมีอำนาจหน้าที่ทำได้แค่ไหน ในเรื่องการไกล่เกลี่ย ถ้ามีอำนาจหน้าที่ทำได้ก็จะให้การสนับสนุน ซึ่งองค์กรภาครัฐทั้งหมดโดยพื้นฐานต้องให้การสนับสนุนองค์กรเช่นนี้อยู่แล้ว เป็นการให้การสนับสนุน แต่จะไปมีอิทธิพลเหนือไม่ได้

เมื่อถามว่า มีข้อห่วงใยว่า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตัด มาตรา 309 ออก อาจมีผลกระทบต่อองค์กรอิสระอย่าง คตส. พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ประเด็นนั้นไม่ใช่เรื่องของข้าราชการประจำอย่างเราๆ เป็นหน้าที่ของสภา คือฝ่ายองค์กรนิติบัญญัติที่จะเป็นผู้ดำเนินการ ประชาชนก็เฝ้าติดตามอยู่ไม่ว่าจะ เสนอความเห็นอะไรก็แล้วแต่ องค์กรภาครัฐ จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้

เมื่อถามว่า หลายๆ ฝ่าย ควรจะให้กำลังใจ คตส.หรือไม่ เพราะอาสาเข้ามาทำงานโดยที่ตัวเองไม่เข้ามาทำก็ได้ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เขามีความตั้งใจที่จะทำตามกฎหมาย เท่าที่ตนประเมินตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ท่านทำเต็มที่อยู่แล้ว และคงจะเร่งดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องคดีต่างๆที่ตรวจสอบให้สำเร็จลุล่วงในการส่งฟ้องดำเนินคดี ตามกระบวนการยุติธรรม

คตส.ยันโดนคดีไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

ด้านนายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงกรณีการทำหนังสือถึงฝ่ายต่างๆเพื่อแจ้งให้ทราบว่า กำลังถูกออกหมายเรียกให้ไปรายงานตัวในคดีหมิ่นประมาท อันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ว่า คตส.ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ได้ทำตามหน้าที่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ คนที่เคยมีตำแหน่งใน คมช. และขณะนี้มีตำแหน่งในปัจจุบัน บอกว่าหากมีเรื่องอะไรให้บอก เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ก็ต้องแจ้งให้ทราบ

ส่วนที่ ทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระบุว่า การฟ้องร้องคตส. เป็นความผิดส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่นั้น นายสัก กล่าวว่า หนังสือที่ทีมทนายส่งถึงคตส.ให้เพิกถอนการอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ส่งถึง คตส.ในนามคณะกรรมการ และมติการอายัดทรัพย์ ก็ทำในนามของคณะกรรมการฯ ไม่ได้ดำเนินการเป็นการส่วนตัว ดังนั้น ควรแยกให้ออกระหว่างเรื่องส่วนตัว และการปฎิบัติหน้าที่ เพราะมีหลายคนแยกไม่ออก

" ต้องยอมรับว่า ระบบเหลี่ยม ทำให้เกิดความแตกแยกทุกวงการ อาจารย์หลายคณะในมหาวิทยาลัยเดียวกันก็มีความเห็นไม่ตรงกัน ไม่น่าเชื่อว่านักวิชาการที่ไม่มีสี จะกลายเป็นคนมีสีได้" โฆษกคตส.กล่าว และว่าในส่วนของ คตส.หากมีการออกหมายจับจริง ในการหารือของ คตส.เบื้องต้น บางคนมีความเห็นว่าจะไม่ขอยื่นประกันตัว

พร้อมมอบตัว-ไม่ประกัน

แหล่งข่าวจาก คตส. เปิดเผยว่าในการประชุม คตส.เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากรับทราบว่ากองปราบ ได้ออกหมายเรียก คตส. ทั้ง 11 คน ไปพบพนักงานสอบสวน ที่ประชุมได้หารืออย่างเคร่งเครียด ซึ่งในเบื้องต้นที่ประชุมเห็นด้วย ให้ทำหนังสือแจ้งไปยังศาลทั่วประเทศ เพื่อขอโอกาสตั้งทนายเข้าไปซักค้านในชั้นไต่สวนการออกหมายจับ ในกรณีที่เจ้าพนักงงานสอบสวน ยื่นเรื่องออกหมายจับ ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายให้ คตส. รายหนึ่งไปรวบรวมคำพิพากษาของศาล กรณียกคำร้องในคดีหมิ่นประมาท เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการชี้แจง

อย่างไรก็ตาม หากมีการออกหมายจับจริง ทางคตส.จะเดินทางไปมอบตัวกับเจ้าพนักงาน เพราะตามสิทธิ์ทางกฎหมายแล้ว จะไม่มีการควบคุมตัว

"หากเจ้าพนักงานสอบสวนเดินทางไปขอหมายจับจริง ทาง คตส.ต้องการให้ผู้ที่ไปขอออกหมายจับ เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ไม่ควรจะส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อย โดยในทางคดี คตส. เตรียมที่จะฟ้องกลับ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้" แหล่งข่าวระบุ

คตส.ลั่น"เป็นวัวป่า ไม่กลัวเสือ"

ขณะที่นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการ คตส. กล่าวว่า หากมีการออกหมายจับจริง ก็จะยืนหยัดสู้ต่อไป ไม่กลัวอะไร หากช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วจะช่วยสังคมอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า การขู่ออกหมายจับ เป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวหรือไม่ นายอุดม กล่าวว่า "บังเอิญว่า คตส. เป็นวัวป่า จึงไม่กลัวเสือ ไม่ใช่วัวบ้าน และไม่ได้อยู่ในคอกของใคร ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับผลร้ายอย่างไร แต่ภาระของ คตส.คือ เข้ามาตรวจสอบผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหาย"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาระบุว่า คตส.ทำอะไรกับใครไว้ ก็ควรได้รับสิ่งนั้น นายอุดม กล่าวว่า ข้อต่อสู้ของทีมทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ มักจะอ้างว่า คตส. กลั่นแกล้ง แต่ไม่เคยเห็นทีมทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาระบุว่าไปกลั่นแกล้งตรงไหน เพราะหากไม่มีการกระทำเกิดขึ้น จะถูกตรวจสอบได้อย่างไร จะมาบอกว่าการตรวจสอบเป็นการกลั่นแกล้งหรือหรือไม่

แฉรังแกกระทั่งผู้หญิง

นายอุดม กล่าวด้วยว่า กระบวนการดำเนินการกับคตส. มีความพยายามที่จะไม่ให้มีบุคคลเข้ามาช่วยเหลือการทำงานของคตส. และล่าสุด เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้มีคำสั่งย้าย น.ส.กัญญานุช สอทิพย์ อธิบดีกรมบังคับคดี ซึ่ง คตส.ดึงมาช่วยงานร่วมเป็นคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ของ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร มีความเชียวชาญกับการบังคับคดีการขายทอดตลาด ซึ่งในขณะนั้น เป็นรองอธิบดีกรมบังคับคดี และล่าสุด ก็เพิ่งถูกย้ายให้มาเป็นผู้ตรวจราชการ

"การดำเนินการกับ คตส. และ ดีเอสไอ รวมถึงการโยกย้ายข้าราชการ เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ในการขัดขว้าง และการยื้อคดีของ คตส. ตามความคิดของผม หากการย้ายอธิบดีกรมบังคับคดีครั้งนี้ เป็นเพราะเข้ามาช่วยงาน คตส. จริง ความคิดรังแกผู้หญิง ผมคิดว่า คนคนนั้น อย่าเรียกว่าไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย แค่เป็นกะเทยที่ดี ก็ยังเป็นไม่ได้" นายอุดม ระบุ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การไล่เช็คบิล คตส. และดีเอสไอ รวมถึงคนที่เกี่ยวข้อง จะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมหรือไม่ นายอุดม กล่าวว่า "ไม่รู้ ถามคตส.ไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นคนเริ่มความขัดแย้ง แต่ผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้เริ่มต้น เป็นคนทำให้เกิดความขัดแย้งเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมและความคิดของรัฐบาล ในการบริหารบ้านเมืองว่า จะทำอะไรก็ได้ แต่อย่ามาตรวจข้าก็แล้วกัน"

เมื่อถามว่า การเช็คบิล คตส.เป็นเกมหนึ่งในการขัดขวางคดีของ คตส.ใช่หรือไม่ นายอุดม กล่าวว่า เราเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ในเกมนี้ แต่คงไม่ใช่ขุน เป็นแค่เรือหรือม้า เท่านั้น แต่ถ้าเป็นเบี้ย ก็เป็นเบี้ยหงาย

ขณะที่ น.ส.กัญญานุช สอทิพย์ กล่าวว่า ตนได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาทำหน้าที่เป็นคณะอนุฯ ไต่สวนคดีการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ตามที่คตส.ประสานความร่วมมือมา ซึ่งเราเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็ต้องให้ความร่วมมือปฎิเสธไม่ได้ ข้อมูลที่ให้ไปก็เป็นไปตามข้อเท็จจริงไม่ได้ให้ร้ายใคร และคิดว่าคงไม่มีปัญหา เพราะเป็นข้าราชการ ต้องสำนึกในบุญคุณประเทศชาติ

"ส่วนที่ถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการ คงไม่ขอให้ความเห็น ว่าเกิดจากเรื่องอะไร แต่ยืนยันว่า ไม่ได้อยู่ฝ่ายใคร เพราะเป็นข้าราชการ ต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเชื่อว่าสิ่งที่ได้ทำลงไป ถูกต้องแล้ว"

ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าเหตุผลการย้ายครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับการเข้ามาช่วยงาน คตส. หรือไม่ นางสาวกัญญานุช หัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะระบุว่า "ไม่ทราบ แต่ไม่ท้ออะไร และไม่สนใจด้วย อยู่ที่ไหนก็ทำงานได้"

คตส.เตรียมส่งมอบงานให้ ป.ป.ช.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่ายวานนี้ มีการประชุมร่วมของ กรรมการ คตส. กับ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาแนวทางการส่งมอบคดีหลังคตส.หมดวาระในวันที่ 30 มิ.ย.นี้

นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคตส. กล่าวหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขาทั้ง 2 ฝ่าย ไปรวบรวมสรุปแผนงานและแนวทางการรับและส่งสำนวนของทั้งสองฝ่ายภายในสัปดาห์หน้า โดยจะมีการประชุมในวันที่ 10 มิ.ย. และจะมีการส่งมอบสำนวนอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มิ.ย. ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ยันไม่เพิกถอนอายัดทรัพย์ "แม้ว"

นายสัก กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังมีมติ ส่งสำนวนมติการอายัดทรัพย์ทั้งหมดให้กับอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาส่งเรื่องให้ศาลอายัดทรัพย์ต่อไป โดย คตส.จะไม่มีการพิจารณาเพิกถอนอายัดทรัพย์ แต่จะพิจารณาหลังจากศาลได้วินิจฉัยจนถึงที่สุดแล้ว
 
สไหรับคดีที่เตรียมสรุปส่งให้อัยการสูงสุดก่อนที่ คตส.จะหมดวาระมีดังนี้ คือ โครงการก่อสร้างทางเชื่อมสนามบินสุวรรณภูมิ หรือ แอร์พอร์ตลิ้งค์ ที่อยู่ระหว่างเตรียมการสรุป และภายในสัปดาห์หน้า คดีบ้านเอื้ออาทรจะได้นำสู่ที่ประชุม คตส.ต่อไป ภายในกลางเดือนนี้ จะมีการพิจารณาสรุปคดีการจัดซื้อเรือ และรถดับเพลิงของ กทม. ส่วนคดีการจัดซื้อห้องปฎิบัติกลางการเกษตร (เซ็นทรัลแล็ป) จะสรุปได้ภายในปลายเดือนนี้

"ทนายแม้ว"ไล่"สุนัย-คตส."ไปพบ ตร.

นายพิชิฏ ชื่นบาน หนึ่งในทีมทนายความของ บริษัท สำนักกฎหมายนิติเอกราช จำกัด ซึ่งรับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวในการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาท นายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ในฐานะอดีต อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการ คตส. กล่าวถึง การทำหน้าที่ของตำรวจกองปราบปราม ในการฟ้องร้องทั้ง 2 คดีนี้ ว่า รู้สึกเห็นใจการปฎิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ที่ถูกสังคมตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ ทั้งที่เป็นการปฎิบัติหน้าที่ตามปกติ ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดย คดีของนายสุนัย ประเด็นสำคัญที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ คือ การที่นายสุนัย ได้รับหมายเรียกจากเจ้าพนักงานสอบสวน ถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ยอมไปรับทราบข้อกล่าวหา ทำให้คดีเดินต่อไปไม่ได้ ก็เลยต้องออกหมายจับตามขั้นตอนปกติ
 
"ถ้าคุณสุนัย ยอมไปพบพนักงานสอบสวนตามปกติ การออกหมายจับก็คงไม่เกิดขึ้น และที่สำคัญคดีนี้ ก็เป็นคดีอาญาปกติ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นความผิดส่วนตัว ซึ่งคุณสุนัย ก็ควรปฎิบัติให้เหมือนกับคนทั่วไป เพื่อให้กฎหมายบังคับใช้ได้อย่างเท่าเทียม ทุกฝ่ายได้รับความยุติธรรม" นายพิชิฏกล่าว

ส่วนกรณีของ คตส. ก็เป็นเรื่องลักษณะเดียวกัน ถ้ามั่นใจว่า ไม่ได้กระทำความผิดอะไร ก็ไม่ต้องกลัวอะไร เมื่อพนักงานสอบสวนออกหมายเรียก ก็ควรจะมาพบเพื่อสู้คดี แต่คตส. กลับไม่ยอมมา ทั้งยังออกหนังสือ แจ้งไปถึงใครต่อใครว่า ถูกกลั่นแกล้ง เบี่ยงเบนประเด็นให้เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ควรจะยอมรับอำนาจการตรวจสอบของคนอื่นด้วย ไม่ใช่มาดำเนินการอะไรแบบนี้

"คดีนี้ ถือเป็นคดีความส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องหน้าที่ เมื่อฝ่ายเราโดนแบบใด ฝ่ายเขาก็ควรจะต้องโดนแบบนั้น เพื่อให้กฎหมายบังคับใช้ได้อย่างเท่าเทียม ไม่ได้เลือกปฎิบัติ ใช้บังคับกับฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่บังคับกับอีกฝ่ายหนึ่ง ทีมทนายรู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจมาก จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน และถือปฎิบัติตามข้อกฎหมาย อยากให้สังคมเข้าใจ คตส. ควรจะรีบไปพบพนักงานสอบสวนซะ อย่ามา ร้องแรกแหกกระเฌอ แบบนี้ " ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุ
 
พันธมิตรฯ ส่งตัวแทนบุก ก.ล.ต.

สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวานนี้ (6 มิ.ย.) เวลา 11.00 น. ตัวแทนกลุ่มพันธมิตรฯ ประมาณ 150 คนนำโดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ได้เดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตามยุทธศาสตร์ดาวกระจาย เพื่อยื่นหนังสือสอบถามความคืบหน้า คดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC โดยยื่นหนังสือต่อ นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งเป็นตัวแทนมารับหนังสือครั้งนี้

นายประเวช กล่าวว่า ก.ล.ต.จะรับเรื่องไปพิจารณา ทั้งนี้ เรื่องของ SC นั้น ขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาของอัยการแล้ว หลังจากที่ ดีเอสไอ ส่งเรื่องดังกล่าวไปแล้ว โดยทางกลุ่มพันธมิตรฯ บอกว่าจะมีการติดตามเพื่อสอบถามข้อมูลความคืบหน้าในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า

สำหรับเอกสารที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯ มายื่นมีรายละเอียด 3 ประเด็น ดังนี้

1.จากการที่ก.ล.ต.ได้ตรวจสอบคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปกปิดโครงสร้างการถือหุ้น SC จนถึงขึ้นกล่าวโทษแล้วนั้น พันธมิตรฯ ขอสอบถามความชัดเจน ว่า ภายหลังจากที่รัฐบาลนายสมัคร ได้เข้าสู่อำนาจรัฐ และปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ ว่ารัฐบาลชุดนี้ มีพฤติกรรมเป็นเสมือนหุ่นเชิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวก

ทั้งนี้ ก.ล.ต.จะยังคงทำงานเป็นอิสระเช่นเดิมต่อไปได้หรือไม่ หรือถูกอิทธิพลของรัฐบาลทำให้ ก.ล.ต.ใช้อำนาจอันมิชอบปกปิดหรือบิดเบือนเพื่อช่วยกันปกป้องความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกหรือไม่ จึงขอให้ทางก.ล.ต.มีการตอบคำถาม ว่า ก.ล.ต. จะยังคงยืนยันข้อเท็จจริงตามที่เคยได้พิสูจน์พบมาแล้วหรือไม่ ตามประเด็นที่สรุปดังนี้ คือ วินมาร์ค และกองทุนมาเลเซีย มีพฤติกรรมเป็นตัวแทนหุ่นเชิดในการถือหุ้น SC และมีความเกี่ยวโยงถึงตัว พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมิได้เปิดเผยข้อมูลแก่ประชาชนทั่วไปตามความจริง

ประเด็นที่ 2. หาก ก.ล.ต.ยืนยันข้อเท็จจริงตามข้อ 1. ว่ายังมิได้ถูกบิดเบือนไป ก.ล.ต. มีแผนการปรับโทษต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไร และเมื่อใด โดยทางกลุ่มพันธมิตรฯ มีข้อสังเกตว่า กรณีก่อนหน้านี้ นายพานทองแท้ ชินวัตร ได้จัดทำและแก้ไขข้อมูลย้อนหลังไป 6 ปี เพื่อให้เห็นว่าตนเป็นเจ้าของ แอมเพิลริช ที่แท้จริงนั้น ก.ล.ต.ได้พิจารณาโทษ และปรับด้วยตนเองในเวลาไม่ช้า เพียง 2-3 เดือนเท่านั้น

สำหรับ ในกรณีนี้ก็มีหลักฐานความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่คล้ายคลึงกัน เหตุใด ก.ล.ต.จึงไม่รีบดำเนินการตัดสินโทษไปเหมือนกับกรณีของนายพานทองแท้ แต่กลับต้องรอมาจนเป็นเวลากว่า 2-3 ปี ก.ล.ต.มีมาตรฐานอย่างไร และมีการคุกคามกดดันจากผู้มีอำนาจหรือไม่ เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อสงสัยว่า ก.ล.ต. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้โปรดแจ้งแผนปฏิบัติการในเรื่องนี้ภายใน 7 วัน

ประเด็นที่ 3 การที่วินมาร์ค ถือหุ้นชินคอร์ปฯ ในบัญชี ซึ่งดูแลโดย ธนาคารยูบีเอส เลขที่ 121751 นั้น ยังพบอีกว่า ในการโอนหุ้นชินคอร์ปให้นายพานทองแท้ ในวันที่ 1 ก.ย. 43 มูลค่า 700 ล้านบาท นั้นนายพานทองแท้ กลับต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินสั่งจ่าย คุณหญิงพจามาน เพื่ออีกประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งได้นำไปสู่การเป็นช่องทางการถ่ายเทผลประโยชน์จากหุ้นชินคอร์ปฯ ที่ถือโดยบุคคลใกล้ชิดกลับมาสู่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคู่สมรสอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ที่ปรากฏเป็นข่าวได้แสดงถึงพฤติกรรมของบุคคลใกล้ชิดกัน ทั้ง นายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทา และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตลอดจน นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ต่างก็มีพฤติกรรมส่อไปเป็นหุ่นเชิด ก.ล.ต.จะได้มีโอกาสที่จะดำเนินการตรวจสอบในกรณีดังกล่าวได้อย่างไร มีความเป็นกลางเช่นเดิมหรือไม่ หรือมีการคุกคามกดขี่ โดยผู้มีอำนาจรัฐหรือไม่ โดยกลุ่มพันธมิตรฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ก.ล.ต.จะแจ้งคำตอบให้กับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเร็วและเรียกร้องและให้กำลังใจต่อ ก.ล.ต อย่าได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการลงโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวก

ยื่นดีเอสไอหยุดปกป้อง "ทักษิณ"

ต่อมาเวลา 13.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ประมาณ 200 คน นำโดยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข เดินทางไปยังกรมดีเอสไอ เพื่อยืนหนังสือแสดงเจตนารมณ์ของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยระบุว่า การทำงานช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาล ดูเหมือนว่าทำไปเพื่อรับใช้อำนาจการเมืองของนายทุน นักธุรกิจการเมือง มากกว่าประชาชน และประเทศชาติ ดังจะเห็นได้จากคำสั่งโยกย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดี ดีเอสไอ และข้าราชการจำนวนมากในดีเอสไอ อย่างกะทันหัน แล้วให้ผู้ที่มีความใกล้ชิดกับพ.ต.ท.ทักษิณ มาทำหน้าที่แทน ดังจะเห็นได้จากกรณีที่ปรากฏต่อสาธารณชนดังนี้

1.มีพฤติกรรมส่อไปในทางถ่วงคดี การปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ เปอร์เรชั่น จำกัด ให้ล่าช้า อย่างไม่มีกำหนด มีกระแสข่าวทำให้เชื่อว่ามีแนวโน้มจะช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวก

2.คุกคามการทำงานของ กกต. ในระหว่างที่พิจารณาคดีของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล

3. คุกคามและกลั่นแกล้ง คตส. ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบคดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ

นอกจากนี้ยังเห็นว่า หากดีเอสไอ มีลักษณะกระทำที่เป็นอันตรายต่อระบบยุติธรรมของประเทศจริง ขอให้ยุติการกระทำ และขอให้เร่งรีบดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทหน้าที่ตามหลักยุติธรรมอย่างเคร่งครัด และเร่งรัดในคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ และนักการเมืองโดยเร็วที่สุด

ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ รองอธิบดี ดีเอสไอ กล่าวภายหลังรับหนังสือจากกลุ่มพันธมิตรฯว่า ดีเอสไอตระหนักในการดำเนินการทุกอย่างอย่างเคร่งครัด ซึ่งหนังสือดังกล่าวถือเป็นคำเตือน ไม่ใช่การร้องเรียน ขอย้ำว่าการดำเนินงานต่างๆ ของดีเอสไอไม่ได้เป็นการดำเนินงานอย่างผิดปกติ เป็นไปตามขั้นตอน และไม่เคยข่มขู่ กกต. และ คตส. ตามหนังสือที่กล่าวอ้าง

ยัน"ทักษิณ"ต้องขึ้นศาล

นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่า ยืนยันว่า จะเรียกร้องไม่ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ รอให้มีการพิจารณาคดีเกี่ยวกับการทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ จากศาลจนเสร็จสิ้นก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการฟอกความผิด และหากฝ่ายรัฐบาลจะส่งคนมาเจรจา ยินดีที่จะเจรจาหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหา แต่ต้องไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ยืนยันว่ากลุ่มพันธมิตรฯ มีจุดยืนอยู่ชัดเจน แต่ในขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีหลักเกณฑ์แก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และขาดความน่าเชื่อถือ

"ไชยวัฒน์" นำทีมตรึงหน้า ป.ป.ช.

ด้านนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด พร้อมด้วยสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งชาติกว่า 100 คนได้เดินขบวนจากสถานรถไฟหัวลำโพง มาเพื่อยื่นหนังสือการติดตามและเร่งรัดการดำเนินคดีต่างๆ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่สำนักงาน ป.ป.ช. แต่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 200 นาย ได้นำแผงเหล็ก และรถบรรทุกห้องขังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3 คัน มาปิดการจราจรบนถนนพิษณุโลก ตั้งแต่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบรัฐบาลไปจนถึงแยกมิสักวัน ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมแสดงความไม่พอใจ โดยนายไชยวัฒน์ ได้ขึ้นกล่าวบนรถ ต่อว่าการปิดกั้นของตำรวจเป็นการไม่เคารพสิทธิตามรัฐธรรมนูญ พร้อมกับขู่ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมก็จะปักหลักจนกว่าเจ้าหน้าที่จะยอมเปิดทางให้เข้าไปยื่นหนังสือได้

ต่อมา นายไชยวัฒน์ พร้อมแกนนำรวม 6 คน ได้เข้าไปในสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อพบผู้บริหาร ท่ามกลางการรักษาความปลอดของตำรวจอย่างเข้มงวดฃ

นายไชยวัฒน์ กล่าวภายหลังว่า ไม่ได้มีการยื่นเรื่อง แต่เป็นการพูดคุยกับนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเรื่องที่ยกมาพูดคือเรื่องคดีการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบทับที่สาธารณะบริเวณ เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งนายกล้านรงค์ กล่าวว่ากำลังเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด และจะเรียนให้ นายวิชา มหาคุณ ประธาน ป.ป.ช. ซึ่งดูแลคดีนี้ และจะแถลงเรื่องนี้ภายในไม่เกิน 1-2 วันนี้ ว่าจะมีความชัดเจนอย่างไร

" วันนี้เราจะปักหลักอยู่ที่นี่ และเปิดเวทีตรงนี้ ไม่ไปไหน เพื่อให้ข้าราชการป.ป.ช. ที่เห็นแก่บ้านเมืองส่งข้อมูลเชิงลึกให้เรา แล้วเราจะนำมาพูดให้ประชาชนได้ทราบ" นายไชยวัฒน์ กล่าว และว่า จะมีประชาชนจาก จ.ชัยภูมิ นครราชสีมา และภาคใต้ กำลังจะเดินทางมาสมทบ

ตร.คุมเข้มทำเนียบฯ หวั่นม็อบบุก

เวลา 12.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีกลุ่มสมัชชาเกษตรกรผู้เดือดร้อนจากการสร้างเขื่อนลำปะทาว จ.ชัยภูมิ ประมาณ 100 คน และกลุ่มผู้ชุมนุมจากจ.ชุมพร ประมาณ 150 คน ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรฯ มาชุมนุมบริเวณด้านข้างทำเนียบฯ โดยกลุ่มสมัชชาเกษตรฯ ตั้งกลุ่มชุมนุมบริเวณแยกพณิชยการพระนคร ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมจากจ.ชุมพร ตั้งกลุ่มชุมนุมบริเวณ ถนนนครปฐม โดยทั้งสองกลุ่มได้ส่งตัวแทนไปมอบหนังสือแก่รัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ช่วยเร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.1 ซึ่งมาบังคับบัญชาสั่งการด้วยตนเอง พร้อมด้วย พ.ต.อ.วิชาญ บริรักษ์กุล รอง ผบก.น.1 สั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.นางเลิ้ง และ สน.ใกล้เคียงนำแผงเหล็กมากั้นโดยรอบบริเวณที่กลุ่มผู้ชุมนุมปักหลักอยู่ และดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

"ดาวกระจาย"หวิดปะทะตำรวจ

ต่อมาเวลา 18.30 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางกลับจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มายังทำเนียบรัฐบาลเพื่อทำงานที่ยังคั่งค้าง ขณะที่ บริเวณหน้าทำเนียบฯ มีกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 150 คน เดินแยกตัวออกมาจากการชุมชนที่สะพานมัฆวานฯ เพื่อจะมารับสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุมของกลุ่มนายไชยวัฒน์

ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ คอมมานโด กว่า 500 นาย ได้กั้นแผงเหล็กปิดการจราจร โดยนำรถบรรทุกผู้ต้องหา มาปิดเส้นทางไว้ 10 คัน ระหว่างนี้ทาง เจ้าหน้าที่ได้ขอร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมสลายตัวไป เพราะกำลังจะมีขบวนเสด็จ

จนกระทั่งเวลา 19.00 น. เกิดเหตุการณ์ชุนลมุน เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้พยายามปีนท่อน้ำ บริเวณข้างสะพานชมัยมรุเชฐ ทั้งสองฝั่ง เพื่อจะเข้าไปหน้าทำเนียบรัฐบาล แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดไว้ เวลาเดียวกันกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 100 กว่าคน ที่อยู่หน้าโรงเรียนพาณิชยการพระนคร ก็พยายามจะเข้ามายังทำเนียบรัฐบาล จนทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย สร้างแตกตื่นให้กับประชาชนบริเวณนั้น จนทำให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดในทำเนียบรัฐบาล ได้วิ่งกรูกันเข้าไปเสริมกำลังสนับสนุนโดยด่วน แต่ในท้ายที่สุดกลุ่มผู้ชุมชนได้เดินทางกลับออกไป

ภายหลังเกิดเหตุ ทำให้มีการเรียกประชุม เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยในทำเนียบรัฐบาลเป็นการด่วน

แฉตั้งค่าหัว "สนธิ" เลข 7 หลัก

นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำกลุ่มอีสานกู้ชาติ กล่าวถึง กรณีที่มีกระแสข่าวการลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ว่า ตนได้ทราบข่าวมาจากคนของซุ้มมือปืน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ซึ่งคนที่จะมายิงนายสนธิ เป็นคนของซุ้มดังกล่าวที่ถูกว่าจ้างจากบุคคลที่มีอำนาจเป็นอันดับ 2 ของพรรครัฐบาล โดยว่าจ้างด้วยเงินจำนวนสูงถึงเลขจำนวน 7 หลักให้มายิงและทำร้ายนายสนธิ ทั้งนี้โดยบุคคลที่ถูกว่าจ้างพยายามที่จะสร้างสถานการณ์ให้คล้ายกับคดีลอบสังหารมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King, Jr.) ซึ่งเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง

"บุคคลที่ได้รับการว่าจ้าง เป็นตำรวจ และก่อคดีฆ่ามาแล้ว 3 ศพ ที่จ.บุรีรัมย์ คือ ฆ่ากำนัน ประธาน อสม.และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่บุรีรัมย์ และตำรวจรายนี้ยังมีความใกล้ชิดกับนายตำรวจที่ได้รับฉายาว่า มือปราบ ทั้งนี้หากสามารถฆ่านายสนธิได้ ก็จะทำให้เกิดเหตุจลาจลประชาชนลุกฮือ และเป็นสถานการณ์ที่มีความชอบธรรมในการให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อสลายการชุมนุม" นายไทกรกล่าว และว่า สาเหตุที่มีการพุ่งเป้าไปที่นายสนธิ เนื่องจากเป็นคนที่มีพลังในการนำการชุมนุม และยังเป็นผู้บริหารของเอเอสทีวี ที่ทำการถ่ายทอดการชุมนุม ซึ่งตนเชื่อว่าข่าวที่พูดนั้น เป็นความจริง โดย ตำรวจคนที่ถูกว่าจ้างนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รู้จักดี และรู้เรื่องนี้ดี แต่ทำเฉย

ยังไม่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวถึงกรณีที่นักวิชาการด้านความมั่นคง เสนอให้นำพ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาญาจักร มาใช้ดูแลสถานการณ์การชุมนุมเพราะจะเป็นประโยชน์ทั้งรัฐบาล และกลุ่มผู้ชุมนุมว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงยังไม่เรียบร้อย ตนเข้าใจว่า ในเนื้อหา คงไม่สามารถนำไปใช้สลายอะไร คงทำไม่ได้ นอกจากจะใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนประเมินว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดูแลสถานการณ์ให้เรียบร้อยได้ คงไม่มีเหตุอะไรจำเป็นต้องใช้

เมื่อถามว่าในสถานการณ์ที่มีการบังคับให้แต่ละฝ่ายเลือกข้าง ทหารจะวางตัวอย่างไร โดยเฉพาะตัว ผบ.ทบ. เอง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เราทำตามบทบาท ภารกิจ ซึ่งขณะนี้ตนเข้าใจว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย ตนมีหน้าที่ดูแลด้านความมั่นคง วาระเร่งด่วนคือ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเรื่องสิ่งแวดล้อม

เมื่อถามว่า ห่วงเรื่องพันธมิตรฯหรือไม่ ล่าสุดมีการวางแผนดาวกระจายห่วงว่าจะมีการปะทะกันหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ตอบคำถามโดยโบ้ยให้สื่อตอบแทน จากนั้นเดินขึ้นรถประจำตำแหน่งทันที

อัดทุนสามานย์ทำชาวนาล้มละลาย

ส่วนที่เวทีสะพานมัฆวานฯ พันธมิตรฯ ได้จัดวงเสวนาทางเศรษฐกิจ ชี้ให้เห็นปัญหาข้าวยากหมากแพงในยุครัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช โดยมี ณรงค์ เพชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายพิทยา ว่องกุล นักวิชาการอิสระ และนายอำนาจ พลกุล รองสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เป็นวิทยากร ดำเนินรายการโดยนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ

นายณรงค์ กล่าวว่า เวลานี้ทุนสามานย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากต่างประเทศ กำลังลุกลามเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเป้าหมายของทุนเหล่านี้คือแสวงหากำไรโดยไม่สิ้นสุด ไม่ว่ากำลังวิกฤตกำลังเกิดขึ้นกับพลังงานน้ำมัน หรือข้าว ส่วนวิกฤตต่อไปคือเมื่อมีการผลิตมาก บริโภคมาก ทำให้ใช้น้ำมันมาก ก่อให้เกิดภาวะสิ่งแวดล้อม เกิดภาวะโลกร้อน เกิดภัยธรรมชาติ ทำให้โลกเสี่ยงต่อการขาดแคลนอาหาร

นักวิชการด้านเศรษฐศาสตร์ ผู้นี้กล่าวว่า เราคิดว่ากลุ่มโอเปกเป็นผู้ผูกขาดน้ำมัน แท้ที่จริงแล้วกลุ่มที่ผูกขาดคือ กลุ่มทุนในอเมริกา และยุโรป ซึ่งมีบริษัทน้ำมันประมาณ 7 บริษัท ขณะเดียวกันการส่งเสริมพลังงานทดแทนให้เกิดการขาดแคลนพื้นที่ผลิตอาหาร เกิดการบุกรุกป่ามากขึ้น และทำให้พื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด และทำให้เกิดวิกฤติข้าวแพง แต่ปรากฎว่าเมื่อข้าวแพงแทนที่ชาวนาจะได้ประโยชน์ แต่ปรากฎว่าทุกอย่างตรงกันข้าม

"ริบบิ้นขาว"อยู่ร่วมปีศาจ

นายพิทยา กล่าวก่อนเริ่มเสวนา ย้ำจุดยืนว่านักวิชการต้องยืนข้างความถูกต้อง และตำหนิแนวคิดของกลุ่มริบบิ้นสีขาว และตั้งคำถามว่าการอยู่ร่วมกับปีศาจได้ถือว่ามีความถูกต้องหรือไม่

นายพิทยา กล่าวว่า ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น 9 บาทเพียงพอหรือไม่ ขณะที่ค่าครองชีพได้สูงขึ้นหลายเท่าตัว ยกตัวอย่างราคาข้าวเพิ่มขึ้น 167 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นรัฐบาลต้องดูแล แต่ราคาที่สูงหรือกำไรที่นจะนวนมากเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลค้ากำไรจากการซื้อขายข้าวล่วงหน้า และมีบางคนในรัฐบาลได้ประโยชน์

นายพิทยา กล่าวว่า นโยบายประชานิยมของรัฐบาลได้ส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ ว่าจะเป็นการสร้างวิกฤตด้านหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มกำลังนำไปสู่การล้มละลาย และชี้ให้เห็นว่าการเข้ามาของทุนนอกที่จะมาซื้อที่ดิน จะทำลายความมั่นคงด้านอาหารในอนาคต

นายณรงค์ กล่าวว่า นโยบายข้าวของรัฐบาลเมื่อเดือนมีนาคม ผลประโยชน์จะตกกับพ่อค้าส่งออกและโรงสี ขณะที่ชาวนาไม่ได้อะไรเพราะข้าวนาปีในช่วงนั้นได้ขายออกไปหมดแล้ว เหมือนกับข้าวนาปรังที่รัฐบาลกำลังประกันเกวียนละ 14,000 บาท ก็หลุดจากชาวนาไปแล้วเช่นกัน

นายณรงค์ กล่าวว่า ภาวะวิกฤตได้เกิดขึ้นแล้ว พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลมุ่งแก้ปัญหารากหญ้าเป็นหลักมากกกว่ามุ่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมแนะรัฐบาลหาทางออกด้วยการลดค่าครองชีพ โดยอาจผลิตสินค้าราคาถูกออกมาจำหน่ายเหมือนเมื่อมัยก่อนที่ผลิตสินค้าจำเป็นภายใต้ชื่อ "สินไทย" ออกมาช่วยเหลือประชาชน

นายอำนาจ ย้ำว่า เวลานี้เรามีรัฐบาลเหมือนไม่มี ต้องช่วยตัวเอง ชี้การจำนำข้าวโดยให้ ธกส.ดูแล แต่ในข้อเท็จจริงไม่มีโกดัง ในที่สุดก็ต้องไปให้โรงสีเก็บข้าว ซึ่งก็จะเกิดปัญหาสต๊อกลมเกิดขึ้นอีก ดังนั้นถ้าเปรียบก็เหมือนกับ "เตะหมาเข้าปากหมู"

นายณรงค์ เตือนเล่หืโรงสีจะกดราคารข้าว โดยอ้างความชื้นในช่วงหน้าฝน และไม่มีทางขายได้ราคาตามราคาประกันอย่างแน่นอน

ฟรีทีวีบิดเบือนข่าวพันธมิตรฯ

รายงานข่าวจากจ.แพร่ แจ้งว่า ชาวบ้านในบ้านแม่พุงหลวง ต.แม่พุง อ.วังชิ้น จ.แพร่ ได้ลงขันกันจัดซื้อจอโปรเจกเตอร์ เปิดโทรทัศน์ช่อง เอเอสทีวี ที่รับสัญญาณจากจานดาวเทียมโดยตรง ติดตั้งที่โรงจอดรถของผู้นำหมู่บ้าน เพื่อเปิดดูรายการถ่ายทอดสดการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และเครือข่าย ที่กรุงเทพฯ เพื่อรวมกลุ่มชาวบ้านเฝ้าติดตามการแก้ปัญหาบ้านเมือง โดยเฉพาะการปราบปรามทุจริตของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช

นายเกียรติ คำน้อย แกนนำชาวบ้านแม่พุงหลวง กล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านได้รับข่าวสารที่มาจากฟรีทีวีในการติดตามข่าวพันธมิตรฯ แต่พบว่ามีแต่กระแสข่าวออกมาโจมตีว่าการจัดชุมนุมผิดกฎหมายและสร้างความเดือดร้อน โดยสื่อไม่เคยนำเสนอในแง่มุมของการต่อสู้เพื่อแก้ปัญหาการทุจริตของนักการเมือง ซึ่งพันธมิตรฯ กำลังกดดันให้มีการนำนักการเมืองที่โกงกินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอยู่

"การนำเสนอข่าวที่ไม่ตรงความเป็นจริงของฟรีทีวี ทำให้ชาวบ้านต้องรวมตัวกันจัดซื้อโทรทัศน์ โปรเจกเตอร์ ซึ่งหมู่บ้านมีจานดาวเทียมของเอเอสทีวี อยู่แล้ว นำมาเปิดกลางหมู่บ้าน เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด และเอาใจช่วยให้การแก้ปัญหาการเมืองลุล่วงไปอย่างรวดเร็ว"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านแห่งนี้ถือเป็นชุมชนเข้มแข็ง ที่มองเห็นประโยชน์ของรัฐธรรมนูญ 2550 ทำให้ชาวบ้านออกมาเคลื่อนไหวพิทักษ์สิทธิของตนเองในการดำรงชีวิต และการฟื้นฟูภูมิปัญญาเก่าๆ ในการดำรงชีวิตและการรักษาป่า ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสมาชิกเครือข่ายป่าชุมชนในภาคเหนือ ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้เป็นการสร้างแนวร่วมให้รัฐมองเห็นถึงการกลับไปสู่ความถูกต้องดีกว่า การทำไม่รู้เรื่องในความผิดที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งจะทำให้ปัญหาบานปลายหนักขึ้นอีก

นอกจากนี้ กลุ่มประชาสังคมในตัวเมืองแพร่ บางกลุ่มเริ่มทยอยเข้า กทม. เพื่อร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯแล้ว

พันธมิตรฯ ชลบุรีโพกหัวไล่ทรราช

นายชินณภัทร แสงรังสี แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯชลบุรี กล่าวว่า ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ชลบุรี-พัทยา จะแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ด้วยการโพกศีรษะด้วยผ้าสีชมพูและตัวหนังสือสีน้ำเงิน โดยข้อความที่เขียน คือ “เราพลีกายไล่ทรราช” และยอมพลีใช้หนี้แผ่นดิน โดยผ้าที่โพกศีรษะในครั้งนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นแกนนำหรือผู้ที่แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเพื่อไม่ต้องการคนไม่ดีเข้ามาบริหารและโกงกินประเทศ

นอกจากนั้น ยังมีแผ่นผ้าขนาดใหญ่ เขียนภาพล้อเลียนนายสมัคร สุนทรเวช และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในแบบกะเทยเพื่อสร้างสีสันในการชุมนุมครั้งนี้ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น