ศูนย์ข่าวศรีราชา -สถานการณ์การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและหัวมันสดไทยในปี 2552 มีแนวโน้มสดใส หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง ทำให้ประเทศมหาอำนาจทั้งในยุโรป สหรัฐฯและจีน หันสต๊อกวัตถุดิบสำหรับผลิตเอทานอลเพื่อใช้ในการผลิตไบโอดีเซล ส่งผลราคาส่งออกต่อตันขยับจาก 115-120 เหรียญสหรัฐ เป็น 135-140 เหรียญ คาดครึ่งปีแรกมีตัวเลขส่งออกเกือบ 6หมื่นล้าน
นายนิยม จุฬาเสรีกุล นายกสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย เผยถึงการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและหัวมันสดของไทยไปยังต่างประเทศในปี 2552 ว่ามีทิศทางสดใสอีกครั้ง หลังจากกลางปี 2551 ตลาดหลักอย่างประเทศจีน อเมริกาและยุโรปตะวันออก ที่เคยมีคำสั่งซื้อหัวมันสดและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากไทยในแต่ละปีมูลค่ามหาศาลได้ชะลอคำสั่งซื้อ จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกและราคาน้ำมันที่ดิ่งค่าลง จนทำให้ความต้องการใช้เอทานอลลดตามไปด้วยเนื่องจากผู้ใช้รถยนต์ทั่วโลกหันมาใช้น้ำมันแทนพลังงานทดแทน
นับจากต้นปี 2552 เป็นต้นมาราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ดีดตัวขึ้นอีกครั้ง จนทำให้ประเทศคู่ค้าสำคัญต้องหันมาสต๊อกวัตถุดิบสำหรับใช้ในการผลิตเอทานอล เพื่อเตรียมผลิตน้ำมันไบโอดีเซลป้อนตลาด โดยในวันนี้ผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรของไทยกำลังเป็นที่ต้องการในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหัวมันสด ข้าวและข้าวโพด ซึ่งราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและหัวมันสดขณะนี้อยู่ที่ราคาตันละ 135-140 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าในช่วงก่อนที่จำหน่ายอยู่ที่ 115-120 เหรียญต่อตัน
“การที่เราสามารถกำหนดราคาขายได้สูงขนาดนี้ ต้องให้เครดิตท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ รมต.พาณิชย์ ที่ตัดสินใจใช้ภาษีเข้าแทรกแซงราคาผลผลิตทางการเกษตรทุกชนิด ซึ่งก็ทำให้ผู้ส่งออกไม่ตัดสินใจขายในราคาเดิมในช่วงก่อนหน้านี้ แต่อดทนรอจนราคาตีกลับมาอยู่ในระดับที่เราได้เปรียบอีกครั้ง ซึ่งก็คาดว่าในช่วงครึ่งปี 2552 นี้ไทยจะมีมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรประมาณ 6 หมื่นล้านบาท และเป็นมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังประมาณ 5.5-5.8 หมื่นล้านบาท ”
นายนิยม ยังเผยอีกว่าแม้ราคาและสถานการณ์การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในช่วงครึ่งปีแรก และตลอดทั้งปี 2552 จะมีแนวโน้มสดใส แต่ปัจจัยการแข็งตัวของค่าเงินบาทก็อาจทำให้การส่งออกดังกล่าวต้องขาดทุนกำไรประมาณ 5-8 พันล้านบาท ทั้งนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประการคือการไม่ให้ความสำคัญในการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเพื่อใช้เองภายในประเทศของรัฐบาล แต่กลับสนับสนุนให้มีการนำเข้าน้ำมันดิบ ทั้งที่ไทยเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบสำหรับใช้ในการผลิตเอทานอล จึงอยากฝากไปยังรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่จะต้องให้ความสำคัญกับการผลิตพลังงานทดแทนเพื่อใช้เองในประเทศให้มากยิ่งขึ้น
นายนิยม จุฬาเสรีกุล นายกสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย เผยถึงการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและหัวมันสดของไทยไปยังต่างประเทศในปี 2552 ว่ามีทิศทางสดใสอีกครั้ง หลังจากกลางปี 2551 ตลาดหลักอย่างประเทศจีน อเมริกาและยุโรปตะวันออก ที่เคยมีคำสั่งซื้อหัวมันสดและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากไทยในแต่ละปีมูลค่ามหาศาลได้ชะลอคำสั่งซื้อ จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกและราคาน้ำมันที่ดิ่งค่าลง จนทำให้ความต้องการใช้เอทานอลลดตามไปด้วยเนื่องจากผู้ใช้รถยนต์ทั่วโลกหันมาใช้น้ำมันแทนพลังงานทดแทน
นับจากต้นปี 2552 เป็นต้นมาราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ดีดตัวขึ้นอีกครั้ง จนทำให้ประเทศคู่ค้าสำคัญต้องหันมาสต๊อกวัตถุดิบสำหรับใช้ในการผลิตเอทานอล เพื่อเตรียมผลิตน้ำมันไบโอดีเซลป้อนตลาด โดยในวันนี้ผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรของไทยกำลังเป็นที่ต้องการในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหัวมันสด ข้าวและข้าวโพด ซึ่งราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและหัวมันสดขณะนี้อยู่ที่ราคาตันละ 135-140 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าในช่วงก่อนที่จำหน่ายอยู่ที่ 115-120 เหรียญต่อตัน
“การที่เราสามารถกำหนดราคาขายได้สูงขนาดนี้ ต้องให้เครดิตท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ รมต.พาณิชย์ ที่ตัดสินใจใช้ภาษีเข้าแทรกแซงราคาผลผลิตทางการเกษตรทุกชนิด ซึ่งก็ทำให้ผู้ส่งออกไม่ตัดสินใจขายในราคาเดิมในช่วงก่อนหน้านี้ แต่อดทนรอจนราคาตีกลับมาอยู่ในระดับที่เราได้เปรียบอีกครั้ง ซึ่งก็คาดว่าในช่วงครึ่งปี 2552 นี้ไทยจะมีมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรประมาณ 6 หมื่นล้านบาท และเป็นมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังประมาณ 5.5-5.8 หมื่นล้านบาท ”
นายนิยม ยังเผยอีกว่าแม้ราคาและสถานการณ์การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในช่วงครึ่งปีแรก และตลอดทั้งปี 2552 จะมีแนวโน้มสดใส แต่ปัจจัยการแข็งตัวของค่าเงินบาทก็อาจทำให้การส่งออกดังกล่าวต้องขาดทุนกำไรประมาณ 5-8 พันล้านบาท ทั้งนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประการคือการไม่ให้ความสำคัญในการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเพื่อใช้เองภายในประเทศของรัฐบาล แต่กลับสนับสนุนให้มีการนำเข้าน้ำมันดิบ ทั้งที่ไทยเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบสำหรับใช้ในการผลิตเอทานอล จึงอยากฝากไปยังรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่จะต้องให้ความสำคัญกับการผลิตพลังงานทดแทนเพื่อใช้เองในประเทศให้มากยิ่งขึ้น