xs
xsm
sm
md
lg

ส่งออกมี.ค.ติดลบ23.1% "เจ๊วา"คืนภาษีมุมน้ำเงิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไทยในเดือนมี.ค.มีมูลค่า 11,555.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 23.1% เป็นการลดลงต่อเนื่องจากเดือนม.ค.และก.พ.ที่ส่งออกลดลง 26.5% และ 11.3% ตามลำดับ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 9,454.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 35.1% โดยในเดือนนี้ได้ดุลการค้า 2,100.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนการส่งออกในช่วง 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.) มีมูลค่า 33,787.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 20.55% และการนำเข้าในช่วง 3 เดือนแรก มีมูลค่ารวม 26,732.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 37.6% โดยเกินดุลการค้า 7,054.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
“การส่งออกในเดือนมี.ค. และยอดรวม 3 เดือนแรก เป็นไปตามที่ประเมินเอาไว้ว่า จะยังคงขยายตัวติดลบ แต่ก็ยังดีกว่าหลายๆประเทศ ส่วนจะมีการปรับเป้าหมายการส่งออกในปีนี้หรือไม่ จะต้องหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน โดยจะมีการพิจารณาหลังจากนี้” นายศิริพลกล่าว
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า การส่งออกในเดือนมี.ค. สินค้าส่งออกลดลงในทุกหมวด โดยสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ลดลง 20.6% เช่น ข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป แต่ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป และน้ำตาล ส่งออกได้เพิ่มขึ้น
สินค้าอุตสาหกรรม ลดลง 21.6% สินค้าสำคัญที่ลดลง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และส่วนประกอบ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์ เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง เลนส์ เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว นาฬิกา และส่วนประกอบ เครื่องกีฬาและเครื่องเล่นเกมส์ และของเล่น โดยวัสดุก่อสร้าง อัญมณี และเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์เภสัช และเครื่องมือแพทย์ และอาหารสัตว์เลี้ยง ส่งออกได้เพิ่มขึ้น
ขณะที่ตลาดส่งออก ตลาดหลักลดลง 33.3% โดยอาเซียน สหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ลดลง 35.5% 37.8% 30.1% และ 28.4% ตามลำดับ ตลาดใหม่ ลดลง 12.2% โดยฮ่องกง ลดลง 28.3% ไต้หวัน ลดลง 36.5% เกาหลีใต้ ลดลง 16.7% ออสเตรเลีย ลดลง 1.4% แคนาดา ลดลง 14.6% อินโดจีน ลดลง 19.4% ลาตินอเมริกา ลดลง 46.1% ยุโรปตะวันออก ลดลง 20% อินเดีย ลดลง 9.8% จีน ลดลง 14% โดยมีแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้น 17.6% 3.3% และ 0.8%
นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า พิจารณามาตรการเร่งด่วน เพื่อกระตุ้นการส่งออกตั้งแต่ไตรมาสสองไปจนถึงสิ้นปี โดยจะขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้ภาษีมุมน้ำเงินคืน 3-5% ให้กับผู้ส่งออก ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ และ 2 % สำหรับผู้ส่งออกในกลุ่มที่เหลือ
เหตุผลที่ต้องให้ภาษีมุมน้ำเงินคืน 3-5% ให้กับผู้ส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบนั้น เนื่องจากทั้ง 3 กลุ่มนี้ มียอดการส่งออกคิดเป็น 40% ของการส่งออกรวมของประเทศ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือการส่งออกจะติดลบสูงถึง 30% และกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและแรงงานภายในประเทศ ส่วนผู้ส่งออกที่เหลือ มียอดส่งออกคิดเป็น 60% ของการส่งออกรวม หากไม่ช่วยเหลือ จะทำให้ยอดส่งออกรวมลดลง 5%
"ถ้าไม่ช่วยเหลือผู้ส่งออกด้วยการให้ยาแรง หรือใช้มาตรการเข้มข้นอย่างที่เสนอไป ตัวเลขการส่งออกปีนี้ อาจจะติดลบสูงถึง 15% แต่ถ้ามีมาตรการให้ภาษีมุมน้ำเงินคืน จะทำให้ยอดส่งออกกลับมาขยายตัว 0-1% บวกกับมาตรการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการอยู่ จะทำให้การส่งออกปีนี้กลับมาขยายตัวได้ตามเป้าหมาย คือ 0-3%" นางพรทิวากล่าว
ทั้งนี้ การให้ภาษีมุมน้ำเงินคืนให้กับผู้ส่งออกนั้น จะช่วยผู้ส่งออกลดต้นทุนได้มาก โดยในส่วนของ 3 กลุ่มแรก จะให้ภาษีมุมน้ำเงินคืนประมาณ 5-8 หมื่นล้านบาท แต่จะทำให้ส่งออกเพิ่มขึ้น 6 แสนล้านบาท ส่วนผู้ส่งออกที่เหลือ จะให้ภาษีมุมน้ำเงินคืน ประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดส่งออกโดยรวมเพิ่มขึ้น 3.6 แสนล้านบาท หรือทำให้ส่งออกโดยรวมเพิ่มขึ้น 9.6 แสนล้านบาท
สำหรับภาษีมุมน้ำเงิน เป็นการจ่ายเงินชดเชยค่าภาษีอากร สำหรับสินค้าส่งออก ที่ผลิตในราชอาณาจักร ให้แก่ผู้ส่งออก เพื่อเป็นมาตรการส่งเสริมการส่งออก และช่วยเหลือด้านต้นทุนให้กับผู้ส่งออกของไทย ซึ่งได้มีการหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยแล้ว โดยภาคเอกชนได้แสดงความเห็นด้วย แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า กระทรวงการคลังซึ่งเป็นหน่วยงานหลักจะมีความเห็นอย่างไร
หวั่นส่งออกมันไทย วูบกว่า2หมื่นล.จีน-สหรัฐฯต้องการใช้เอทานอลลด
หวั่นส่งออกมันไทย วูบกว่า2หมื่นล.จีน-สหรัฐฯต้องการใช้เอทานอลลด
ศูนย์ข่าวศรีราชา -นายกสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย ระบุการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับมันสำปะหลังรวมถึงหัวมันสดปี 2552 จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก จนมีผลให้ความต้องการใช้เอทานอลในตลาดหลักอย่างจีนและอเมริกาลดลง ขณะที่ความสามารถในการผลิตธัญพืชที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ของจีน และประเทศแถบยุโรปตะวันออกกลับเพิ่มสูงขึ้นจนล้นตลาด คาดมูลค่าส่งออกปี52จะลดลงกว่า 50% ของมูลค่าส่งออกในปี 2551 ที่มีมากถึง 5 หมื่นล้านบาท จี้รัฐเร่งหาทางช่วยเกษตรกรในหลายพื้นที่ที่ขยายพื้นที่ปลูกมันฯ ไปก่อนหน้า
กำลังโหลดความคิดเห็น