ASTVผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์”เตรียมแผน 2 หากครม.ไม่ให้ยาแรงกระตุ้นส่งออกด้วยการคืนภาษีมุมน้ำเงิน เสนอตั้งวงเงินช่วยเสริมสภาพคล่องให้ส่งออก คิดดอกเบี้ย 3% พร้อมขอเงินจัดกิจกรรมกระตุ้นส่งออกด้วย “ราเชนทร์”คาดไตรมาส 2 ส่งออกเริ่มกระเตื้อง หลังคู่ค้าออกมาย้ำเศรษฐกิจพ้นจุดต่ำสุดแล้ว
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ โดยนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ได้เตรียมเสนอเรื่องการคืนภาษีมุมน้ำเงินให้กับผู้ส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และยานยนต์ 3-5% และอุตสาหกรรมที่เหลือ 2% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคการส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นยาแรงในการผลักดันการส่งออก ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ การคืนภาษีมุมน้ำเงิน จะช่วยผลักดันการส่งออกให้เพิ่มขึ้นได้สูงถึง 9.6 แสนล้านบาท และทำให้การส่งออกในปีนี้ขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีก 0-1% และรวมกับมาตรการที่ได้มีการดำเนินการอยู่แล้ว จะทำให้การส่งออกรวมทั้งปีกลับมาขยายตัวเป็นบวกหรือติดลบน้อยที่สุด แต่ถ้าไม่มีการกระตุ้นหรือช่วยเหลือผู้ส่งออกด้วยมาตรการเข้มข้น การส่งออกทั้งปีอาจจะติดลบสูงถึง 15% ก็ได้
อย่างไรก็ตาม หากมาตรการเข้มข้นดังกล่าว ไม่ผ่านการพิจารณาหรือไม่ได้รับการตอบรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมฯ จะเสนอแผน 2 ให้รัฐบาลพิจารณา โดยจะใช้หลักการเดียวกันกับที่รัฐบาลได้ช่วยเหลืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเสนอให้รัฐบาลตั้งวงเงินช่วยเหลือภาคการส่งออก และปล่อยกู้เสริมสภาพคล่องให้กับภาคส่งออก และคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3% เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ส่งออก ขณะเดียวกัน จะขอให้รัฐบาลเพิ่มเงินช่วยเหลือในการจัดกิจกรรมสนับสนุนการส่งออกเป็นกรณีพิเศษด้วย
“ภาคส่งออกก็สำคัญ ถ้าไม่ช่วยจะมีปัญหาตามมาอีกมาก เพราะหากโรงงานผลิตแล้วส่งออกไม่ได้ จะมีปัญหาต่อการจ้างงาน คนตกงานตามมา แต่ถ้าช่วย ก็จะประคองตรงนี้ได้ รัฐบาลไม่ต้องไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ต้องแก้ปัญหาคนตกงาน ไม่ต้องฝึกอบรมคนตกงาน โดยเงินที่จะใช้รัฐบาลก็ใส่เงินไว้ในสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งน่าจะเป็นหลักหมื่นล้านบาท แล้วให้ใช้ดูแลภาคการส่งออกเหมือนที่ดูแลการท่องเที่ยว เพราะสิ่งที่ทำ ก็เหมือนการขอสิทธิให้รัฐบาลช่วยกระตุ้นภาคการส่งออกบ้าง”นายราเชนทร์กล่าว
นายราเชนทร์กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการส่งออกในไตรมาส 2 คาดว่าจะดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก และน่าจะขยายตัวติดลบน้อยลง เพราะขณะนี้หลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน ได้ออกมายืนยันแล้วว่าเศรษฐกิจได้ถึงจุดต่ำสุด และกำลังจะดีขึ้น ยกเว้นเพียงประเทศในแถบยุโรป โดยเฉพาะยุโรปตะวันออก ที่ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งผลจากการที่เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ดีขึ้น ทำให้ไทยมีโอกาสส่งออกได้มากขึ้น
“เท่าที่คุยกับผู้ส่งออกกลุ่มสินค้าต่างๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการส่งออกเริ่มดีขึ้นแล้ว ตอนนี้คำสั่งซื้อเริ่มเข้ามา โดยไตรมาสที่ 4 น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ แล้วสินค้าที่มีปัญหาอย่างอิเล็กทรอนิกส์ ก็เริ่มดีขึ้น ยกเว้นยานยนต์ที่ยอมรับว่ายังมีปัญหาอยู่ โดยหลายๆ ประเทศที่ชะลอการนำเข้า ตอนนี้เริ่มกลับมานำเข้าแล้ว
หลังจากที่สต๊อกเริ่มลดน้อยลง”นายราเชนทร์กล่าว
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ โดยนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ได้เตรียมเสนอเรื่องการคืนภาษีมุมน้ำเงินให้กับผู้ส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และยานยนต์ 3-5% และอุตสาหกรรมที่เหลือ 2% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคการส่งออกของไทย ซึ่งถือเป็นยาแรงในการผลักดันการส่งออก ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ การคืนภาษีมุมน้ำเงิน จะช่วยผลักดันการส่งออกให้เพิ่มขึ้นได้สูงถึง 9.6 แสนล้านบาท และทำให้การส่งออกในปีนี้ขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีก 0-1% และรวมกับมาตรการที่ได้มีการดำเนินการอยู่แล้ว จะทำให้การส่งออกรวมทั้งปีกลับมาขยายตัวเป็นบวกหรือติดลบน้อยที่สุด แต่ถ้าไม่มีการกระตุ้นหรือช่วยเหลือผู้ส่งออกด้วยมาตรการเข้มข้น การส่งออกทั้งปีอาจจะติดลบสูงถึง 15% ก็ได้
อย่างไรก็ตาม หากมาตรการเข้มข้นดังกล่าว ไม่ผ่านการพิจารณาหรือไม่ได้รับการตอบรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมฯ จะเสนอแผน 2 ให้รัฐบาลพิจารณา โดยจะใช้หลักการเดียวกันกับที่รัฐบาลได้ช่วยเหลืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเสนอให้รัฐบาลตั้งวงเงินช่วยเหลือภาคการส่งออก และปล่อยกู้เสริมสภาพคล่องให้กับภาคส่งออก และคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3% เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ส่งออก ขณะเดียวกัน จะขอให้รัฐบาลเพิ่มเงินช่วยเหลือในการจัดกิจกรรมสนับสนุนการส่งออกเป็นกรณีพิเศษด้วย
“ภาคส่งออกก็สำคัญ ถ้าไม่ช่วยจะมีปัญหาตามมาอีกมาก เพราะหากโรงงานผลิตแล้วส่งออกไม่ได้ จะมีปัญหาต่อการจ้างงาน คนตกงานตามมา แต่ถ้าช่วย ก็จะประคองตรงนี้ได้ รัฐบาลไม่ต้องไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ต้องแก้ปัญหาคนตกงาน ไม่ต้องฝึกอบรมคนตกงาน โดยเงินที่จะใช้รัฐบาลก็ใส่เงินไว้ในสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งน่าจะเป็นหลักหมื่นล้านบาท แล้วให้ใช้ดูแลภาคการส่งออกเหมือนที่ดูแลการท่องเที่ยว เพราะสิ่งที่ทำ ก็เหมือนการขอสิทธิให้รัฐบาลช่วยกระตุ้นภาคการส่งออกบ้าง”นายราเชนทร์กล่าว
นายราเชนทร์กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการส่งออกในไตรมาส 2 คาดว่าจะดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก และน่าจะขยายตัวติดลบน้อยลง เพราะขณะนี้หลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน ได้ออกมายืนยันแล้วว่าเศรษฐกิจได้ถึงจุดต่ำสุด และกำลังจะดีขึ้น ยกเว้นเพียงประเทศในแถบยุโรป โดยเฉพาะยุโรปตะวันออก ที่ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งผลจากการที่เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ดีขึ้น ทำให้ไทยมีโอกาสส่งออกได้มากขึ้น
“เท่าที่คุยกับผู้ส่งออกกลุ่มสินค้าต่างๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการส่งออกเริ่มดีขึ้นแล้ว ตอนนี้คำสั่งซื้อเริ่มเข้ามา โดยไตรมาสที่ 4 น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ แล้วสินค้าที่มีปัญหาอย่างอิเล็กทรอนิกส์ ก็เริ่มดีขึ้น ยกเว้นยานยนต์ที่ยอมรับว่ายังมีปัญหาอยู่ โดยหลายๆ ประเทศที่ชะลอการนำเข้า ตอนนี้เริ่มกลับมานำเข้าแล้ว
หลังจากที่สต๊อกเริ่มลดน้อยลง”นายราเชนทร์กล่าว
