จำการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเมื่อเกือบปีที่ผ่านมาได้ไหม พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านมืออาชีพหยิบประเด็นแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ไปรับรองการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารต่อคณะกรรมการมรดกโลก ยูเนสโก ซึ่งเป็นประเด็นร้อนอย่างยิ่งในขณะนั้น มาขึงพืดถล่มรัฐบาลเสียยับเยิน โดยผู้อภิปรายที่ชี้แจงแสดงเหตุได้เนื้อได้หนังมากที่สุดก็คือตัวผู้นำฝ่ายค้าน
นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ !
วันนี้ อดีตตามกลับมาหลอกหลอนแล้ว เมื่อประเด็นร้อนเดิมกลับมาร้อนอีกครั้ง และจะยังร้อนต่อไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่กัมพูชาจะต้องยื่นแผนสุดท้ายต่อคณะกรรมการมรดกโลก เพื่อให้ความเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารสมบูรณ์ หลังจากเลือกมาจากเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม 2552
นายกฯอภิสิทธิ์ที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดคนหนึ่งจะทำอย่างไรไม่ให้ไทย “เสียดินแดนในทางปฏิบัติ” ครั้งใหม่ ?
ผมเคยเขียนมาครั้งหนึ่งแล้วว่านี่คือการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยใช้ “วัฒนธรรม” เป็นข้ออ้าง
ครั้งนั้น ผมวาดภาพรวมให้เห็นว่ากรณีปราสาทพระวิหารนี้ ประเทศไทยไม่ได้เสียดินแดนเพียงครั้งเดียวในปี 2505 จากคำพิพากษาของศาลโลกตามที่คนไทยโดยทั่วไปเข้าใจ ทว่าในรอบ 46 ปีมานี้ (หรือนับจนถึงวันนี้ก็ 47 ปี) ประเทศไทยไทยเสียดินแดนมารวมทั้งหมด 4 ครั้ง และถ้าคนไทยยังนิ่งนอนใจ ไม่ตระหนักในมหันตภัยของ “ลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่ – ล่าสุด” ที่ใช้ “วัฒนธรรม” เป็นข้ออ้าง ประเทศไทยจะเสียดินแดนเป็นครั้งที่ 5 ภายใน 2 ปีนับจากนี้ (ซึ่งเมื่อมาถึงวันนี้ก็เหลืออีกเพียง 1 ปี)
อันจะนำไปสู่การเสียดินแดนชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งบนบกและในทะเลต่อเนื่องไปอีกหลายครั้งในอนาคต !
วันนั้น เมื่อ 1 ปีที่แล้ว คำว่า “เสียดินแดนครั้งที่ 5” ในความหมายของผมยังคงอยู่แค่สิ่งที่กัมพูชาและคนไทยจำนวนมากเรียกว่า “พื้นที่ทับซ้อน” จำนวน 4.6 ตารางกิโลเมตร เท่านั้น
แต่วันนี้สถานการณ์ไปไกลกว่านั้น
ในนามของการ “บอก” (หรือ “หลอก” ?) คนไทยทั่ว ๆ ไปว่า เรากำลังจะได้ประโยชน์ โดยการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกับกัมพูชา ซึ่งแท้จริงแล้วคือการนำเอาพื้นที่ทั้ง 4.6 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่อื่นที่เป็นอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยรอบเข้าไปผนวกกับปราสาทพระวิหาร
ตัวเลขกลม ๆ คือมากกว่า 1 ล้านไร่ !
โครงการพัฒนาพื้นที่ในอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ แล้ว ทั้ง ๆ ที่โดยคำสั่งศาลปกครองและคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาไร้ผล และให้หยุดดำเนินการทุกเรื่องเกี่ยวกับกรณีนี้ แต่ก็พยายามเลี่ยงบาลีกระทำกัน
ถ้าเราเอาพื้นที่กว่า 1 ล้านไร่ไปผนวกกับปราสาทพระวิหารมรดกโลก หลายคนอาจคิดตื้น ๆ ว่าไทยได้ประโยชน์
จริงอยู่ อธิปไตยในทางทฤษฎียังคงเป็นของไทย แต่การจัดการในพื้นที่เป็นของคณะกรรมการร่วม 7 ชาติ ไทยเป็นเสียงเดียวในนั้น ยังมิพักต้องพูดถึงปัญหานานัปการที่จะตามมาอีกมากบริเวณชายแดน
ความจริงโดยหลักการของคณะกรรมการมรดกโลก ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยกัมพูชาประเทศเดียวไม่ได้อยู่แล้ว
ประการหนึ่ง – ยังมีปัญหาข้อพิพาทชายแดนอยู่กับไทย มีการสู้รบ สูญเสีย
ประการหนึ่ง – มีแต่ตัวปราสาท ไม่มีอาณาบริเวณโดยรอบ
ถ้าไม่มีการตอบสนองยอมรับจากไทย คณะกรรมการมรดกโลกก็สุดจะ “ดันทุรัง” ขึ้นทะเบียนให้กัมพูชา
จึงเป็นที่มาของแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาในยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช
แต่ก็ถูกต่อต้านโจมตีอย่างหนักจากภาคประชาสังคม และพรรคประชาธิปัตย์ “รับลูก” เข้าไปเปิดโปงโจมตีรัฐบาลในสภา
มาวันนี้ คนไทยไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วนทั้งหมด แต่ได้รับข้อมูลครึ่ง ๆ กลาง ๆ จากนายสุวิทย์ คุณกิตติว่าไทยกำลังจะได้ประโยชน์ร่วม โดยได้ขึ้นทะเบียนร่วม เหมือนเราพลิกฟื้นกลับมาทำคะแนนในยก 2 ยก 3 ได้ดี หลังจากถูกถลุงในยก 1
คำว่า “ข้อมูลครึ่ง ๆ กลาง ๆ” เป็นคำสุภาพครับ !
ต้องเข้าใจว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมแบบนี้ คือการเอาดินแดนกว่า 1 ล้านไร่ไปผนวกกับปราสาทพระวิหารมรดกโลกที่คณะกรรมการมรดกโลกระบุชื่อ “กัมพูชา” (ไม่ใช่ “ไทย-กัมพูชา”) และการยอมรับการจัดการร่วมของคณะกรรมการ 7 ชาติ
ผมไม่ได้คัดค้านการที่ไทยกับกัมพูชาจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกัน
แต่จะต้องให้จบขั้นตอนการขอขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวของกัมพูชาไปก่อน
ให้เขาทำไม่สำเร็จไปก่อน
แล้วค่อยกลับมายื่นขอขึ้นทะเบียนร่วมกันหลังจากปักปันเขตแดนให้ชัดเจนแล้ว !
ไม่ใช่อ้างแบบมั่ว ๆ ในลักษณะให้ข้อมูลครึ่ง ๆ กลาง ๆ กับคนไทย
นายกฯอภิสิทธิ์เคยรู้เรื่องดีอย่างทะลุปรุโปร่งเมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้าน วันนี้มาเป็นประมุขฝ่ายบริหาร อย่าปล่อยให้รัฐมนตรีที่อาจจะไม่เข้าใจปัญหาลึกซึ้งออกมาให้ข้อมูลที่อาจทำให้สังคมสับสนเลย
เวลายังเหลืออีก 8 เดือนที่การขึ้นทะเบียนของกัมพูชาจะสมบูรณ์หากไทยไปร่วมมือ
คิดให้ดี
และอย่าคิดคนเดียว ต้องบอกสภาและบอกคนไทยทั้งหมดด้วยว่าความจริงทั้งหมดคืออะไร
เราเสียตัวปราสาทพระวิหารโดย “ศาลโลก” เมื่อปี 2505 ถ้าเรายอมรับอธิปไตยในทางปฏิบัติของคณะกรรมการร่วม 7 ชาติบนพื้นที่กว่า 1 ล้านไร่ จะเสมือเป็นการยอมรับต่อ “ยูเนสโก” กลาย ๆ ว่าดินแดนเหล่านี้ไม่ได้เป็นของเราโดยสมบูรณ์
จะมีผลเป็นว่าเรายอมรับแผนที่ของฝรั่งเศสที่เราปฏิเสธมาตลอด
ซึ่งจะหมายถึงการเสียเกาะกูด และพื้นที่แหล่งพลังงานในอ่าวไทยไปอีกในอนาคต
*บทความนี้จะตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ ฉบับวันจันทร์ที่ 6 กรกฏาคม
นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ !
วันนี้ อดีตตามกลับมาหลอกหลอนแล้ว เมื่อประเด็นร้อนเดิมกลับมาร้อนอีกครั้ง และจะยังร้อนต่อไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่กัมพูชาจะต้องยื่นแผนสุดท้ายต่อคณะกรรมการมรดกโลก เพื่อให้ความเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารสมบูรณ์ หลังจากเลือกมาจากเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม 2552
นายกฯอภิสิทธิ์ที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดคนหนึ่งจะทำอย่างไรไม่ให้ไทย “เสียดินแดนในทางปฏิบัติ” ครั้งใหม่ ?
ผมเคยเขียนมาครั้งหนึ่งแล้วว่านี่คือการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยใช้ “วัฒนธรรม” เป็นข้ออ้าง
ครั้งนั้น ผมวาดภาพรวมให้เห็นว่ากรณีปราสาทพระวิหารนี้ ประเทศไทยไม่ได้เสียดินแดนเพียงครั้งเดียวในปี 2505 จากคำพิพากษาของศาลโลกตามที่คนไทยโดยทั่วไปเข้าใจ ทว่าในรอบ 46 ปีมานี้ (หรือนับจนถึงวันนี้ก็ 47 ปี) ประเทศไทยไทยเสียดินแดนมารวมทั้งหมด 4 ครั้ง และถ้าคนไทยยังนิ่งนอนใจ ไม่ตระหนักในมหันตภัยของ “ลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่ – ล่าสุด” ที่ใช้ “วัฒนธรรม” เป็นข้ออ้าง ประเทศไทยจะเสียดินแดนเป็นครั้งที่ 5 ภายใน 2 ปีนับจากนี้ (ซึ่งเมื่อมาถึงวันนี้ก็เหลืออีกเพียง 1 ปี)
อันจะนำไปสู่การเสียดินแดนชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งบนบกและในทะเลต่อเนื่องไปอีกหลายครั้งในอนาคต !
วันนั้น เมื่อ 1 ปีที่แล้ว คำว่า “เสียดินแดนครั้งที่ 5” ในความหมายของผมยังคงอยู่แค่สิ่งที่กัมพูชาและคนไทยจำนวนมากเรียกว่า “พื้นที่ทับซ้อน” จำนวน 4.6 ตารางกิโลเมตร เท่านั้น
แต่วันนี้สถานการณ์ไปไกลกว่านั้น
ในนามของการ “บอก” (หรือ “หลอก” ?) คนไทยทั่ว ๆ ไปว่า เรากำลังจะได้ประโยชน์ โดยการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกับกัมพูชา ซึ่งแท้จริงแล้วคือการนำเอาพื้นที่ทั้ง 4.6 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่อื่นที่เป็นอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยรอบเข้าไปผนวกกับปราสาทพระวิหาร
ตัวเลขกลม ๆ คือมากกว่า 1 ล้านไร่ !
โครงการพัฒนาพื้นที่ในอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ แล้ว ทั้ง ๆ ที่โดยคำสั่งศาลปกครองและคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาไร้ผล และให้หยุดดำเนินการทุกเรื่องเกี่ยวกับกรณีนี้ แต่ก็พยายามเลี่ยงบาลีกระทำกัน
ถ้าเราเอาพื้นที่กว่า 1 ล้านไร่ไปผนวกกับปราสาทพระวิหารมรดกโลก หลายคนอาจคิดตื้น ๆ ว่าไทยได้ประโยชน์
จริงอยู่ อธิปไตยในทางทฤษฎียังคงเป็นของไทย แต่การจัดการในพื้นที่เป็นของคณะกรรมการร่วม 7 ชาติ ไทยเป็นเสียงเดียวในนั้น ยังมิพักต้องพูดถึงปัญหานานัปการที่จะตามมาอีกมากบริเวณชายแดน
ความจริงโดยหลักการของคณะกรรมการมรดกโลก ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยกัมพูชาประเทศเดียวไม่ได้อยู่แล้ว
ประการหนึ่ง – ยังมีปัญหาข้อพิพาทชายแดนอยู่กับไทย มีการสู้รบ สูญเสีย
ประการหนึ่ง – มีแต่ตัวปราสาท ไม่มีอาณาบริเวณโดยรอบ
ถ้าไม่มีการตอบสนองยอมรับจากไทย คณะกรรมการมรดกโลกก็สุดจะ “ดันทุรัง” ขึ้นทะเบียนให้กัมพูชา
จึงเป็นที่มาของแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาในยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช
แต่ก็ถูกต่อต้านโจมตีอย่างหนักจากภาคประชาสังคม และพรรคประชาธิปัตย์ “รับลูก” เข้าไปเปิดโปงโจมตีรัฐบาลในสภา
มาวันนี้ คนไทยไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วนทั้งหมด แต่ได้รับข้อมูลครึ่ง ๆ กลาง ๆ จากนายสุวิทย์ คุณกิตติว่าไทยกำลังจะได้ประโยชน์ร่วม โดยได้ขึ้นทะเบียนร่วม เหมือนเราพลิกฟื้นกลับมาทำคะแนนในยก 2 ยก 3 ได้ดี หลังจากถูกถลุงในยก 1
คำว่า “ข้อมูลครึ่ง ๆ กลาง ๆ” เป็นคำสุภาพครับ !
ต้องเข้าใจว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมแบบนี้ คือการเอาดินแดนกว่า 1 ล้านไร่ไปผนวกกับปราสาทพระวิหารมรดกโลกที่คณะกรรมการมรดกโลกระบุชื่อ “กัมพูชา” (ไม่ใช่ “ไทย-กัมพูชา”) และการยอมรับการจัดการร่วมของคณะกรรมการ 7 ชาติ
ผมไม่ได้คัดค้านการที่ไทยกับกัมพูชาจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกัน
แต่จะต้องให้จบขั้นตอนการขอขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวของกัมพูชาไปก่อน
ให้เขาทำไม่สำเร็จไปก่อน
แล้วค่อยกลับมายื่นขอขึ้นทะเบียนร่วมกันหลังจากปักปันเขตแดนให้ชัดเจนแล้ว !
ไม่ใช่อ้างแบบมั่ว ๆ ในลักษณะให้ข้อมูลครึ่ง ๆ กลาง ๆ กับคนไทย
นายกฯอภิสิทธิ์เคยรู้เรื่องดีอย่างทะลุปรุโปร่งเมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้าน วันนี้มาเป็นประมุขฝ่ายบริหาร อย่าปล่อยให้รัฐมนตรีที่อาจจะไม่เข้าใจปัญหาลึกซึ้งออกมาให้ข้อมูลที่อาจทำให้สังคมสับสนเลย
เวลายังเหลืออีก 8 เดือนที่การขึ้นทะเบียนของกัมพูชาจะสมบูรณ์หากไทยไปร่วมมือ
คิดให้ดี
และอย่าคิดคนเดียว ต้องบอกสภาและบอกคนไทยทั้งหมดด้วยว่าความจริงทั้งหมดคืออะไร
เราเสียตัวปราสาทพระวิหารโดย “ศาลโลก” เมื่อปี 2505 ถ้าเรายอมรับอธิปไตยในทางปฏิบัติของคณะกรรมการร่วม 7 ชาติบนพื้นที่กว่า 1 ล้านไร่ จะเสมือเป็นการยอมรับต่อ “ยูเนสโก” กลาย ๆ ว่าดินแดนเหล่านี้ไม่ได้เป็นของเราโดยสมบูรณ์
จะมีผลเป็นว่าเรายอมรับแผนที่ของฝรั่งเศสที่เราปฏิเสธมาตลอด
ซึ่งจะหมายถึงการเสียเกาะกูด และพื้นที่แหล่งพลังงานในอ่าวไทยไปอีกในอนาคต
*บทความนี้จะตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ ฉบับวันจันทร์ที่ 6 กรกฏาคม