“ผ่าประเด็นร้อน”
ในวันที่ 19 กันยายนที่จะถึงนี้ มีการชุมนุมใหญ่อยู่สองรายการ แต่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กลุ่มแรกมาในนาม“คนเสื้อแดง” มาต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ ทรัพย์สินเงินทอง และอำนาจให้กับคนเพียงคนเดียวคือ ทักษิณ ชินวัตร
ขณะที่กลุ่มหลังเป็นกลุ่มคนไทยทุกสาขาอาชีพจากทั่วประเทศที่มีจิตใจรักชาติและหวงแหนอธิปไตยของชาติ ไม่ยอมให้สูญเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว กำลังนัดเคลื่อนไหวใหญ่ในวันดังกล่าว เพื่อทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหาร กินเนื้อที่กว่า 3,000 ไร่ ให้กลับคืนมาเป็นของคนไทย
ไม่ยอมให้กัมพูชาใช้วิธีรุกคืบตีหน้ามึนเข้ามาครอบครอง เข้ามาตั้งชุมชน สร้างวัดบังหน้า สร้างถนนเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวหน้าตาเฉย
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลกลับปล่อยปละละเลยไม่ยอมผลักดันออกไป อ้างเหตุผลเพียงอย่างเดียวคือ จะทำลายบรรยากาศความสัมพันธ์ และการเจรจาทั้งสองฝ่ายที่กำลังดำเนินอยู่อย่างราบรื่น
ฝ่ายรัฐบาลไล่เรียงลงมาตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็พูดในทำนองเดียวกันหมด คือจะเดินหน้าเจรจา สร้างความสัมพันธ์อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
แต่ที่หนักข้อที่สุดก็คือ คำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงได้ออกมาปราม หรือขัดขวางไม่ให้คนไทยรวมตัวเคลื่อนไหวเพื่อทวงคืนพื้นที่ดังกล่าว โดยอ้างแต่เพียงว่า จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
เห็นว่าการชุมนุมของคนไทยไม่มีประโยชน์อันใด ตรงกันข้ามยังระบุว่าจะเป็นการสุ่มเสี่ยง ทำให้เสียบรรยากาศ ควรอยู่เฉยๆ ปล่อยให้รัฐบาลไทยเจรจาไปเรื่อยๆ อย่ามายุ่งให้วุ่นวาย
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในสภาพความเป็นจริง ไม่ต้องทำความเข้าใจให้ซับซ้อนก็คือว่า พื้นที่เฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร เป็นของกัมพูชา ตามคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505 แม้ว่าเราจะยอมรับคำพิพากษา แต่เราไม่เห็นด้วยและสงวนสิทธิ์ในการทวงคืนกลับมาเป็นของไทยตลอดเวลา หากมีหลักฐานใหม่ หรือมีโอกาส
ขณะเดียวกัน ในคำตัดสินดังกล่าวศาลก็ไม่ได้ยอมรับในเรื่องของแผนที่ที่ต่างคนต่างถือคนละฉบับ
ที่ผ่านมารับรู้กันโดยทั่วไปว่า พื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร เนื้อที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ของไทยโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนอย่างที่กัมพูชาอ้าง หรือหลายคนเข้าใจ แต่เป็นเพราะรัฐบาลไทยในอดีตตั้งแต่ยุครัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ไม่สนใจ ปล่อยปละละเลย และรวมไปถึงมีนายทหารบางคนมีผลประโยชน์ในพื้นที่แถบนั้น ยอมทำตัวเป็นคน “หูหนวก ตาบอด” ปล่อยให้ฝ่ายกัมพูชาเข้ามาตั้งบ้านเรือน ชุมชน รุกพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ
ต่อมาในยุครัฐบาลนอมินี สมัคร สุนทรเวช ทุกอย่างหนักข้อเลยเถิดขึ้นไปอีก เมื่อเลิกสงวนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหาร ยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว ทำให้ทำท่าว่าฝ่ายกัมพูชา จะได้ครอบครองทั้งปราสาทและพื้นที่โดยรอบที่เป็นของไทยอย่างสมบูรณ์ แต่โชคดีอยู่บ้างที่เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนมีการตื่นตัว
แต่ก็เกิดเรื่องน่าเศร้า เมื่อมีการปะทะกันตามแนวชายแดนทำให้ทหารไทยเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ดี สิ่งที่ปรากฏตามมาก็คือความตึงเครียดดังกล่าวทำให้ชุมชนกัมพูชาในบริเวณดังกล่าวต้องอพยพออกไป และมีการตรึงกำลังทหารกันบางส่วน
จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ทุกอย่างก็ทำท่ากลับมาเหมือนเดิม เพราะมีชุมชนกลับมาเกิดขึ้นอีก และหนักข้อกว่าเดิมก็คือ มีการสร้างถนนเข้ามาในพื้นที่ในลักษณะเตรียมการปักหลักตั้งรกรากอย่างถาวรมากกว่าเดิม ซึ่งมีการยืนยันว่ากลุ่มคนกัมพูชา เริ่มกลับเข้ามาเมื่อราวเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี่เอง
แต่ฝ่ายทหารและรัฐบาลกลับวางเฉย ไม่ได้ผลักดันออกไปหรือทำการประท้วงให้เป็นเรื่องเป็นราว และที่น่าประหลาดใจก็คือ ในปัจจุบันนี้ทหารไทยไม่สามารถขึ้นไปในบริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรได้เลย
เมื่อทุกอย่างกลับมาซ้ำรอยเดิมอีก และครั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นการฮุบดินแดนไทยอย่างถาวร หากสภาพการณ์ยังเป็นอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เพราะในทางพฤตินัยเท่ากับว่าเป็นของกัมพูชา เหลือเพียงแต่ในทางกฎหมายที่จะตามมาในภายหลังเท่านั้น
ถ้าหากเปรียบเปรยให้เห็นภาพก็เหมือนกับสามีภรรยาทั้งสองฝ่ายอยู่กินกันแล้วให้เห็นมีความสัมพันธ์ทางพฤตินัย แม้ว่ายังไม่มีผลในทางกฎหมายก็ตาม แต่ก็จะตามมาในที่สุด เพราะเมื่อทอดเวลานานไปก็เท่ากับว่าเป็นการยอมรับโดยปริยายอยู่แล้ว
วิธีการที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงอ้างว่ายังสงวนสิทธิ์พื้นที่ และใช้วิธีเจรจาต่อไปเรื่อยๆ ด้วยสันติวิธี แม้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นวิธีทางการทูต เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่รับรองว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ประเทศไทยก็มีโอกาสที่จะเสียอธิปไตยเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรดังกล่าวสูงยิ่ง และยังเป็นไปได้ว่า อาจจะต้องเสียพื้นที่ทับซ้อนอื่นๆ ที่ลากลงทะเลในอ่าวไทยอีกนับล้านไร่อีกก็เป็นได้ เพราะทางฝ่ายกัมพูชาอาจจะอ้างแผนที่ที่ตัวเองถืออยู่ ซึ่งกินพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร และมีกำลังทหารมาตั้งมั่นอยู่แล้ว
เมื่อไทยไม่ยอมผลักดันออกไปก็เหมือนกับการยอมรับในกรรมสิทธิ์ของกัมพูชาไปโดยปริยาย
ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ ภาคประชาชนทุกหมู่เหล่าที่หวงแหนอธิปไตยของชาติจะต้องเคลื่อนไหวกดดันทั้งรัฐบาลไทย และส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาลกัมพูชาโดยตรงให้รับรู้ว่าคนไทยจะไม่ยอมอีกต่อไป รวมไปถึงจะไม่ยอมให้คนในรัฐบาลไทย และฝ่ายความมั่นคงของไทยบางกลุ่มหาผลประโยชน์เฉพาะตัว ตามพื้นที่ชายแดนอีกต่อไป
เพราะเมื่อภาคประชาชนตื่นแล้ว รัฐบาลก็ต้องตื่นขึ้นมาด้วย !!