"ผ่าประเด็นร้อน"
ในที่สุด นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยอมเปิดทางไฟเขียวให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 โดยให้ยึดตามกรอบของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีผลสรุปออกมาก่อนหน้านี้
ตามขั้นตอนนายกรัฐมนตรีเตรียมนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ( 8 กันยายน) เพื่อออกเป็นมติแล้วเสนอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมรัฐสภาต่อไป
แต่ในเบื้องต้นนายกรัฐมนตรี ยังออกตัวไว้เชิงเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะไม่นำเรื่องนิรโทษกรรมมาเป็นประเด็นแก้ไข
อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายมองว่านี่คือ“เกมซื้อเวลา” ของรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่กำลังเจอมรสุมรุมเร้าเข้ามาในช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม และต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี
มรสุมด่านแรกที่ต้องเจอ เริ่มตั้งแต่กรณีการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่แทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่ยังคาราคาซังมานานหลายสัปดาห์ และเกี่ยวพันไปถึงการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในกรณีปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม การชุมนุมของเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ในนามกลุ่มคนเสื้อแดง ที่จะนัดชุมนุมกันในวันที่ 19 กันยายน รำลึกวันที่ระบอบทักษิณถูกโค่นล้ม
หรือแม้กระทั่งการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. อีกเรื่องหนึ่งก็คือการรับรองแถลงการณ์ร่วม การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งมีรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลชุดปัจจุบันติดร่างแห รอการชี้มูลหลายคน ซึ่งจะทำให้มีผลสะเทือนต่อเสถียรภาพไม่น้อย
คดีทุจริตกล้ายาง คดีหวยบนดิน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะนัดตัดสินชี้ขาดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เช่นเดียวกัน และที่สำคัญทั้งสองคดีดังกล่าวมีอดีตรัฐมนตรี และระดับแกนนำสำคัญในรัฐบาลชุดปัจจุบันติดร่างแหรอลุ้นอยู่หลายคน ซึ่งนั่นหมายความว่า หากศาลตัดสินว่ามีความผิดและไม่รอลงอาญาก็ต้องติดคุก เนื่องจากไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ได้อีกแล้ว
พิจารณาจากทุกปัจจัยทั้งภายนอกและภายในถือว่าภายในสามเดือนนี้ถือว่าเป็นช่วงอันตรายที่สุดของรัฐบาลที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าจะฝ่ามรสุมชุดใหญ่เหล่านี้ไปได้หรือไม่
เมื่อต้องพบกับมรสุมลูกแล้วลูกเล่าประดังเข้ามาแบบนี้ทำไมนายกรัฐมนตรียอมออกหน้ารับเป็นเจ้าภาพแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีแต่จะเพิ่มความขัดแย้งวุ่นวายเข้าไปอีก เพราะเห็นกันอยู่แล้วว่าจะต้องมีฝ่ายที่คัดค้านออกมารุมถล่มแน่นอน
อย่างไรก็ดีหากมองอีกมุมหนึ่งนี่คืออีกวิธีการหนึ่งสำหรับ รัฐบาล โดยเฉพาะ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องการโยน “เผือกร้อน” เข้าไปในสภา ใช้เป็นเวทีเพื่อหาข้อสรุป โดยที่ตัวเองไม่ต้องรับภาระ
ใช้เวทีสภาเป็นที่หาช่องระบายอารมณ์ ความอยาก ใครต้องการแบบไหนก็ให้ระบายออกมากันได้ทุกฝ่าย รวมไปถึงพรรคของ ทักษิณ ชินวัตร อย่างพรรคเพื่อไทยก็ต้องถูกบีบให้กระโดดลงมาด้วย
ซึ่งตามกระบวนการทุกขั้นตอนกว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควร อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เพราะทำไปทำมาเป็นการแก้ไขเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองล้วนๆ โดยที่ชาวบ้านไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย
หากพิจารณาทีละประเด็นที่มีความพยายามแก้ไขอยู่ในตอนนี้ เช่น มาตรา 190 ที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญาข้อตกลงกับต่างประเทศไม่ต้องผ่านรัฐสภา โดยอ้างว่าเป็นอุปสรรคต่อการบริหาร ซึ่งนอกจากพิจารณาจาก “สันดาน” ของนักการเมืองส่วนใหญ่แล้วเชื่อไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเรื่องการลงนามในแถลงการณ์ร่วมยอมให้เขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารได้แต่เพียงฝ่ายเดียว ทำให้ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญสั่งระงับและ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังจะชี้มูลออกมาในอีกไม่ช้านี้หรอก
หรือจะแก้ไขในมาตรา 265 ที่ต้องการ ส.ส.ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพร้อมกันไปได้ มาตรา 266 ที่ต้องการให้อำนาจ ส.ส.เข้ามาเสนอแนะนโยบายและโครงการต่างๆกับข้าราชการ นั่นหมายความว่าเปิดทางให้ ส.ส.เข้ามาแทรกแซงการทำงานของข้าราชการได้โดยสะดวก ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการเข้ามาผลประโยชน์ทางการเมือง และเปิดช่องให้มีการทุจริตมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีความต้องการให้แก้ไขในมาตรา 237 ที่ไม่ต้องการให้มีการยุบพรรคหากผู้บริหารของพรรคการเมืองโกงการเลือกตั้ง เหล่านี้เป็นต้น
ทำให้หลายคนสงสัยว่าความกระสันของนักการเมืองที่อยากให้แก้ไขรัฐธรรมนูญที่ในเบื้องต้นต้องการจะแก้ไขใน 6 ประเด็นหลักมีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชนบ้าง เพราะล้วนมีแต่เรื่องของนักการเมือง และนักการเมืองที่ว่านั้นก็ล้วนส่อไปในทางทุจริตเสียอีก
ดังนั้นเมื่อพิจารณาแนวทางของนายกรัฐมนตรีที่จะโยนให้สภาเป็นเวทีในการถกเถียงในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และระยะเวลาในการหาข้อสรุป ซึ่งไม่ว่าจะออกมาอย่างไร ก็ต้องมีระยะเวลาพอสมควรทำให้สังคมส่วนใหญ่หันกลับมาถกเถียงกันเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นหลัก สามารถเบี่ยงเบนประเด็นหลายปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาได้พอสมควร
อย่างน้อยงานนี้ก็เป็นเกมซื้อเวลา และเปิดทางให้นักการเมืองเห็นแก่ตัวได้ระบายความใคร่ด้วยปากกันให้เต็มที่ ส่วนผลจะออกมาอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง !!