xs
xsm
sm
md
lg

4.6 ตร.กม.เป็นของไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน คนไทยจำเอาไว้!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สภาพพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งชาวกัมพูชาเข้ามายึดครอง
“ผ่าประเด็นร้อน”

เชื่อว่าคนไทยหลายคนมีความห่วงใยเหตุการณ์ในวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นหรือไม่ เพราะมีการชุมนุมใหญ่พร้อมกันสองเหตุการณ์ คือ การชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” ในสังกัดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่หลบหนีคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศ กับอีกเหตุการณ์หนึ่งมีการชุมนุมที่จังหวัดศรีสะเกษเพื่อทวงคืนพื้นที่ของไทยจำนวน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารกลับคืนมา

โดยกลุ่มหลัง คือ กลุ่มคนไทยทั่วประเทศที่หวงแหนแผ่นดินและอธิปไตยของชาติ ซึ่งการชุมนุมของทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เนื่องจากกลุ่มเสื้อแดงชุมนุมและต่อสู้เพื่อผลประโยชน์และอำนาจของคนเพียงคนเดียว คือ ทักษิณ ชินวัตร ส่วนกลุ่มหลังสู้เพื่อส่วนรวม เพื่อดินแดนและอธิปไตยของคนไทยทั้งชาติ

อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในที่นี้แม้ว่าในเบื้องต้นรู้สึกหดหู่ที่เห็นคนไทยทำร้ายกันเอง แต่ก็ต้องมีข้อสังเกตว่าการชุมนุมที่จังหวัดศรีสะเกษดังกล่าวจะไม่เกิดความรุนแรง หากไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งฝ่ายปกครองและทหารบางคน และนักการเมืองบางกลุ่ม เข้าไปปลุกระดมจัดตั้งมวลชนขึ้นมาต่อต้านกลุ่มคนไทยที่ขึ้นไปทวงคืนพื้นที่อธิปไตย 4.6 ตารางกิโลเมตร กลับคืนมาเป็นของราชอาณาจักรไทยทั้งหมด

เพราะหากคนศรีสะเกษกลุ่มนี้มีความรักชาติ รักแผ่นดินเกิด จะต้องให้ความสนับสนุนและช่วยอำนวยความสะดวกให้อย่างเต็มที่ นอกเสียจากถูกปลุกระดมหรือได้รับข้อมูลมาอย่างผิดๆ ขณะที่ข้าราชการและนักการเมืองต้องมีวาระซ่อนเร้นต้องการปิดบังความจริงไม่ให้ถูกเปิดเผยออกมาให้สังคมได้รับรู้

ทั้งที่กลุ่มคนไทยจากทั่วประเทศที่ขึ้นไปทวงคืนพื้นที่ต้องเสียสละแรงกาย กำลังทรัพย์ รวมไปถึงต้องเสี่ยงชีวิตทุกเวลา แต่ก็ยังยินดีที่พร้อมจะเสียสละ แต่ที่น่าเศร้าก็คือความตั้งใจและความปรารถนาดีเหล่ากลับถูกแปรเจตนาเป็นอย่างอื่น โดยเฉพาะจากสื่อที่มีอคติและมองสถานการณ์อย่างฉาบฉวย กล่าวหาว่าไปสร้างความวุ่นวาย ทำให้เสียบรรยากาศ ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสียอีก

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเวลานี้ ทางฝ่ายกัมพูชาเข้ามายึดครองพื้นที่ เป็นเจ้าของโดยพฤตินัยในลักษณะครอบครองปรปักษ์ เข้ามาตั้งชุมชน สร้างวัด สร้างถนนเข้ามาเตรียมปักหลักอย่างถาวร โดยที่ทางฝ่ายทหารหรือรัฐบาลไม่ยอมผลักดันออกไป

อย่างไรก็ตาม เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนก็ต้องย้ำในที่นี้กันอีกครั้งว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเนื้อที่ประมาณ 3 พันไร่รอบปราสาทพระวิหาร เป็นของไทยอย่างสมบูรณ์ ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสที่ยึดแนวสันปันน้ำ ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ย้ำว่าไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนแต่อย่างใด อย่าไปหลงประเด็นเป็นอันขาด

สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวมีการลงนามยอมรับจากผู้นำประเทศหรือประมุขด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้ว

แต่ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้เขียนแผนที่ขึ้นมาใหม่โดยพลการและลากเส้นเขตแดนรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนไทยทั้งบนบกและในทะเล

ที่สำคัญก็คือ หากพิจารณาเฉพาะประเด็นปราสาทพระวิหาร ศาลโลกก็ได้ตัดสินเมื่อปี พ.ศ.2505 ให้กัมพูชาครอบครองเฉพาะปราสาทเท่านั้น ส่วนพื้นที่โดยรอบก็เป็นของไทย โดยไม่ได้พิจารณาเรื่องแผนที่แต่อย่างใด ซึ่งรัฐบาลไทยในสมัยนั้นแม้จะยอมรับคำตัดสินของศาล แต่ไม่เห็นด้วยและขอสงวนสิทธิ์เอาไว้เรื่อยมา

นี่คือความจริงที่ชัดเจนที่สุด แต่ที่ผ่านมาเป็นเพราะเราโชคร้ายมีรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ขายชาติ มีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงวางเฉย หรือสมรู้ร่วมคิดปล่อยให้กัมพูชารุกคืบเข้ามายึดพื้นที่เรื่อยๆ

โดยเฉพาะในยุครัฐบาล “นอมินี” สมัคร สุนทรเวช ที่มี นพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ไทย-กัมพูชา ยอมรับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งเท่ากับเราไปยอมรับและยกเลิกสงวนสิทธิ์ในตัวปราสาทโดยปริยาย แม้ว่าต่อมารัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะอ้างว่าได้ยกเลิกแถลงการณ์ดังกล่าวแล้วก็ตาม และใช้นโยบายเจรจาต่อไปเรื่อยๆ แต่การที่กัมพูชายังรุกล้ำดินแดนเข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่โดยรอบอยู่แบบนี้ ยิ่งทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบ และมีโอกาสสูงมากที่จะเสียดินแดน

ทั้งที่หากกล่าวเฉพาะพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ของไทยโดยสมบูรณ์ และการที่รัฐบาล อภิสิทธิ์บอกว่าใช้กรอบในการเจรจาพื้นที่ดังกล่าวก็ยิ่งเป็นการยอมรับว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนหรือพื้นที่ที่มีปัญหายังหาข้อยุติไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้กัมพูชามีแต่ได้กับได้

นอกเหนือจากนี้ หากไทยต้องสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ก็จะส่งผลกระทบไปถึงพื้นที่ชายแดนในด้านตะวันออกตั้งแต่บนบกลากลงมาในทะเลอ่าวไทย เพราะนั่นหมายความว่าการทำแผนที่จะต้องลากแนวเขตแดนใหม่ ทำให้สุ่มเสี่ยงที่จะสูญเสียพื้นที่เพิ่มเติม เช่น สุรินทร์ เกาะกูด ที่ปัจจุบันฝ่ายกัมพูชาได้อ้างสิทธิเพิ่มเติมเข้ามาแล้ว

ดังนั้น นาทีนี้สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก็คือ พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ของไทยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน และรัฐบาลต้องผลักดันชาวกัมพูชาออกไปทันทีเท่านั้น คนไทยทั้งหลายอย่างหลงประเด็นเป็นอันขาด!!
กำลังโหลดความคิดเห็น