"ผ่าประเด็นร้อน"
แม้ว่ามีเรื่องกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 กับฝ่ายการเมือง และข้าราชการตำรวจจำนวน 4 คน มาคั่นรายการ ทำให้กลบความเคลื่อนไหวบางอย่างไปก่อน
อย่างไรก็ตาม การชี้มูลความผิดกับบุคคลทั้ง 4 คน คือ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ขณะทำความผิดเป็นรองนายกฯ ส่วนฝ่ายตำรวจ คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก็น่าจับตา และน่าสนใจไม่แพ้กัน และทุกอย่างกำลังจะจบเกมของมันไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะพยายามสร้างแรงกระเพื่อมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าจะส่งผลมากนัก
แต่สิ่งที่ค้างคาและต่อเนื่องกันมาก่อนหน้านี้ก็คือ ความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงและเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ที่นัดเคลื่อนไหวใหญ่อีกรอบในวันที่ 19 กันยายนนี้ ทำให้หลายคนเริ่มวิตกกังวลว่า อาจมีบางกลุ่มสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวายให้บานปลาย เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้
สอดคล้องกับการประเมินสถานการณ์ของ ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาระบุเมื่อสามสี่วันก่อนว่า ให้ระวังการสร้างสถานการณ์ในทำนองเดียวกัน พร้อมทั้งให้ข่าวที่น่าสังเกตก็คือ ได้รับรู้ข้อมูลว่า ทักษิณ ได้ขยับเข้าใกล้ชายแดนไทย เหมือนกับว่าต้องการมาบัญชาการ หรือส่งสัญญาณอะไรสักอย่าง
ก่อนหน้านี้ เครือข่ายของ ทักษิณ ได้นัดชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมๆ กับที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาควบคุมสถานการณ์ เหมือนกับว่า “ได้กลิ่น” ไม่ชอบมาพากลสักอย่าง ประกอบกับก่อนที่จะถึงวันชุมนุม ก็ปรากฏว่ามีคลิปตัดต่อเสียงของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในทำนองสั่งการให้ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ กับผู้ชุมนุม ออกมาเผยแพร่
มีการดำเนินการในลักษณะสอดประสานกันทั้งในและนอกสภา โดยในสภา ส.ส.พรรคเพื่อไทยมีความพยายามที่จะเปิดคลิปเสียงตัดต่อดังกล่าวให้ได้ เมื่อไม่ได้ผล ก็ยังพยายามตั้งเป็นกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรี
จงใจยั่วยุให้คนเสื้อแดงเกิดความเกลียดชัง เสมือนให้เกิดความวุ่นวาย ปั่นป่วน แต่โชคดีว่ารัฐบาลไหวตัวทัน สามารถชี้แจงตัดเกมได้อย่างทันท่วงที จนกระทั่งทำให้การชุมนุมต้องเลื่อนออกไปเรื่อยๆ และมาหยุดอยู่ที่ 19 กันยายน ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 3 ปี การรัฐประหารของ คมช. ที่ทำการโค่นล้มระบอบทักษิณ
สิ่งที่มีการคาดหมายกันล่วงหน้าก็คือ ถ้าหากมองทะลุไปในใจของฝ่ายทักษิณ ก็ต้องเร่งเผด็จศึกรัฐบาลให้ได้ภายในเดือนสองเดือนนี้ หรืออย่างช้าที่สุดต้องไม่เกินเดือนธันวาคม เพราะหากปล่อยนานไปถึงต้นปีหน้า นั่นหมายความว่าทุกอย่างจบเห่
เพราะรับรู้กันแล้วว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจของไทย จะฟื้นตัวให้เห็นอย่างชัดเจน ส่วนการเมืองก็น่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ว่าในพรรคร่วมรัฐบาล จะมีการความขัดแย้งกันภายในกันก็ตาม แต่ผลประโยชน์ด้านงบประมาณ ที่เริ่มทยอยออกมาตามโครงการต่างๆ ออกมาอย่างเป็นกอบเป็นกำก็ต้องกอดคอประคองกันไปก่อน
ขณะที่อีกมุมหนึ่งในฝั่งของ ทักษิณ ชินวัตร ยิ่งเวลาทอดยาวออกไปเท่าไร ก็ยิ่งถูกต้อนเข้ามุมอับมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในเวทีในประเทศ และต่างประเทศ ถ้ามองความเคลื่อนไหวภายนอกจะเห็นว่าในระยะหลังไม่ได้รับความสนใจจากสื่อต่างประเทศชั้นนำเลยแม้แต่น้อย จึงต้องมาเน้นการเคลื่อนไหวในประเทศเป็นหลัก
ประกอบกับภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า คาดว่าไม่เกินเดือนธันวาคม คดีอายัดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท จะมีการพิพากษากันแล้ว รวมทั้งคดีทุจริตอื่นๆ ที่ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องก็น่าจะเริ่มเห็นหน้า เห็นหลังมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมีเวลาจำกัด ก็ต้องเร่งปิดเกมให้เร็วที่สุด ซึ่งหนทางที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ กดดันให้เกิดความวุ่นวาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม แม้ว่าที่ผ่านมาจะถูกเปิดโปงในเรื่องตัดต่อคลิปเสียง หรือการแตกคอของพวกเสื้อแดง หรือแม้แต่ภาพลักษณ์ถ่อยเถื่อน มีการชกต่อยกันหน้าพรรคเพื่อไทยจนหลายคนเริ่มถอยห่าง แต่หากฉวยจังหวะอะไรได้ ก็ต้องจับแพะชนแกะมาผสมโรงสร้างเงื่อนไขยั่วยุให้ได้
บังเอิญประจวบเหมาะอย่างยิ่ง ที่เมื่อมีการสั่งย้าย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีหลังจากถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดอาญา และวินัยร้ายแรง แล้วตั้งพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ในเวลาที่เหลือแค่ 21 วัน แต่กลับถูกแกนนำเสื้อแดงอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ นำไปขยายผลอ้างว่า พล.ต.อ.ธานี เป็นคนของสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ และกล่าวในทำนองว่า เป็นการแต่งตั้งเพื่อ “เรียกแขก” ให้คนเข้าร่วมชุมนุมวันที่ 19 กันยาฯ มากขึ้น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การที่ พล.ต.อ.ธานี มาคุมคดีลอบสังหาร สนธิ ในช่วงที่ผ่านมาหากกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ก็ยังถือว่าคดีไม่มีความคืบหน้า เพราะยังจับกุมมือยิงชั้นปลายแถวไม่ได้เลยสักคนเดียว ขณะที่“ตอ” ยังโผล่เกลื่อนกลาดใน สตช.
ล่าสุดยังพยายามปล่อยข่าวเรื่อง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแทน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เรียกได้ว่าเป็นแผน “เสี้ยม” ที่ไม่ต้องลงทุน
โยงกันให้มั่วไปหมด !!
นอกเหนือจากนี้ ยังมีสื่อบางประเภท อย่างมติชน-ข่าวสด ที่ไม่ยอมรับความผิดพลาดจากกรณีที่เสนอข่าว จงใจให้ร้ายผู้ชุมนุมในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ อย่างมีอคติ กลับฉวยโอกาสผสมโรงให้ท้ายช่วยเหลือคนผิด เหมือนกับว่าต้องการเอาชนะคะคาน หรือมี “เจตนาซ่อนเร้น” ก็ยิ่งไปกันใหญ่ และน่าเป็นห่วง
ดังนั้นเมื่อประเมินสถานการณ์โดยรวมแล้ว ยังถือว่าในวันที่ 19 กันยายน น่าเป็นห่วงจะประมาทไม่ได้ เพราะเครือข่ายระบอบทักษิณ อาจหาวิธีสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะมีวิธีนี้วิธีเดียวที่จะได้ทรัพย์สินที่ถูกยึดกลับคืนมา
ระวังแผนชั่วที่จงใจก่อขึ้นมาให้ดี !!