1. “เสื้อแดง” เหิม นัดชุมนุมใหญ่-บุกบ้านป๋า 19 ก.ย. ด้าน “องคมนตรี”ส่งสัญญาณ “ทักษิณ”หนีคดี-ขออภัยโทษไม่ได้!
หลังแกนนำ นปช.ประกาศเลื่อนการชุมนุมจากวันที่ 30 ส.ค.เป็นวันเสาร์ที่ 5 ก.ย.แทน เพื่อหนี พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ที่รัฐบาลประกาศเพื่อป้องกันกลุ่มเสื้อแดงก่อเหตุไม่สงบ นอกจากนี้แกนนำเสื้อแดงยังประกาศว่า หากรัฐบาลประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อีก กลุ่มเสื้อแดงก็จะเลื่อนการชุมนุมอีกเป็นวันเสาร์ที่ 12 ก.ย.และ 19 ก.ย.แทนนั้น ปรากฏว่า นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.แถลง เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ว่า จะนัดชุมนุมใหญ่ครั้งเดียวในวันที่ 19 ก.ย. ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีของการยึดอำนาจ 19 ก.ย.2549 เพื่อรำลึกถึงความอดสูที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยทั้งหมด และว่า แม้รัฐบาลจะประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อีก ก็ยืนยันว่าจะชุมนุมแน่นอน นายวีระ บอกด้วยว่า ระหว่างที่คนเสื้อแดงงดการชุมนุมก่อน 19 ก.ย.จะจัดอบรมสัมมนาแกนนำคนเสื้อแดงทั่วประเทศ เพื่อทำความเข้าใจแนวทางการต่อสู้ของคนเสื้อแดงและจัดองค์กรภายในให้ครบถ้วน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการต่อสู้
ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.พูดถึงการชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย.ว่า “นัดหมายกันในเวลา 13.00น. ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อเดินทางมาครบแล้ว จะเคลื่อนขบวนไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ (ประธานองคมนตรี) ซึ่งที่ผ่านมารับรู้มาตลอดว่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร เราจะยกเว้นกรณีเดียวที่จะไม่เคลื่อนขบวนไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ คือมีคนเสื้อแดงมาแสดงพลังมาก จนหางขบวนไปอยู่บริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ฉะนั้น เราจะตั้งเวทีย่อยหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์อีกเวทีหนึ่งเลย เพื่อชี้ให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเห็นให้ชัดเจนว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร จนประเทศไทยเสียหายทุกด้าน ยังสุขสบายอยู่ในบ้านหลังนี้” นายณัฐวุฒิ บอกด้วยว่า การชุมนุมวันที่ 19 ก.ย.จะไม่ยืดเยื้อ ถ้าไม่เกิดเหตุวุ่นวายหรือมีคนสวมเสื้อน้ำเงินมาก่อกวนแล้ว วันรุ่งขึ้น 20 ก.ย.จะสลายตัวทันที
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ได้ประชุมหารือกับหน่วยงานด้านความมั่นคง(4 ก.ย.) หลังประชุม พล.ต.ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) บอกว่า ที่ประชุมไม่ได้เป็นห่วงเรื่องการชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย. โดยการชุมนุมต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย และว่า หากเกิดความไม่สงบและมีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เจ้าหน้าที่พร้อมที่จะนำขั้นตอนที่เตรียมไว้ในช่วงประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.-1 ก.ย.มาปรับปรุงแก้ไขใช้ได้
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ พูดถึงกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย. ซึ่งเป็นวันครบรอบ 3 ปีของการปฏิวัติและเป็นช่วงเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์จะเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ที่สหรัฐอเมริกาว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงจะเป็นผู้รักษาการรับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อย ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ กลัวอาถรรพ์วันที่ 19 ก.ย.ที่มีอดีตนายกฯ เดินทางไปต่างประเทศแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “ไม่กลัวเพราะเงื่อนไขมันต่างกันเยอะ”
ส่วนความคืบหน้ากรณีที่กลุ่มเสื้อแดงยื่นรายชื่อประชาชน 3.5 ล้านชื่อเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปีนั้น ล่าสุด เริ่มมีองคมนตรีบางท่านออกมาส่งสัญญาณแล้วว่า การขออภัยโทษให้กับผู้ที่หลบหนีคดีนั้น ไม่สามารถทำได้ โดยเมื่อวันที่ 2 ก.ย. นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และความโปร่งใสในภาครัฐ” ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ตอนหนึ่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติตามหลักทศพิธราชธรรมมาตลอด 52 ปีที่ทรงครองราชย์ และทรงปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด รวมถึงการพิจารณาฎีกาของนักโทษ “ผู้ที่จะทูลเกล้าฯ ถวาย(ฎีกา)ได้ ต้องเป็นผู้ที่เคยต้องโทษมาแล้ว เคยจำคุกมาแล้ว ไม่ใช่ว่าลอยตัวอยู่แล้วหนีไปที่อื่น ขอโทษที่พูดนี่ไม่ได้กระทบใครเลยนะ แต่มีตัวอย่างว่ามีอยู่ 3 รายที่มีเรื่องค้างอยู่แล้วหนีไปที่อื่น อันนี้ไม่ได้ เพราะต้องโดนจำคุกมาแล้ว นอกจากนี้คนที่จะขอพระราชทานอภัยโทษนั้นต้องเป็นญาติพี่น้องใกล้ชิด ไม่ใช่ให้คนอื่นมาขอให้ อันนี้คือระเบียบที่มีอยู่ในปัจจุบัน”
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาสวนกลับนายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรีทันที โดยอ้างว่า คำพูดของนายอำพล ถ้าไม่บอกว่าเป็นองคมนตรี ก็คงคิดว่าเป็นคำพูดของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ก็กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และว่า นายอำพลยกพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ แม้ไม่เอ่ยชื่อตรงๆ ก็รู้ดีว่าหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น นายอำพลไม่สมควรที่จะเป็นองคมนตรีอีกต่อไป “คำพูดของนายอำพล ไม่สมควรทั้งความคิดและวาจา ที่ผ่านมาไม่ว่า พล.อ.เปรม และ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ก็ช้ำมาหมดแล้ว นายอำพลจึงต้องออกมาบ้าง แต่การกระทำของนายอำพล ไม่ต่างจากนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งทางการเมือง และถ้านายอำพลออกมากล้าพูดว่าทรงรับสั่งมา ก็ให้พูดออกมา แต่ทราบว่าหลังรัฐประหาร 19 ก.ย2549 พล.อ.เปรมไม่เคยได้เข้าเฝ้าฯ”
2. กองปราบฯ จับ มือแพร่คลิปนายกฯ แล้ว “2 พนง.เอสซีฯ” ด้าน “ยิ่งลักษณ์” อ้าง แค่เรื่องส่วนบุคคล!
ความคืบหน้าเรื่องคลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่หลายฝ่ายพิสูจน์และยืนยันตรงกันว่า มีการตัดต่อ ขณะที่แกนนำเสื้อแดงและแกนนำพรรคเพื่อไทยต่างปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคลิปดังกล่าว ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แฉว่า อี-เมลต้นตอที่ส่งต่อคลิปเสียงดังกล่าวมาจากเครือข่ายของบริษัท เอสซี แอสเสท ซึ่งเป็นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ชุดสืบสวนกองปราบปรามได้นำหมายศาลเข้าจับกุมผู้ที่เผยแพร่คลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ผ่านอี-เมล 2 คน คือ นายสมศักดิ์ แซ่อึง อายุ 38 ปี โดยจับได้ที่ย่านดินแดง กทม. จากนั้นได้เข้าจับกุม น.ส.กันทิมา แต้มครู อายุ 29 ปี ที่อพาร์ตเม้นท์ย่านจตุจักร ก่อนนำตัวไปสอบที่กองปราบฯ ซึ่งทั้งสองเป็นพนักงานบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ก่อนใช้เงินสดยื่นขอประกันตัวคนละ 1 แสนบาท
วันต่อมา(31 ส.ค.) พนักงานสอบสวนกองปราบฯ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ตรวจสอบและวิเคราะห์การกระทำผิดทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำหมายศาลเข้าตรวจค้นโต๊ะทำงานของนายสมศักดิ์และ น.ส.กันทิมา ที่แผนกธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท เอสซี แอสเสทฯ อาคารชินวัตร 3 โดยเจ้าหน้าที่ได้นำอุปกรณ์โคลนนิ่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงานของบุคคลทั้งสอง รวมทั้งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของพยานบางคน ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของผู้ต้องหามาตรวจสอบอย่างละเอียด วันเดียวกัน(31 ส.ค.) พล.ต.ท.สถาพร หลาวทอง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เรียกชุดสืบสวนสอบสวนกองปราบฯ เข้าหารือเรื่องคลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ เพื่อขอทราบข้อมูลเบื้องต้นและกำหนดแนวทางของคดีว่าจะทำอย่างไรต่อไป พล.ต.ท.สถาพร ซึ่งถูกมองว่าเป็นตำรวจสายเสื้อแดง ยังเผยด้วยว่า “พล.ต.อ.พัชรวาท (วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.) จะตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นมาทำคดี มีตนเป็นหัวหน้าคณะทำงาน ดูคดีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในฐานะที่ถูกตัดต่อคลิปเสียงว่า กรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท แต่งตั้งให้ พล.ต.ท.สถาพร หลาวทอง ที่ประกาศตัวเป็นคนเสื้อแดง เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนเรื่องคลิปเสียง จะไว้ใจได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “มันมีหลายหน่วยงานที่ทำงานด้านนี้อยู่ มันมีการสอบทานในตัวของมันเอง หน่วยใดหน่วยหนึ่งทำไม่ตรงไปตรงมาคงลำบาก”
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรรมการผู้อำนวยการบริษัท เอสซี แอสเสทฯ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เผยหลังประชุมพรรคเพื่อไทยกรณีพนักงานของบริษัท เอสซีฯ 2 คนถูกจับกุมฐานเผยแพร่คลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนบุคคล บริษัทฯ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ด้านนายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาด้านกฎหมายตระกูลชินวัตร และทนายความผู้อื้อฉาวของ พ.ต.ท.ทักษิณในคดีซื้อที่รัชดาฯ ที่ถูกศาลสั่งจำคุก 6 เดือนจากกรณีนำถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา ก็รีบออกมาปกป้อง 2 พนักงานของบริษัท เอสซีฯ โดยอ้างว่า พนักงานทั้งสองมีคลิปเสียงนายกฯ จริง แต่ได้รับฟอร์เวิร์ดเมลมาจากที่อื่น ไม่ได้เป็นผู้ผลิตหรือตัดต่อคลิป เป็นเพียงผู้เผยแพร่คลิปเสียงดังกล่าวเท่านั้น
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาประกาศจะยื่นกระทู้ถามสดนายกฯ เรื่องคลิปเสียงในการประชุมสภาวันที่ 3 ก.ย. โดยชี้ว่า “รัฐบาลบอกว่าตัดต่อ ผมก็ว่าตัดต่อ แต่เป็นการตัดต่อส่วนอื่นที่ไม่สำคัญออกไป ให้เหลือเพียงคำพูดของนายกฯ จะได้ฟังง่าย” และว่า แน่จริงให้ผมเปิดคลิปดังกล่าวในสภา ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลาประชุมสภา แม้ประธานสภาฯ จะไม่อนุญาตให้ ร.ต.อ.เฉลิมเปิดคลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ แต่ ร.ต.อ.เฉลิมกลับใช้วิธีอ่านสคริปท์ที่ถอดจากคลิปดังกล่าว ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วง เป็นที่น่าสังเกตว่า ร.ต.อ.เฉลิม พยายามถามนายอภิสิทธิ์ว่าเสียงในคลิปใช่เสียงของนายกฯ หรือไม่ และหากไม่มีของจริง จะมีของปลอมได้อย่างไร ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่าใช่เสียงของตน แต่มีการตัดต่อ และว่า ใน 5-6 จุดที่มีการตัดคำว่า “ไม่”ออก ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามีการตัดต่อ อยากถามว่าจะมาถามเพื่อต้องการอะไรอีก นายอภิสิทธิ์ ยังยกตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อให้ ร.ต.อ.เฉลิมรู้ซึ้งถึงการถูกตัดต่อคลิปด้วยว่า “หากวันไหนท่าน(ร.ต.อ.เฉลิม) ไปพูดที่อื่นว่า ถ้าทำอย่างนี้ผมก็เป็นหมา แล้วมีคนไปตัดเสียงเหลือเพียงคำว่า “ผมก็เป็นหมา”มันก็ต้องเป็นเสียงของ ร.ต.อ.เฉลิมอยู่ดี”
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่ตำรวจจับกุมพนักงานบริษัท เอสซีฯ 2 คนที่เผยแพร่คลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ว่า “อยากเรียกร้องให้ขยายผลสอบไปยังพรรคเพื่อไทย เนื่องจากที่ผ่านมา นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคฯ ออกมายอมรับว่ามีมอเตอร์ไซค์นำคลิปเสียงดังกล่าวมาให้จริง รวมทั้งยังมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคน อาทิ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา และนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ ออกมายืนยันว่ามีคลิปดังกล่าว ซึ่งหากบุคคลทั้งสองเข้าข่ายผิด ก็ต้องดำเนินการตามมาตรา 94(5) ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง และมาตรา 104 ในการลงโทษผู้สนับสนุนกลั่นแกล้งพรรคการเมืองอื่นด้วย” ด้านนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้อ่านแถลงการณ์ของพรรคฯ โดยขู่พรรคประชาธิปัตย์ว่า ไม่ควรกล่าวหาหรือใส่ร้ายป้ายสีพรรคเพื่อไทยว่าเกี่ยวข้องกับคลิปดังกล่าว เพราะอาจส่งผลต่อการยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้
ด้าน พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยถึงการสืบสวนสอบสวนคดีคลิปเสียงนายกฯ ที่มี พล.ต.ท.สถาพร หลาวทอง ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าคณะว่า แบ่งการทำงานเป็น 2 สาย โดยให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ตรวจสอบการนำคลิปเสียงนายกฯ ไปเผยแพร่ในรายการวิทยุชุมชนคนรักอุดร ส่วนกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตรวจสอบการส่งอี-เมลคลิปเสียงนายกฯ ที่มีนายสมศักดิ์ และ น.ส.กันทิมาเป็นผู้ต้องหา โดยจากการตรวจสอบการส่งอี-เมลพบว่า มีการส่งต่อทั้งสิ้น 15 ครั้ง มีผู้รับทั้งสิ้น 179 รายชื่อ ซึ่งเบื้องต้นได้เรียกผู้ที่ส่งคลิปเสียงต่อมาสอบปากคำจำนวน 15 คน
3. สะพัด “นิพนธ์”ยังล็อบบี้ ก.ต.ช.หนุน “จุมพล”เป็น ผบ.ตร. ด้าน “สุเทพ”ยังยื้อตั้ง กก.สอบ “พัชรวาท”!
ความคืบหน้าการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)คนใหม่ หลังที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.)มีมติ 5 : 4 ไม่เห็นด้วยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในฐานะประธาน ก.ต.ช.เสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ ท่ามกลางข่าวสะพัดว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ อยู่เบื้องหลังล็อบบี้ให้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็น 1 ใน ก.ต.ช.และ ก.ต.ช.คนอื่นๆ ไม่ให้หนุน พล.ต.อ.ปทีป แต่ให้หนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร.ที่ไม่ได้ถูกเสนอชื่อแทน ทำให้ภาพที่ออกมากลายเป็นความขัดแย้งระหว่างนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพและนายนิพนธ์ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 ส.ค.นายอภิสิทธิ์ เผยว่า อีกสัปดาห์หนึ่งน่าจะนัดประชุม ก.ต.ช.เพื่อตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ได้ พร้อมย้ำว่า “จุดยืนผมคงไม่เปลี่ยน ผมต้องทำเพื่อส่วนรวม” นายอภิสิทธิ์ ยังยืนยันด้วยว่า ตนมีข้อมูลทุกด้านประกอบการตัดสินใจเสนอชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่ “ความจริงได้บอกกันแล้วว่า เวลาคนที่มีข้อมูลบางด้าน ไม่ควรพูด เพราะข้อมูลทุกด้านมันมาที่ผม” พร้อมเชื่อว่า หาก พล.ต.อ.จุมพล ไม่ได้เป็น ผบ.ตร. พรรคภูมิใจไทยก็คงจะไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล
ส่วนที่มีข่าวว่า นายนิพนธ์จะลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ นั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “ผมกับท่านเลขาฯ เข้าใจกันดี ส่วนข่าวที่ออกมานั้นผมไม่ทราบ เพราะผมไม่ได้เป็นคนให้ข่าว” ด้านนายนิพนธ์ ได้เดินทางเข้าพบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เมื่อวันที่ 31 ส.ค. หลังเข้าพบ ผู้สื่อข่าวถามนายสุเทพว่า นายนิพนธ์จะยังคงทำงานต่อไปใช่หรือไม่ นายสุเทพ ตอบแบบเลี่ยงๆ ว่า “ท่านมีอยู่ 2 อย่าง คือไม่พูด และไม่หนี”
ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย ยืนยันว่า ไม่มีความขัดแย้งกับพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนจะสนับสนุนใครเป็น ผบ.ตร.คนใหม่นั้น นายชวรัตน์ บอกว่า ให้ไปถามนายสุเทพกับนายนิพนธ์ เมื่อถามว่า หากนายสุเทพกับนายนิพนธ์ ยืนยันจะเสนอชื่อ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย เป็น ผบ.ตร. แต่นายกฯ ยืนยันจะเสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป จะทำอย่างไร นายชวรัตน์ บอกว่า ฝากไปถามนายนิพนธ์ด้วย เพราะยังไม่มีการหารือกัน
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ปฏิเสธที่จะพูดถึงปัญหาในการแต่งตั้ง ผบ.ตร.แล้ว หลังผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายชวรัตน์ บอกว่า คำตอบสุดท้ายอยู่ที่นายสุเทพและนายนิพนธ์ โดยนายสุเทพ บอกว่า “ได้แจ้งสื่อไปแล้วว่า ขอยุติการให้ความคิดเห็นในเรื่องนี้ และจะยุติต่อไป”
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ทียุให้นายอภิสิทธิ์ ปลดนายชวรัตน์ โทษฐานที่ยกมือสวนในที่ประชุม ก.ต.ช.(20 ส.ค.)ไม่หนุน พล.ต.อ.ปทีป เป็น ผบ.ตร.ตามที่นายอภิสิทธิ์เสนอ “ถ้าเป็นผม ผมจะไปถามเลยว่า ปู่จิ้น(นายชวรัตน์) คุณจะออก ไม่ออก ถ้าไม่ออกผมปลด ไม่มาง่องแง่งแบบนายอภิสิทธิ์”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 ก.ย. มีรายงานว่า นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ได้นัดพบ ก.ต.ช.3 คนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน กทม. คือ นายนพดล อินนา ก.ต.ช.ผู้ทรงคุณวุฒิ , นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.และ ก.ต.ช.โดยตำแหน่ง เพื่อยืนยันให้ ก.ต.ช.ทั้งสามสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล หากนายอภิสิทธิ์เสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป เป็น ผบ.ตร.ในที่ประชุม ก.ต.ช.นัดหน้า
ส่วนความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีทุจริตการใช้งบประชาสัมพันธ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 18 ล้านบาท ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ส่งความเห็นมายังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงแล้วว่า ต้องตั้งคณะกรรมการสอบบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ซึ่งนายสุเทพรายงานให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ทราบแล้ว และนายอภิสิทธิ์ ได้เห็นชอบข้อเสนอของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว แต่ผ่านไป 1 สัปดาห์ นายสุเทพ ยังไม่สั่งตั้งคณะกรรมการสอบฯ นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ย. นายสุเทพ อ้างว่า ได้สั่งการนายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกฯ ไปแล้วว่าให้ทำเรื่องเสนอมา เพราะตนไม่สามารถยกร่างหนังสือขึ้นมาเซ็นเองได้ โดยได้กำชับให้ส่งเรื่องมาให้ภายในสัปดาห์นี้ และว่า ตนไม่มีหน้าที่ต้องไปทาบทามใครมาเป็นประธานกรรมการสอบ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ได้มีตำรวจที่เกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตใช้งบประชาสัมพันธ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมต่อนายกฯ เพื่อไม่ให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว คือ พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ พล.ต.อ.พัชรวาท โดย พล.ต.ท.บุญเรือง อ้างเหตุที่ไม่ควรตั้งคณะกรรมการสอบผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ คือ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีต ผบ.ตร. , พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.และตนว่า เนื่องจากการกล่าวหาร้องเรียนเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงบัตรสนเท่ห์ มีลักษณะเลื่อนลอย ไม่เป็นไปตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2547 มุ่งเพื่อกลั่นแกล้งกล่าวหา พล.ต.ท.บุญเรือง ยังโอดครวญด้วยว่า “หากมีการนำเอาข้อความในบัตรสนเท่ห์มาเป็นมูลในการออกคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกับพวกกระผมแล้ว ก็จะทำให้กระผมหรือแม้แต่ข้าราชการตำรวจทั่วไปเกิดความรู้สึกขาดขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เฉกเช่นเดียวกับที่ท่านนายกรัฐมนตรีก็ถูกผู้ไม่หวังดีกลั่นแกล้งให้เสียหาย โดยนำคลิปเสียงของท่านไปสร้างภาพให้เห็นว่าท่านเป็นคนไม่ดี ทั้งที่น่าเชื่อว่าคลิปเสียงดังกล่าวเป็นการตัดต่อมา กระผมในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจความรู้สึกของท่านเป็นอย่างดีที่ต้องถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายในครั้งนี้ เพราะก็เป็นเช่นเดียวกับที่กระผมถูกกลั่นแกล้งเช่นกัน”
4. “ส.ส.-ส.ว.” ผนึกกำลัง “เพื่อไทย” เข้าชื่อแก้ รธน.7 ประเด็น ด้าน อจ.จุฬาฯ เดินหน้ายื่นถอดถอน!
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวของ ส.ส.และ ส.ว.บางส่วนในการล่าชื่อให้ได้ 1 ใน 5 ของสมาชิกทั้งหมด เพื่อเสนอร่างแก้ไข รธน.ใน 7 ประเด็น โดย 6 ประเด็นเหมือนกับข้อสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไข รธน. เช่น ให้ยกเลิกโทษยุบพรรคและยกเลิกตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ในมาตรา 237 เพื่อให้การทุจริตเลือกตั้งเป็นความผิดส่วนบุคคล ฯลฯ ส่วนประเด็นที่ 7 ที่เพิ่มขึ้นมาคือ ปรับเปลี่ยนอำนาจการให้ใบเหลืองใบแดงระหว่าง กกต.กับศาล โดยปัจจุบัน กกต.สามารถให้ใบเหลืองใบแดงได้จนกว่าจะประกาศรับรองผลเลือกตั้ง หากประกาศรับรองผลเลือกตั้งแล้ว เป็นอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่จะเป็นผู้ชี้ขาด แต่ร่าง รธน.ที่ ส.ส.-ส.ว.เสนอแก้ไขคือ กกต.มีอำนาจให้ใบเหลืองใบแดงก่อนประกาศผลเลือกตั้งเท่านั้น หลังจากนั้นเป็นอำนาจของศาล
สำหรับ ส.ว.ที่ออกมาเคลื่อนไหวล่าชื่อหนุนแก้ รธน.7 ประเด็น ได้แก่ นายประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี , นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี , นายยุทธ ยุพฤทธิ์ ส.ว.ยโสธร โดยนายประสิทธิ์ออกมาคุยเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ว่า ขอให้เพื่อน ส.ว.ร่วมลงชื่อได้กว่า 80 คนแล้ว ส่วน ส.ส.ที่ออกมาเคลื่อนไหวล่าชื่อหนุนแก้ รธน.ได้แก่ นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน โดยออกมาบอกเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ว่า ขณะนี้มี ส.ส.จากพรรคต่างๆ ร่วมลงชื่อแล้ว 90 คน เช่น พรรคเพื่อไทย ,พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ,พรรคชาติไทยพัฒนา ,พรรคภูมิใจไทย และว่า เมื่อรวมกับ ส.ว.อีก 80 คน ถือว่าครบตามเกณฑ์ที่ รธน.มาตรา 291 กำหนดให้ ส.ส.และ ส.ว.จำนวน 1 ใน 5 สามารถเสนอแก้ไข รธน.ได้ โดยจะยื่นร่างแก้ไข รธน.7 ประเด็นต่อประธานรัฐสภาในวันที่ 7 ก.ย. จากนั้นวันเดียวกัน จะส่งถึงหัวหน้าพรรคทุกพรรค เพื่อชี้แจงเหตุผลการดำเนินการว่า ต้องการให้มีการเริ่มต้นแก้ รธน. และว่า บ้านเมืองต้องแก้ไขทีละเปลาะ ไม่ใช่ต่างคนต่างดึงดัน จะยิ่งทำให้สังคมเขม็งเกลียว พร้อมยืนยัน ไม่มีวาระซ่อนเร้นและทำในนามสมาชิกรัฐสภา ไม่ใช่ในนามพรรค เพื่อให้รัฐสภาร่วมกันหาทางออกให้ประเทศ
ขณะที่นายวิทยา บูรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน รีบออกมาแสดงความเห็นด้วยที่ ส.ส.และ ส.ว.เข้าชื่อเพื่อเสนอร่างแก้ไข รธน.7 ประเด็น “ส.ส.และ ส.ว.ต้องทำหน้าที่ หรือจะให้ทหารปฏิวัติก่อนถึงจะแก้ไข รธน.ทุกครั้งไป”
ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บอกว่า กลุ่มพันธมิตรฯ คัดค้านการแก้ รธน.เพราะ รธน.ยังใช้ไม่ครบ นอกจากนี้ รธน.2550 ยังมีผลดีต่อการควบคุมการทุจริตและการใช้อำนาจของนักการเมือง “ตอนนี้เห็นว่ายังไม่ถึงเวลา ถ้าแก้ไข รธน.ตอนนี้อาจจะยุ่งเหยิงได้ มันไม่ใช่แก้ รธน.เพราะต้องการแก้ แต่แก้เพื่อให้สังคมเผชิญหน้าไปสู่ความรุนแรงตามที่บางฝ่ายออกแบบไว้ ถือเป็นการแก้ รธน.เพื่อให้คนขัดแย้งกันอย่างหนัก เพราะมันถูกออกแบบไว้แล้วว่าสิ้นปีนี้ต้องจัดการให้เรียบร้อย โดยจะเป็นเครื่องมือเพื่อนำไปสู่ความรุนแรงของบางฝ่าย”
ด้าน นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 2 ก.ย. เพื่อขอใช้สิทธิรวบรวมรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อ เพื่อถอดถอน ส.ส.และ ส.ว.ที่เข้าชื่อยื่นขอแก้ไข รธน.7 ประเด็น เนื่องจากเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์และผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตาม รธน.มาตรา 122 นอกจากนี้ยังเข้าข่ายผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นพ.ตุลย์ ยังชี้ด้วยว่า รธน.2550 ไม่ควรจะแก้ไข หากแก้ไขต้องกำหนดโทษให้แรงขึ้น เช่น มาตรา 237 เรื่องยุบพรรค นอกจากกรรมการบริหารพรรคที่ซื้อเสียงต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองแล้ว ยังควรระบุโทษจำคุกเป็นเวลา 10 ปีด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง นพ.ตุลย์ ยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภาเพื่อเตรียมถอดถอน ส.ส.และ ส.ว.ที่เข้าชื่อเพื่อแก้ รธน.7 ประเด็น ปรากฏว่า เริ่มมี ส.ว.ทยอยถอนชื่อออกบ้างแล้ว เช่น นายประเสริฐ ชิตพงศ์ ส.ว.สงขลา ,พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร ,นางกีระณา สุมาวงศ์ และนางสุกัญญา สุดบรรทัด ส.ว.สรรหา โดยส่วนใหญ่ให้เหตุผลตรงกันว่า ที่ลงชื่อสนับสนุนตอนแรก เพราะยังไม่เห็นรายละเอียดของร่างแก้ไข รธน.ดังกล่าว แต่เมื่อเห็นว่า มีประเด็นการขยายอายุ ส.ว.สรรหา จาก 3 ปี เป็น 6 ปี จึงชัดเจนว่า ถ้าสนับสนุน จะเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง
ด้านกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ได้ประชุมหารือถึงการสร้างความสมานฉันท์และการแก้ไข รธน.เมื่อวันที่ 4 ก.ย.โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และหัวหน้าพรรคเป็นประธาน หลังประชุม นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคฯ แถลงว่า ที่ประชุมเห็นว่า ทางออกที่ดีที่สุดคือ อยากให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ทุกพรรค รวมถึงสมาชิกวุฒิสภาได้ร่วมรับรู้และเสนอแนะความคิดเห็นต่อไป ซึ่งอาจนำไปสู่กระบวนการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นด้วย ด้านวิปรัฐบาล เตรียมประชุมหารือเรื่องการแก้ รธน.ในวันที่ 7 ก.ย.นี้
5. “เสนาะ” เดือด “ปชป.”จ้องยึดที่ “อัลไพน์”คืนสงฆ์ ลั่น ลุแก่อำนาจ-หวังทำลายตนและ “ทักษิณ”!
เมื่อวันที่ 1 ก.ย.นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ อธิบดีกรมที่ดิน ได้ทำหนังสือถึงนายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินธรณีสงฆ์แปลงหมู่บ้านและที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ หลัง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 25 คนร้องเรียนให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เคยเป็นเจ้าของ ก่อนขายต่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี
ทั้งนี้ หนังสือของอธิบดีกรมที่ดิน ระบุว่า เมื่อปี 2544 กรมที่ดินมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินดังกล่าวแล้ว แต่ในชั้นอุทธรณ์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยที่รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้วินิจฉัยอุทธรณ์และสั่งเพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นเกี่ยวกับปัญหาที่ธรณีสงฆ์ดังกล่าวว่า การวินิจฉัยอุทธรณ์ของรักษาราชการปลัดกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น มีผลแค่ทำให้ขั้นตอนการเพิกถอนต้องหยุดชะงักลงเท่านั้น ไม่ได้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพทางกฎหมายของที่ดินดังกล่าวที่เป็นที่ธรณีสงฆ์แต่อย่างใด คำสั่งวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายอย่างชัดแจ้ง เพราะการโอนที่ธรณีสงฆ์ต้องกระทำโดยกฎหมายเท่านั้น คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ สามารถยกเลิกได้โดยไม่มีอายุความ และว่า การจะพิจารณาเพิกถอนคำสั่งวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวหรือไม่ เป็นอำนาจของกระทรวงมหาดไทย ด้วยเหตุนี้ อธิบดีกรมที่ดินจึงได้มีหนังสือถึงนายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทยให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินธรณีสงฆ์ดังกล่าว
ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ แถลงที่รัฐสภา(3 ก.ย.)ว่า อธิบดีกรมที่ดินได้ทำหนังสือถึงนายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทยถึง 3 ครั้ง เพื่อขอให้ทบทวนคำสั่งทางปกครองของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ กรณีที่ดินอัลไพน์ แต่กลับยังไม่ดำเนินการใดใด ดังนั้น หากนายวิชัยยังนิ่งเฉย ส.ส.ของพรรคฯ จะดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และจะทำหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ฟ้องร้องต่อศาลโดยด่วนที่สุด รวมทั้งจะเสนอให้นายกฯ มีคำสั่งดำเนินการทางวินัยต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยด้วย
ด้านนายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยอมรับว่า กรมที่ดินได้เสนอเรื่องมายังกระทรวงฯ นานแล้ว แต่เนื่องจากยังมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย จึงให้ฝ่ายกฎหมายช่วยดู เมื่อมีข้อขัดแย้ง จึงให้กรมที่ดินเอาเรื่องกลับไปพิจารณาแล้วเสนอขึ้นมาใหม่ ไม่ได้ดองเรื่องแต่อย่างใด
ด้านนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ซึ่งซื้อที่ดังกล่าวมาทำเป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์ ก่อนขายต่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ได้ซื้อขายที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้เคยชี้แจงเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง นายเสนาะ ยังชี้ด้วยว่า “การที่พรรคประชาธิปัตย์รื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เชื่อว่ามีเจตนามุ่งหวังผลทางการเมือง ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของผม และ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการกระทำที่เข้าข่ายลุแก่อำนาจ เห็นบ้านเมืองไม่มีขื่อแป” และว่า ทราบว่า ขณะนี้ผู้บริหารบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์สปอร์ตคลับ ได้เตรียมฟ้องนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ที่รื้อฟื้นเรื่องนี้จนทำให้บริษัทได้รับความเสียหายด้วย
ด้านนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ยืนยัน “เรื่องนี้ไม่ใช่เกมการเมือง แต่เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เป็นเรื่องที่ข้าราชการต้องปฏิบัติตามกฎหมายปกติ คือ เมื่อกฤษฎีกาสั่งการมาแล้ว ข้าราชการจะนิ่งเฉยไม่ได้ ถ้านิ่งเฉยจะถูกกล่าวหากล่าวโทษว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าผมนิ่งเฉยก็ถูกกล่าวหาดำเนินคดีได้เช่นกัน”