xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 23-29 ส.ค.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์” เผย “ในหลวง-พระราชินี”ทรงอยากเห็นคนไทยหยุดทะเลาะกัน ด้าน “พล.ต.อ.วสิษฐ” ชี้ “สถาบัน”กำลังถูกทำลาย!
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กองทัพเรือ และสำนักราชเลขาธิการ ได้ร่วมกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ภายใต้ชื่อ “ร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ราชินี” ที่หอประชุมกองทัพเรือ ทั้งนี้ ในงาน มีการบรรยายพิเศษเรื่อง “พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย” โดยท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ

เป็นที่น่าสังเกตว่า ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ซึ่งได้ถวายงานรับใช้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมาประมาณ 40 ปี ไม่เพียงพูดถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนไทย และทรงทำมาอย่างยาวนาน แต่ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ยังพูดพร้อมกับร่ำไห้ด้วยว่า ขณะนี้ทั้ง 2 พระองค์ ทรงเจริญพระชนมพรรษามากแล้ว ทำไมพวกเราถึงไม่ตอบแทนพระองค์ด้วยการทำให้พระองค์ชื่นใจบ้าง “ทรงไม่ต้องการอะไรเลย ต้องการอย่างเดียว ทรงอยากเห็นเมืองไทยอยู่รอด คนไทยด้วยกันสามัคคีกัน ช่วยกันธำรงชาติบ้านเมืองให้ยั่งยืนต่อไป อย่าขัดแย้งกัน อย่าทะเลาะเบาะแว้งกันเลย ทรงทำมาตลอด 60 ปี ทำไมคนไทยถึงปล่อยให้พระองค์เห็นคนไทยเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่ทำให้พระองค์ชื่นใจ”

ด้าน พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งเคยรับราชการเป็นหัวหน้านายตำรวจประจำราชสำนัก ถวายความปลอดภัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมาประมาณ 12 ปี พูดถึงความห่วงใยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีต่อประชาชนว่า สมัยที่บ้านเมืองไม่สงบจากพวกคอมมิวนิสต์ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถไม่เคยหยุดทรงงาน ไม่ทรงท้อถอยหวั่นเกรง ยังคงเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมประชาชนในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่สีแดงด้วยความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ พล.ต.อ.วสิษฐ ยังวิงวอนให้ประชาชนช่วยกันปกป้องสถาบันด้วย เพราะขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถกำลังถูกคนบางกลุ่มทำลาย “ขณะนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้าย การโจมตีอย่างโจ๋งครึ่ม โดยคนบางพวกบางประเภท ตนกล้าเรียนให้ทราบ แม้ไม่มีการยืนยันจากรัฐบาล แต่ตนยืนยันจากความรู้ การสังเกตของตนเอง พบว่าสิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น ตอนนี้มีเว็บไซต์เถื่อนที่กำลังทำอย่างนี้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถอยู่อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง และขอเตือนให้ทราบว่า ผู้ที่เราเคารพสักการะ ผู้ที่เป็นผู้สืบทอดการปกครองแบบราชาธิปไตยมากว่า 700 ปี กำลังถูกทำลายโดยคนพวกหนึ่ง สิ่งที่คนไทยต้องตระหนักและช่วยกันคือ ปกป้องสถาบันที่อยู่คู่เมืองไทย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

พล.ต.อ.วสิษฐ ยังบอกด้วยว่า หากคนไทยไม่ช่วยกันปกป้องสถาบัน จะเกิดสงครามที่สาหัสมาก “ขอวิงวอนท่านทั้งหลายว่า แม้ศัตรูจะยังไม่ถืออาวุธ แต่กำลังใช้วิธีย้อมหัวของเรา ย้อมหัวใจของเราให้หลงผิด สิ่งที่ทำได้คืออย่ายอมให้พี่น้อง ลูกหลานเข้าใจผิด แต่ต้องทำความเข้าใจและเผยแพร่สอนผู้อื่นให้รู้ว่า เมืองไทยอยู่ได้เพราะ 3 สิ่งนี้ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราจะเกิดสงครามที่สาหัสมาก อย่าทำให้เกิด แต่ทำได้ด้วยการถ่ายทอดให้ทุกคนรู้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงทำอะไรมาแล้วกว่า 60 ปี ให้เราทุกคนช่วยกัน”

2. “เสื้อแดง”เลื่อนชุมนุมหนี “พ.ร.บ.มั่นคงฯ” ขณะที่ “มือลึกลับ”ตัดต่อเสียง “อภิสิทธิ์”หวังดิสเครดิตว่าใช้ความรุนแรง!

พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงผลการตรวจสอบคลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ โดยยืนยัน มีการตัดต่อเสียงถึง 62 ช่วง(28 ส.ค.)
หลังแกนนำ นปช.ประกาศนัดชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดงในวันที่ 30 ส.ค.นี้ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ปรากฏว่า รัฐบาลได้ตั้งรับเหตุรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ในพื้นที่เขตดุสิตระหว่างวันที่ 29 ส.ค.-1 ก.ย. ซึ่งครอบคลุมสถานที่สำคัญ เช่น พระราชวังดุสิต ,ทำเนียบรัฐบาล ,รัฐสภา เป็นต้น ทั้งนี้ หลังประชุม ครม.(25 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ แถลงเหตุผลที่ต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในพื้นที่ดังกล่าวว่า แม้แกนนำบางส่วนจะยืนยันว่า การชุมนุมครั้งนี้จะไม่มีความวุ่นวายเหมือนกับเมื่อเดือน เม.ย. แต่รายงานด้านการข่าวทำให้รัฐบาลไม่สามารถวางใจได้ เพราะอาจมีมือที่สามหรืออาจมีอุบัติเหตุที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นและลุกลามบานปลาย และว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ครั้งนี้ นอกจากเพื่อป้องกันเหตุวุ่นวายแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ปัญหาทางการเมืองส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ประเมินว่า ถ้าการเมืองไม่สะดุด การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเดินหน้าได้แน่นอน นายอภิสิทธิ์ ยังชี้แจงด้วยว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นคนละเรื่องกับ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดย พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นการใช้อำนาจพิเศษเมื่อเกิดเหตุร้ายแรงแล้ว แต่ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ นั้น เพียงแค่มีแนวโน้มที่จะเกิดเหตุรุนแรง ก็สามารถประกาศได้แล้ว โดยให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้อำนวยการที่จะมาดูแล

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาเย้ยรัฐบาลที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ว่า เป็นรัฐบาลกระต่ายตื่นตูม ที่หูแว่ว ตกใจแล้วอาจทำปืนลั่น ไปหลับฝันเอาหรือให้หมอดูว่าจะเกิดเรื่องในวันที่ 30 ส.ค. พร้อมเตือนรัฐบาลว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อาจเป็นเงื่อนไขให้การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงยืดเยื้อ และระวังจะกลายเป็นน้ำฝึ้งหยดเดียว ขณะที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาชี้ว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะเป็นการยั่วยุประชาชนที่มาร่วมชุมนุม และเป็นการเปิดทางให้มือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย จนนายกฯ ต้องพลัดตกเก้าอี้ได้

ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อแดงได้โร่ฟ้องศาล ให้เอาผิดรัฐบาลทั้งทางแพ่งและอาญา พร้อมให้เพิกถอนประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดยแยกสายกันฟ้อง ทั้งศาลปกครอง ศาลแพ่ง และศาลอาญาเมื่อวันที่ 28 ส.ค. แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เปิดแถลงร่วมกับตำรวจและผู้นำเหล่าทัพถึงมาตรการที่จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ที่จะเน้นจากเบาไปหาหนัก ปรากฏว่า แกนนำเสื้อแดงได้ออกมาประกาศเลื่อนการชุนนุมจากวันที่ 30 ส.ค. ไปเป็นวันที่ 5 ก.ย.แทน โดยอ้างว่า จากการประเมินสถานการณ์เห็นว่าการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ของรัฐบาล เป็นมาตรการที่ตึงเครียดเกินไป นายจตุพร ยังประกาศด้วยว่า หากรัฐบาลเลื่อนการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ออกไปอีกถึงวันที่ 5 ก.ย. ซึ่งเป็นวันที่กำหนดนัดชุมนุมใหม่นั้น ทาง นปช.ก็จะเลื่อนการชุมนุมออกไปอีกเป็นวันเสาร์ที่ 12 ก.ย. และวันเสาร์ที่ 19 ก.ย.

นอกจากเรื่องกลุ่มเสื้อแดงเลื่อนชุมนุมใหญ่หนี พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แล้ว ยังมีประเด็นร้อนอีก 1 เรื่อง กรณีมีมือลึกลับตัดต่อคลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เพื่อดิสเครดิตว่านายอภิสิทธิ์สั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลังสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ คลิปดังกล่าวมีความยาวกว่า 3 นาที ระบุว่าเป็นการประชุมลับที่บ้านพักแม่ทัพภาคที่ 1 ในค่ายทหาร กองพันทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ก่อนจะนำไปสู่การสลายการชุมนุมในเช้าวันที่ 13 เม.ย. โดยมีถ้อยคำทำนองว่า นายอภิสิทธิ์สั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบกับผู้ชุมนุมและใช้อาวุธเข้าคลี่คลายสถานการณ์ และให้วางแผนสร้างสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความโกลาหล โดยอ้างว่าแกนนำผู้ชุมนุมได้มีการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เพื่อเป็นเครื่องมือให้เจ้าหน้าที่ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ด้านนายอภิสิทธิ์ ยืนยัน แม้คลิปดังกล่าวจะเป็นเสียงตนจริง แต่ชัดเจนว่ามีการตัดต่อ เพราะระดับเสียงไม่เท่ากัน พร้อมย้ำ นโยบายแก้ปัญหาการชุมนุมความไม่สงบของตน อยู่บนหลักของกฎหมายในการเคารพสิทธิเสรีภาพและไม่เคยต้องการเห็นการทำร้ายใดใดทั้งสิ้น นายอภิสิทธิ์ ยังเผยด้วยว่า จะดำเนินการทางกฎหมายกับคนที่ทำ และว่า ผู้ที่เผยแพร่เป็นผู้ที่อยู่ในเครือข่ายของอดีตนายกฯ “การกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความผิดด้านคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเป็นการใช้เทคโนโลยีการตัดต่อและเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ส่วนคนที่ส่งคลิปเสียงต่อๆ กันไป ก็จะมีความผิดด้วย ...หลายคนที่เผยแพร่มีความเกี่ยวข้องกับนักการเมือง อยู่กับเครือข่ายบริษัทของอดีตนายกฯ อยู่บ้าง และมีที่อยู่ของคนที่ปล่อยเป็นคนแรกอยู่แล้ว แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้เรียก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้าพบ(27 ส.ค.) โดยฝากให้ตรวจสอบเรื่องคลิปเสียงดังกล่าว

ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแฉว่า อี-เมลต้นตอที่ส่งต่อคลิปเสียงดังกล่าวมาจากเครือข่ายของบริษัท เอสซี แอสเสท ซึ่งเป็นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อนส่งไปยังอี-เมลของผู้ใช้ชื่อว่า kanyanit จากนั้นบุคคลดังกล่าวได้ส่งอี-เมลนี้ต่อไปยังผู้ใช้ชื่อว่า sutisa ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ประสานงานกับสื่อมวลชนประจำพรรคเพื่อไทย โดยบุคคลนี้ได้ส่งอี-เมลฉบับนี้ต่อไปให้นักข่าวประจำพรรคและบุคคลใกล้ชิดของตัวเอง และหนึ่งในจำนวนนั้นมีชื่ออี-เมลที่ใช้ชื่อว่า titimachaisang@hotmail.com จึงอยากถามว่าเป็นอี-เมลของนางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ ถ้าเป็นคนเดียวกัน อยากให้ตำรวจเข้าไปสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงจากบุคคลนี้ด้วย เพราะถือเป็นหนึ่งในขบวนการที่เผยแพร่คลิปเสียงตัดต่อหวังขยายผลให้เกิดความแตกแยกในชาติไทยด้วยกันเอง

ด้านนายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ รีบออกมาปฏิเสธว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคลิปเสียงดังกล่าว “พ.ต.ท.ทักษิณไม่มาทำเรื่องเด็กๆ แบบนี้ เพราะท่านทำแต่ธุรกิจในต่างประเทศ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องไปตรวจสอบว่ามีที่มาอย่างไร” ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ หลังนายเทพไทระบุว่าบริษัทของน้องสาวเป็นต้นตอที่ส่งคลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ว่า “ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมไม่เคยรังแกใคร มีแต่ถูกรังแก เห็นแก่ชาติบ้านเมืองดีกว่าครับ”

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ก็ออกมาพูดถึงคลิปดังกล่าวว่า ภาวนาขอให้เป็นการตัดต่อ เพราะถ้าเป็นเรื่องจริง ก็ถือว่าคนที่พูดไม่ใช่นายกฯ แต่เป็นเพียงสัตว์นรกกระหายเลือด พร้อมย้ำ ขอให้นายกฯ สบายใจได้ว่า คนเสื้อแดงจะไม่นำเรื่องนี้มาปรักปรำหรือเคลื่อนไหวโจมตี เพราะไม่ต้องการใช้กระบวนการใต้ดิน ขณะที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาปฏิเสธว่า พรรคไม่ได้เป็นต้นตอเผยแพร่คลิปเสียงดังกล่าว พร้อมอ้างว่า มีคนสวมกางเกงสีขี้ม้าน่าจะเป็นทหาร ขี่รถมอเตอร์ไซค์นำมาให้ตน

ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก แถลงยืนยัน ทหารไม่ได้เกี่ยวข้องกับคลิปดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อเดือน เม.ย. ตนอยู่กับนายกฯ ตลอด นายกฯ ไม่มีการกล่าวเหมือนในคลิปแต่อย่างใด

ส่วนในแง่การพิสูจน์คลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ว่ามีการตัดต่อหรือไม่นั้น จากการตรวจสอบของหลายๆ ฝ่ายออกมาตรงกันว่ามีการตัดต่อแน่นอน โดยนายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เผยว่า ได้ส่งคลิปเสียงดังกล่าวให้บริษัท กันตนา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงในเรื่องการตัดต่อคลิปเสียงอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิกตรวจสอบ สรุปว่ามีการตัดต่อ 100% โดยเบื้องต้น จากการตรวจสอบไปประมาณ 80% ของเนื้อหาทั้งหมด มีการตัดต่อถึง 16 จุด ด้าน พล.ต.ต.สุรพล พินิจชอบ ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐาน เผยว่า จากการตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันความถูกต้อง 100% พบว่า คลิปเสียงดังกล่าวมีการตัดต่อดัดแปลง

ขณะที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ให้ตรวจสอบคลิปเสียงดังกล่าว ก็ได้เปิดแถลง(28 ส.ค.) หลังร่วมตรวจสอบกับอาจารย์คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรีว่า คลิปเสียงดังกล่าวมีการตัดต่อถึง 62 ช่วงด้วยกัน “แม้หูของมนุษย์จะฟังคลิปดังกล่าวเหมือนเสียงดังต่อเนื่องกัน ไม่พบความผิดปกติอะไร แต่เมื่อใช้โปรแกรม AUDACITY ก็ตรวจพบว่า มีช่วงเงียบที่เกิดจากการตัดต่อถึง 62 ช่วง ดังนั้นเทคโนโลยีดังกล่าวจึงสามารถพิสูจน์ยืนยันได้ 100% ว่า คลิปเสียงมีการตัดต่ออย่างแน่นอน”

3. “อภิสิทธิ์”เครียด ตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ด้าน “สุเทพ”อุ้ม “พัชรวาท”-ไม่ย้ายเข้ากรุ แม้ถูกสอบทุจริต!

สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง
ความคืบหน้าเรื่องการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)คนใหม่ แทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ หลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ ให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.)เห็นชอบเมื่อวันที่ 20 ส.ค.เพียงชื่อเดียว แต่ ก.ต.ช.เสียงข้างมาก 5 : 4 ไม่เห็นด้วย โดยหนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร.ที่ไม่ได้ถูกเสนอชื่อมากกว่า โดยมีรายงานว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ อยู่เบื้องหลังเดินสายล็อบบี้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็น 1 ใน ก.ต.ช.และ ก.ต.ช.คนอื่นๆ ให้หนุน พล.ต.อ.จุมพลเป็น ผบ.ตร.นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค.นายอภิสิทธิ์ ได้ยืนยันผ่านรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์”ว่า การเสนอชื่อผู้เหมาะสมเป็น ผบ.ตร.เพียงชื่อเดียวนั้นเป็นไปตามกฎหมาย เพราะกฎหมายใช้ถ้อยคำว่า เป็นเรื่องที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ หมายความว่า นายกฯ เสนอชื่อไปเพื่อขอความเห็นชอบ ถ้าเสนอหลายชื่อจะไม่เรียกว่าเห็นชอบ แต่จะเรียกว่าเป็นการคัดเลือก

ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย และ 1 ใน ก.ต.ช. ยืนยันว่า การมีความเห็นต่างกันเรื่องโหวต ผบ.ตร.จะไม่มีผลต่อการทำงานระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพราะงานของรัฐบาลมีมาก การตั้ง ผบ.ตร.เป็นแค่เรื่องเดียวเท่านั้น เมื่อถามว่า การประชุม ก.ต.ช.ครั้งหน้า จะมีท่าทีอย่างไร นายชวรัตน์ บอกว่า “คงต้องดูนโยบายของนายกฯ ก่อน ว่าจะเสนอชื่อใครเพิ่มหรือไม่”

ขณะที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาชี้ว่า การที่นายชวรัตน์เห็นต่างกับนายกฯ ในการโหวต ผบ.ตร.นั้น สะท้อนถึงวิกฤตความเป็นผู้นำของนายกฯ ดังนั้นขอให้นายกฯ ปรับ ครม.เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของประชาชน หรือไม่ก็ขอให้นายกฯ เสียสละเพื่อชาติและพรรคประชาธิปัตย์ โดยการลาออก เปิดทางให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคฯ มาเป็นนายกฯ แทนในภาวะวิกฤตผู้นำ หรือไม่ก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เพราะอยู่กันแบบนี้ก็เหยียบตาปลากันอยู่ ตอนนี้มีปัญหาเยอะมาก มัวซื้อเวลาอยู่ไม่ได้

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ พูดถึงการเสนอชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่ในการประชุม ก.ต.ช.นัดหน้าซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยยังยืนยันว่า จะเสนอชื่อเดียว พร้อมย้ำว่า ตนไม่เปลี่ยนจุดยืน อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ ไม่ตอบว่าจะเสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีปอีกหรือไม่ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ (ที่มีข่าวว่าร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เดินสายล็อบบี้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย 1 ใน ก.ต.ช.และ ก.ต.ช.คนอื่นๆ ให้หนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย เป็น ผบ.ตร.) ได้เดินทางกลับจากต่างประเทศเมื่อวันที่ 28 ส.ค. ปรากฏว่า นายนิพนธ์ได้เดินทางเข้าพบนายอภิสิทธิ์ทันทีที่ทำเนียบรัฐบาล โดยหลังหารือ มีรายงานว่า นายนิพนธ์ได้เดินทางกลับทันที ขณะที่นายอภิสิทธิ์มีสีหน้าเคร่งเครียด จนมีการคาดกันว่า นายอภิสิทธิ์อาจเปลี่ยนแปลงการเสนอชื่อผู้เหมาะสมเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ในการประชุม ก.ต.ช.นัดหน้า

ทั้งนี้ นอกจากเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่แล้ว ยังมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ด้วย โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบเรื่องที่รัฐบาลเคยหารือเกี่ยวกับกรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาทเคยถูกร้องว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และกระทำผิดวินัยร้ายแรงเกี่ยวกับการจัดจ้างโฆษณาและเผยแพร่รายการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเงินกว่า 18 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ส่งความเห็นมายังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงแล้ว โดยเห็นว่า จะต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงบุคคลที่เกี่ยวข้อง นายสุเทพจึงได้รายงานให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ทราบ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เผยว่า ได้เห็นชอบข้อเสนอของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า ระหว่างสอบสวน ต้องมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ตอบแบบเลี่ยงๆ ว่า หลังจากนี้เป็นขั้นตอนที่นายสุเทพจะต้องไปดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบ

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ส่อปกป้อง พล.ต.อ.พัชรวาท ด้วยการไม่ย้ายไปประจำสำนักนายกฯ โดยผู้สื่อข่าวถามว่า คดีที่ พล.ต.อ.พัชรวาทถูกร้องเรียนนี้ ค้างมาตั้งแต่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งรัฐบาลนายสมชายให้ พล.ต.อ.พัชรวาทไปช่วยราชการสำนักนายกฯ แล้วการดำเนินการครั้งนี้ ต้องทำเหมือนยุคนายสมชายหรือไม่ นายสุเทพ บอกว่า ไม่จำเป็น เมื่อถามว่า กำลังปกป้อง พล.ต.อ.พัชรวาทอยู่หรือไม่ นายสุเทพ บอกว่า ปกป้องข้าราชการที่ดีทุกคน เมื่อถามว่า ในสายตาของท่าน พล.ต.อ.พัชรวาทเป็นข้าราชการที่ดีหรือไม่ นายสุเทพ บอกว่า “ขณะนี้ผมเห็นว่าเขายังเป็นคนดีอยู่ เพราะว่ายังไม่ปรากฏว่าเขาทำอะไรร้าย จนกว่าผมจะเห็นว่าเขาทำอะไรร้ายก็ค่อยว่ากัน” วันต่อมา(26 ส.ค.) นายสุเทพ พูดถึงเหตุผลที่ไม่ย้าย พล.ต.อ.พัชรวาทมาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ โดยอ้างว่า อาจถูก พล.ต.อ.พัชรวาทฟ้องได้ จึงต้องให้ความเป็นธรรม เมื่อถามว่า หาก ผบ.ตร.ยังอยู่ในตำแหน่ง อาจเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการสอบสวนข้อเท็จจริงได้ นายสุเทพ บอกว่า ไม่ใช่ เป็นเรื่องที่เข้าใจกันไปเอง สิ่งสำคัญคือ คนที่มาสอบสวนข้อเท็จจริงต้องไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องให้ผู้ที่ใหญ่กว่ามาสอบ

ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ซึ่งอยู่ระหว่างถูกตั้งคณะกรรมการสอบกรณีทุจริตการใช้งบประชาสัมพันธ์ในองค์กรจำนวน 18 ล้านบาท ได้เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับรองผู้บังคับการถึงสารวัตรเมื่อวันที่ 28 ส.ค. ทั้งนี้ มีรายงานว่า ก่อนหน้าที่ พล.ต.อ.พัชรวาทจะเรียกประชุมพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าว 1 วัน(27 ส.ค.) พล.ต.อ.พัชรวาท ได้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานจัดทำบัญชีข้อมูลแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับรองผู้บังคับการถึงสารวัตร ที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ขณะรักษาราชการแทน ผบ.ตร.แต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน โดย พล.ต.อ.พัชรวาท ระบุเหตุผลในคำสั่งยกเลิกคณะทำงานดังกล่าวว่า เป็นการลดขั้นตอนการปฏิบัติในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจดังกล่าว

4. “สาทิตย์”สุดทน สั่งเด้ง “ผอ.ช่อง 11”สังเวยถ่ายทอดสดนายกฯ มีปัญหาซ้ำซาก!

สุริยงค์ หุณฑสาร กลายเป็นอดีต ผอ.ช่อง 11(ภาพ-ไทยรัฐ)
เมื่อวันที่ 23 ส.ค.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังอาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี เพื่อออกอากาศสดรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย(ช่อง 11 หรือเอ็นบีทีเดิม) และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ในเวลาประมาณ 09.00น. แต่ปรากฏว่า ไม่สามารถถ่ายทอดสดรายการไปยังสถานีได้ โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคอ้างว่า สัญญาณเกิดขัดข้อง ทำให้ทีมงานต้องบันทึกเทป และเลื่อนการออกอากาศไปยังสถานีในเวลา 11.00น.แทน

ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ซึ่งกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ พูดถึงกรณีที่รายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์”ไม่สามารถออกอากาศสดได้ว่า ได้สอบถามนายสุริยงค์ หุณฑสาร ผู้อำนวยการช่อง 11 ได้รับคำตอบว่า สัญญาณดาวเทียมที่ยิงขึ้นไปมีปัญหา กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่ และจะตั้งกรรมการสอบผู้เกี่ยวข้องเพื่อหาคนผิด โดยต้องปรึกษานายเผชิญ ขำโพธิ์ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ก่อนว่าจะสอบใครบ้าง

วันต่อมา(24 ส.ค.) นายสาทิตย์ เผยว่า ได้ย้ายนายสุริยงค์ ผอ.ช่อง 11 ไปเป็นผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์ เขต 5 และให้ น.ส.รัตนา เจริญศักดิ์ ผอ.สำนักประชาสัมพันธ์ เขต 5 มาเป็น ผอ.ช่อง 11 แทน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. ทั้งนี้ นายสาทิตย์ บอกว่า ก่อนย้ายนายสุริยงค์ ได้หารือกับอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และนายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกฯ แล้ว เห็นตรงกันว่า ควรมีการปรับปรุงระบบบริหารจัดการช่อง 11 ใหม่ “การย้ายครั้งนี้ ไม่ใช่เหตุผลทางการเมือง โดยเปิดโอกาสให้ทำงานมา 6-7 เดือน แต่ในหลักการ เมื่อทำงานไม่ดี ก็ต้องเปลี่ยนแปลง ส่วนที่ให้ น.ส.รัตนา มาทำหน้าที่แทน เนื่องจากมีประสบการณ์ทำโทรทัศน์มา 17 ปี ยืนยันว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์จะมีความผิดหรือไม่นั้น ต้องรอผลสอบข้อเท็จจริงภายใน 7 วันก่อน” นายสาทิตย์ ยังพูดถึงเหตุการณ์ถ่ายทอดสดของช่อง 11 มีปัญหาด้วยว่า “ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยเมื่อครั้งที่เกิดเหตุขัดข้องในการถ่ายทอดสดที่ทำเนียบรัฐบาล ก็ได้เรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยและให้จัดทำแผนสำรองไว้แล้ว แต่ก็ยังเกิดปัญหาขึ้นอีก อีกทั้งข้อมูลที่รายงานเข้ามาในเบื้องต้นก็สับสนมาก ฝ่ายหนึ่งบอกว่าอุปกรณ์อัพลิงก์สัญญาณที่รถชำรุด อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าสัญญาณดาวเทียมที่ยิงขึ้นไปไม่เสถียร ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้เป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้” นายสาทิตย์ บอกด้วยว่า นอกจากจะตั้งคณะกรรมการสอบหาคนรับผิดชอบแล้ว ในส่วนของทีมรายการ จะต้องเปลี่ยนฝ่ายที่ดูแลเทคนิคทั้งชุดด้วย

ส่วนกรณีที่นายเผชิญ ขำโพธิ์ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้นั้น ปรากฏว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ได้อนุมัติตามที่สำนักนายกฯ เสนอแต่งตั้งนายกฤษณพร เสริมพานิช รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ให้เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์คนใหม่แล้ว แต่ขณะนี้นายเผชิญจะยังทำหน้าที่อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์อยู่

5. ศาล สั่งจำคุก “ดา ตอร์ปิโด” 18 ปี ฐานดูหมิ่นเบื้องสูง!
น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด แนวร่วม นปช.
เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” แนวร่วมกลุ่ม นปช.เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทั้งนี้ พนักงานอัยการ ฟ้องว่า ระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย.2551 จำเลยขึ้นเวทีปราศรัย ณ ท้องสนามหลวง โดยพูดจาบจ้วง ล่วงเกิน เปรียบเทียบและเปรียบเปรย หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

ด้านศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ฝ่ายโจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม 3 นายไปเป็นสายสืบฟังการปราศรัยของจำเลยซึ่งมีลักษณะดูหมิ่นพระมหากษัตริย์เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ,7 มิ.ย. และ 13 มิ.ย. โดยได้บันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐาน พบว่า เป็นเสียงคนคนเดียวกัน จึงฟังได้ว่า จำเลยได้ขึ้นเวทีปราศรัยในวันดังกล่าว แม้ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวบนเวที จะไม่ได้ระบุตัวบุคคลที่ถูกกล่าวถึงอย่างชัดแจ้ง แต่การใช้คำ เช่น สัญลักษณ์สีเหลือง สีฟ้า ซึ่งเป็นสีประจำวันประสูติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทำให้เห็นว่าจำเลยกระทำการจาบจ้วงล่วงเกิน ทำให้ทั้งสองพระองค์ต้องเสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียง รวมทั้งการกล่าวถึงการรัฐประหาร โดยกล่าวถ้อยคำถึงมือที่มองไม่เห็นในสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งประชาชนรับรู้อยู่แล้วว่าสี่เสาเทเวศร์ คือสถานที่ที่เป็นบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยการแต่งตั้งองคมนตรีนั้น ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้ง

แม้จำเลยจะเบิกความว่า จดจำถ้อยคำที่กล่าวปราศรัยไม่ได้ แต่จำเลยก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้งว่าไม่ได้กล่าวถ้อยคำที่โจทก์ยื่นฟ้อง ซึ่งแม้คำพูดของจำเลยไม่บังเกิดผล เพราะไม่มีใครเชื่อ แต่จำเลยก็ไม่อาจพ้นผิด พยานหลักฐานจึงรับฟังได้ว่า จำเลยพูดจาบจ้วง ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม ให้จำคุก 3 กระทงๆ ละ 6 ปี รวม 18 ปี

ทั้งนี้ หลังฟังคำพิพากษา น.ส.ดารณีซึ่งสวมชุดนักโทษและคาดหน้ากากอนามัยได้ยกมือชู 2 นิ้ว ก่อนถูกนำตัวไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง โดยมีกลุ่ม นปช.มาให้กำลังใจประมาณ 30 คน รวมทั้งนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นนักวิชาการสายเสื้อแดงที่เคยยื่นขอประกันตัว น.ส.ดารณีหลายครั้ง ก็มาให้กำลังใจเช่นกัน ขณะที่นายประเวศ ประภานุกูล ทนายความจำเลย บอกว่า จะยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อไป ส่วนจะยื่นขออภัยโทษหรือไม่ ต้องรอดูคดีจนถึงชั้นศาลฎีกาก่อน.
กำลังโหลดความคิดเห็น