"ผ่าประเด็นร้อน"
หากจะประเมินสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้หลายฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่าน่าจะมาถึงจุดเปลี่ยนอันสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากปัจจัยรอบด้านเป็นตัวเร่งให้เกิดเหตุบางอย่าง ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งจะก่อให้เกิดจุดพลิกผันเป็นตรงกันข้ามได้ทุกเวลา
หลายคนจับตาสถานการณ์นับจากวันนี้ไปจนถึงเดือนตุลาคมหรือต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี ถือว่าอยู่ในช่วงอันตรายที่อาจเกิดจุดหักเหได้ตลอด
เริ่มจากเดือนกันยายนที่หากจะต้องจับตาก็ต้องพิจารณาในวันที่ 19 กันยายนที่จะถึง เพราะเป็นวันครบรอบ 3 ปี วันรัฐประหารโค่นล้ม “ระบอบทักษิณ” ซึ่งแน่นอนว่าฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายจะต้องฉกฉวยนำไปเป็นสาเหตุในการปลุกระดมสร้างแนวร่วมประชาธิปไตยเพื่อต่อต้านเผด็จการกันอย่างขนานใหญ่อีกรอบ
และที่มองข้ามไปได้ก็คือ อาจหยิบยกเอาเรื่องการขัดขวางการถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษมาสร้างกระแสผสมโรงเข้าไปด้วย
อย่างไรก็ดี ถ้าสังเกตให้ละเอียดดูเหมือนว่าฝ่ายทักษิณ เริ่มมีการปรับขบวนกันภายในบ้างแล้ว พยายามแยกฝ่าย “แดงสยาม” ออกไปให้พ้นตัว ซึ่งกลุ่มดังกล่าวมีการเผยตัวตนออกมาให้เห็นชัดเจนในเรื่องของวิธีการ หรือเป้าหมาย ดังมีรายชื่อแบ่งกลุ่มกันชัดเจน อย่าง จักรภพ เพ็ญแข สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) เป็นต้น
หลายคนมองว่าแนวทางที่กลุ่มแดงสยามกำลังพยายามขับเคลื่อนในวันข้างหน้าถือว่ามัน “ตกยุค” และเพ้อฝัน โดยเฉพาะการสร้างสงครามประชาชน ล้มอำมาตย์ โดยการปฏิวัติสังคมใหม่ ถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี เพราะระดับแกนนำขาดการยอมรับ
เพราะยิ่งขืนเปิดเผยออกมาเท่าไร มวลชนก็ยิ่งถอยห่าง ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นกันชัดเจนแล้ว และ ทักษิณ ก็น่าจะรับรู้ถึงบรรยากาศดังกล่าวได้ดี
ทำให้เห็นว่า ทักษิณ กำลังปรับขบวนใหม่ เน้นเป้าหมายเฉพาะกิจต้องการเร่งรัดเผด็จศึกโดยเร็ว ดังนั้นหนทางที่มีอยู่ก็น่าจะต้องเลือก 3 เกลอเอาไว้ใช้งานก่อน โดยเฉพาะในด้านการระดมมวลชน ถือว่าพอใช้บริการได้
เพราะถ้าจับอาการคำพูดและท่าทีของ ทักษิณ ชินวัตร ในระยะหลังๆ ที่โฟนอินเข้าทุกเวทีมักจะเน้นในเรื่องความ “จงรักภักดี” เป็นพิเศษ ตั้งแต่หันมาใช้วิธีการล่ารายชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ส่วนเป้าการโจมตีในระยะหลัง จะเห็นว่าไม่ค่อยพูดถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษเท่าใดนัก หรืออย่างมากก็จะหยุดอยู่แค่นั้น
เมื่อประมวลดูแล้วก็อาจจะเข้าใจได้ว่า หากมีการปรับเปลี่ยนท่าทีก็น่าจะเป็นแบบชั่วคราวเพื่อหวังผลเฉพาะหน้า อย่างน้อยในช่วงเวลาเดือนกันยายน ที่จะต้องหันมาเน้นในเรื่องประชาธิปไตย เรื่องการต่อต้านรัฐประหารเพื่อสร้างอารมณ์ร่วมระดมมวลชนน่าจะได้ผลกว่า โดยหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาที่หมิ่นเหม่กระทบเบื้องสูงเอาไว้ก่อน
เพราะถ้าพิจารณาตามความเป็นจริงของสถานการณ์แล้วถือว่าในช่วงเดือนกันยายนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนธันวาคม หรือไม่เกินสิ้นปี เป็นช่วง 3 เดือน “นาทีทอง” ที่อาจพอจะหยิบฉวยมาเป็นประโยชน์ให้สถานการณ์พลิกผันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสถานการณ์ให้ปั่นป่วน กดดันให้ยุบสภา เพื่อไปลุ้นในสนามเลือกตั้ง เป็นสิ่งที่ ทักษิณ ต้องการมากที่สุด
ขณะที่อีกด้านหนึ่งเมื่อหันมาทางด้านฝ่าย นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บ้าง ก็ต้องยอมรับความจริงว่าในช่วง 3 เดือนเป็นช่วง “อันตราย” อาจเกิดการพลิกผันได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่วันที่ 19-21 กันยายนนี้ เพราะนอกจากต้องระวังในวันครบรอบการรัฐประหารแล้วยังมีเรื่องการชี้มูล พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรณีเหตุการณ์ 7 ตุลาฯปี 51 ของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่คาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า
รวมไปถึงการแต่งตั้งตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเชื่อมโยงไปถึงชะตากรรมของ “ขาใหญ่” ในกลุ่มอำนาจที่เกี่ยวพันกับคดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย
ทุกอย่างประดังประเดเข้ามา !!
อย่างไรก็ตามหากนายกฯสามารถกัดฟัน จนรอดพ้นจากช่วง 3 เดือนอันตรายนี้ไปได้ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เชื่อว่าอำนาจการต่อรองจะกลับมาอยู่ในมือเพิ่มขึ้น เพราะมีการประเมินตรงกันว่าหลังจากปีใหม่เป็นต้นไป เศรษฐกิจของไทยจะหันกลับมาในทิศทางขาขึ้นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันมองว่าคนไทยเริ่มเบื่อหน่ายกับการชุมนุมทางการเมืองก็จะมีปฏิกิริยาต่อต้านให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยรอบด้านของทั้งสองฝ่ายก็ต้องยอมรับว่าเป็นช่วง 3 เดือนอันตราย และเดิมพันสูง ดังนั้นอย่ากระพริบตาเป็นอันขาด !!